วันศุกร์ที่ 17 สิงหาคม พ.ศ. 2555

สนทนาไซ-ไฟ



แนะนำเว็บไซต์ Sci-Fi สนทนาไซ-ไฟ(+แฟนเพจ)
เชิญเข้าไปชมที่ : http://www.scifi.siligon.com/


"จินตนาการ สำคัญกว่าความรู้" อัลเบิร์ต ไอสไตน์ กล่าว...เป็นประโยคที่คุ้นเคยกันดีและยังคงเป็นอมตะ ถ้ามนุษย์ขาดจินตนาการหรือความคิดสร้างสรรค์ มนุษย์ก็คงเป็นเพียงสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมธรรมดาๆทั่วๆไป ไม่สามารถพัฒนาเป็นอารยธรรมล้ำสมัย-ยิ่งใหญ่กว่าสิ่งมีชีวิตสปีชีย์อื่นๆของโลกได้ ความจริงข้อนี้เป็นที่ประจักษ์อยู่แล้วในยุคปัจจุบัน และถ้าสังเกต จินตนาการในเชิง ไซ-ไฟ นี่แหละที่เป็นจินตนาการอันทรงอิทธิพลใหญ่หลวงต่อความเป็นอยู่ของมนุษยชาติ ทั้งในแง่การเกิดขึ้นของเทคโนโลยี-นวัตกรรมใหม่ๆ มุมมองตรรกะวิธีคิด พื้นฐานความเชื่อเรื่องความสัมพันธ์ของชีวิต-โลก-จักรวาล หรือแม้แต่ถ้าหากจะเป็นแค่เพียงความบันเทิง สื่อที่มาในแนว ไซ-ไฟ ก็ดูจะเหมือนจะให้ความตื่นตาตื่นใจ ทั้งกระตุ้นต่อมความคิดจินตนาการต่อผู้เสพได้ค่อนข้างรุนแรง! โดยเฉพาะจากภาพยนตร์ไซ-ไฟ
.......................................................

ทัศนะการนิยาม "ไซ-ไฟ" ของผู้ทรงคุณวุฒิ

"ไอแซก อาซิมอฟ" ผู้ได้รับการยกย่องให้เป็นบิดาแห่งนิยายวิทยาศาสตร์ได้ให้คำนิยามของนิยายไซไฟไว้ว่า... "นิยายวิทยาศาสตร์ มีสามแบบคือ หนึ่งอะไรจะเกิดขึ้น...ถ้า... สองเพียงแต่....ถ้า และ สาม ถ้าสิ่งนี้เกิดขึ้นต่อๆไป"...+_+

"อาร์เธอ ซี คลาร์ก" บิดาแห่งนิยายวิทยาศาสตร์ อีกท่านหนึ่ง ได้เคยให้นิยามไว้ "นิยายวิทยาศาสตร์ หมายถึงงานวรรณกรรมที่สะท้อนพฤติกรรมของมนุษย์ในบริบทแห่งวัฒนธรรมของสังคมแห่งตนภายใต้อิทธิพลของพัฒนาการทางด้านวิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยี"

"โรเบิร์ต เอ ไฮน์ไลน์" นักเขียนนิยายวิทยาศาสตร์รุ่นลายครามของสหรัฐ ได้ให้คำนิยามของนิยายวิทยาศาสตร์ว่า "นิยายวิทยาศาสตร์ เป็นเรื่องของการคาดคะเนเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นในอนาคตโดยอาศัยความรู้ของโลกปัจจุบันและอดีต และโดยอาศัยความเข้าใจอย่างลึกซึ้งในธรรมชาติ และความสำคัญของระเบียบวิธีทางวิทยาศาสตร์ (การสังเกต การตั้งสมมติฐาน การทดสอบสมมติฐาน และการสรุปผล)

"เฟรดเดอริก โพห์ล" นักเขียนนิยายวิทยาศาสตร์นามกระเดื่องผู้หนึ่งได้ให้คำจำกัดความของนิยายวิทยาศาสตร์ว่า "นิยายวิทยาศาสตร์เป็นนิยายที่ แสดงถึงผลที่ตามมา เป็นเครื่องมือสำคัญสำหรับการศึกษา ผลกระทบจากการกระทำและสิ่งประดิษฐ์ของมนุษย์"

*ถ้าจะสรุปให้เข้าใจสั้นๆเข้าใจง่ายๆที่สุดก็คือ นวนิยาย-ภาพยนตร์-หนังสือการ์ตูน หรือสื่อบันเทิงคดีอื่นๆ ถ้าหากโครงเรื่องโดยรวมมีการจินตนาการถึงองค์ประกอบหลักอย่างใดอย่างหนึ่ง ได้แก่

1. มีสิ่งประดิษฐ์-อุปกรณ์เทคโนโลยีไฮเทค, หุ่นยนต์ ฯลฯ รวมทั้งผลกระทบของมัน(อันมักว่าด้วยโลก-เมืองในอนาคต)

2. มีมนุษย์ต่างดาว, สิ่งมีชีวิตประหลาดนอกโลก, หรือแม้แต่สิ่งมีชีวิตพิเศษในโลก(ที่เกิดจากกระบวนการพิเศษทางวิทยาศาสตร์)

3. มีเดินทางออกนอกโลก-การท่องสำรวจอวกาศ ไปยังต่างดาวอื่นๆ, หรือแม้การเดินทางผ่านกาลเวลา ย้อนอดีต-ท่องอนาคต

ถ้ามีอย่างใดอย่างหนึ่งในสามอย่างนี้ ก็พอจะเรียกได้ว่าเป็น ไซ-ไฟ ได้แล้ว และแน่นอนว่าในโลกยุคใหม่ปัจจุบัน อันมักเรียกกันว่า ยุคโพสต์โมเดิร์น(Post-Modern) เป็นยุคแห่งความหลากหลาย ไซ-ไฟ สามารถจัดเป็นประเภทลูกผสม(Hybrid) ได้มากมายไม่ว่าจะเป็น Sci-fi Action, Sci-fi Thriller, Sci-fi Horror, Sci-fi Drama, Sci-fi Comedy ฯลฯ...สุดแท้แต่ผู้แต่งหรือผู้ชมจะตีความจัดให้เป็นประเภทไหน (*ในขณะเดียวกัน หนัง-นิยาย-บันเทิงคดีตระกูลอื่นๆ บางทีก็มีความเป็น ไซ-ไฟ เจือปนอยู่ด้วยบ้างเช่นกัน แต่อาจเป็นเพียงส่วนเสริมเล็กๆน้อยๆ หรือมากพอสมควรก็แล้วแต่)



วันอาทิตย์ที่ 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

Chariot of fire เกียรติยศแห่งชัยชนะ


---  Chariot of fire(1981) เกียรติยศแห่งชัยชนะ ---


เพลงเก่า- แต่สุด ฟิน! จากภาพยนตร์เก่า แต่เก๋า! "Chariot of fire (1981)" เพลง Original ประพันธ์ดนตรีโดย Vangelis ...(เพลงที่ได้ถูกนำมาใช้พิธีเปิดโอลิมปิก 2012)

ย้อนกลับไปเมื่อปี 1924 สองยอดลมกรดของทีมสหราชอาณาจักร ได้สร้างตำนานแห่งการพิสูจน์ตัวเองบนลู่วิ่งในโอลิมปิกฤดูร้อน ซึ่งจัดที่กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส สองวีรบุรุษแห่งแดนผู้ดีในครั้งนั้นมีนามว่า  "แฮโรลด์ อับราฮัมส์" เจ้าของเหรียญทองประเภท 100 เมตร สุดท้ายขึ้นเป็นสมาชิกอาวุโสสมาคมกรีฑาอังกฤษ สิ้นใจปี1978 ...และ "เอริค ลิดเดลล์" ผู้พิชิตเหรียญทองประเภท 400 เมตร แล้วผันตัวเอง ไปเป็นมิชชันนารี สิ้นใจที่เมืองจีน ก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2

   57 ปีต่อมา ตำนานของยอดนักวิ่งทั้งสอง ได้ถูกถ่ายทอดเป็นภาพยนตร์ และกลายมาเป็นอีกหนึ่งตำนานของโลกเซลลูลอยด์ด้วยเกียรติยศระดับรางวัลออสการ์ สาขาภาพยนตร์ยอดเยี่ยม ภายใต้ชื่อว่า Chariots of Fire ภาพยนตร์ที่มีชื่อภาษาไทยว่า "เกียรติยศแห่งชัยชนะ" เป็นผลงานกำกับของ ฮิวจ์ ฮัดสัน ผู้กำกับชาวอังกฤษ ที่เล่าเรื่องราวเกี่ยวกับแรงบันดาลใจของทั้ง อับราฮัมส์ และ ลิดเดลล์ ซึ่งต่างต้องการพิชิตโลกด้วยฝีเท้าของตน โดยไม่หวังเกียรติยศชื่อเสียงเงินทองใดๆ แต่ต้องการพิสูจน์ความสามารถของตัวเองให้โลกได้รับรู้ และจารึกชื่อว่าเป็นมนุษย์ที่เร็วที่สุดในยุคสมัยของตนเองไปตลอดกาล

   Chariots of Fire อาจจัดว่าเป็นภาพยนตร์เกี่ยวกับกีฬาโอลิมปิก แต่เนื้อแท้ของงานชิ้นนี้คือการนำเสนอเรื่องราวของการพิสูจน์ตน มากกว่าการเอาชนะคู่ต่อสู้ในเกมกีฬา ดังนั้นภาพยนตร์เรื่องนี้จึงว่าด้วยการเดินทางของตัวเอกสู่เป้าหมาย โดยที่ไม่มีอุปสรรคเป็นตัวร้ายที่คอยแย่งชิงชัยชนะ แต่อุปสรรคอยู่ในจิตใจของตัวเองที่จะอุทิศตนเพื่อสู้ให้ถึงที่สุดหรือไม่ ภาพของน้ำใจนักกีฬาจึงถูกถ่ายทอดออกมาได้อย่างสมบูรณ์แบบ เพราะไม่มีความเป็นศัตรูหรือคู่แข่งเลยในระหว่างนักวิ่งด้วยกัน

ภาพยนตร์เรื่องนี้ยังมีฉากอันประณีตสวยงามทั้งบรรยากาศในอังกฤษและสก็อตแลนด์ รวมถึงฉากการแข่งโอลิมปิก ที่เก็บรายละเอียดทุกอย่างของกีฬาแห่งมวลมนุษยชาติเมื่อเกือบ 100 ปีก่อนได้อย่างน่าประทับใจ นอกจากนั้นแล้ว องค์ประกอบอีกอย่างที่กลายเป็นอมตะไปพร้อมกับตัวหนัง ก็คือดนตรีประกอบ ซึ่งเป็นผลงานของ "แวนเจลิส"(Vangelis) นักประพันธ์ดนตรีชาวกรีก ซึ่งช่วยขับเน้นให้ตัวหนังทรงพลังด้วยความมุ่งมั่น และความศรัทธาในพรสวรรค์ของตัวละครออกมาได้อย่าง สุดฟิน สมบูรณ์แบบ

 
สำหรับเกียรติยศสูงสุดของภาพยนตร์ชิ้นนี้ ก็คือการชนะรางวัล อคาเดมี อวอร์ดส์ (ออสการ์) ประจำปี 1981 ได้ถึง 4 สาขาด้วยกัน ได้แก่ ภาพยนตร์ยอดเยี่ยม, ดนตรีประกอบยอดเยี่ยม, บทดั้งเดิมยอดเยี่ยม และออกแบบเครื่องแต่งกายยอดเยี่ยม รวมถึงยังเข้าชิงอีก 3 สาขา ได้แก่ ผู้กำกับยอดเยี่ยม, นักแสดงสมทบชายยอดเยี่ยม (เอียน โฮล์ม ในบท มุสซาบินี่) และ ตัดต่อภาพยอดเยี่ยม

   Chariots of Fire จึงเป็นภาพยนตร์ที่แสดงภาพของกีฬาที่ยิ่งใหญ่กว่าการเอาชนะคู่แข่งในสนาม หรือ การแสวงหาชื่อเสียงเงินทอง แต่เป็นการพิสูจน์ความสามารถของตนเองให้โลกได้รับรู้ และการเอาชนะต่ออุปสรรคต่างๆนานาเพื่อจุดหมายที่ใฝ่ฝันนั้น มันคือเกียรติยศแห่งชัยชนะอันแท้จริง

   "นี่คือภาพยนตร์เกี่ยวกับกีฬาโอลิมปิก ที่มีเนื้อหามากกว่าการกีฬา และมีคุณค่ามากกว่าเป็นแค่ภาพยนตร์เพื่อความบันเทิงเท่านั้นแต่เป็นงานที่สร้างแรงบันดาลใจให้ทุกคนที่ได้รับชม และเป็นบทบันทึกประวัติศาสตร์ชิ้นเยี่ยม ที่ไม่มีวันเลือนหายไปกับกาลเวลา คงอยู่เป็นมรดกบนแผ่นฟิล์มไปตราบนานเท่านาน"

วันเสาร์ที่ 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

2475 ถอยหลัง ตั้งหลัก ทบทวน



สารคดี 2475 ช่อง Thai PBS


สารคดี 2475 เป็นสารคดีประกอบเหตุการณ์จำลอง (Documentary-Drama) มุ่งหวังให้ประชาชนคนไทยได้กลับมาทบทวนถึงเหตุและผลของการเปลี่ยนแปลงการปกครอง  และมองระบอบการปกครองของไทยอย่างไตร่ตรอง  และเข้าใจมากยิ่งขึ้น ในฐานะที่เป็นคนไทยคนหนึ่ง

- Spot Trailer -

สารคดี 2475 เวอร์ชั่นสารคดีนี้  เขียนบทโดย คุณเอก เอี่ยมชื่น  และการกำกับสารคดีโดย คุณสุรัสวดี เชื้อชาติ หรือ แหม่ม มาม่าบูลส์  ซึ่งทั้งสองท่านเคยฝากผลงานชิ้นเยี่ยม และปลุกกระแสการรักชาติไว้ที่ไทยพีบีเอสคือภาพยนตร์เรื่อง “ขุนรองปลัดชู” เวลาออกอากาศเมื่อ  :  25, 26 และ 27 ก.ค. 55  เวลา 22.00 - 23.00 น. (2012)


สารคดี 2475 ตอน 1 "ความทรงจำ"
 


สารคดี 2475 ตอน 2 "สองฝั่งประชาธิปไตย"


 สารคดี 2475 ตอน 3 "ชะตาชาติ" (จบ)


วันศุกร์ที่ 6 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

Time Machine ย้อนเวลาท่องอนาคต


ทฤษฎีย้อนเวลา หรือ Time machine คือ ทฤษฎีฟิสิกส์ที่เชื่อว่า หากมนุษย์สามารถเดินทางได้เร็วกว่าแสงแล้วล่ะก็ เราก็จะสามารถเคลื่อนที่สวนทางกับแสงเพื่อกลับในโลกอดีตได้ และพร้อมกันนั้นก็สามารถวิ่งแซงหน้าแสง เพื่อล่วงไปในโลกอนาคตได้เช่นกัน


ทฤษฎีย้อนเวลา ถูกนำมาเล่นมากมายในภาพยนตร์ โดยเฉพาะหนังไซ-ไฟ...โดยแบ่งเป็น 2 แนวหลักๆคือ

1. สามารถย้อนเวลาไปแก้ไข อดีต อนาคต อย่างที่ต้องการได้ อาทิในภาพยนตร์เรื่อง Star Trek, Back to the future หรือในการ์ตูนอย่าง DragonBallZ ซึ่งจะทำให้มิติ อดีต ปัจจุบัน อนาคต มี Timeline เรื่องราวไม่เหมือนกัน (ปกติต้องเหมือนกัน+_+)

2. อันนี้น่าสนใจกว่า คือ ถึงแม้จะย้อนเวลาได้ แต่สุดท้ายแล้วยังไงก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงเหตุการณ์ต่างๆได้ อดึต ปัจจุบัน อนาคต ยังคงตรงกันอยู่ดี เช่นคนที่จะต้องตายเวลานั้น ก็ต้องตายอยู่ดี แม้จะย้อนเวลาไปได้และแก้ไขเหตุการณ์ยังไงก็ตาม ซึ้งอันนี้น่าสนใจ ว่าทำไมต้องเป็นเช่นนั่นแสดงว่าทุกอย่างถูกกำหนดไว้หมดแล้ว...พรหมลิขิต!...อะไรจะเกิดขึ้นยังไงต้องเกิด แก้ไขไม่ได้เลย!

- *ภาพยนตร์ The Time Machine (2002) กระสวยแซงเวลา นักวิทยาศาสตร์จอมประดิษฐ์ อเล็กซานเดอร์ (แสดงนำโดย กาย เพียร์ซ)...มีความตั้งใจอันแรงกล้าที่จะพิสูจน์ความเป็นไปได้ในการเดินทางข้ามเวลา เป็นความมุ่งมั่นจากการสูญเสียคนรัก ที่ผลักดันให้เขา ต้องการกลับไปแก้ไขอดีต ถึงแม้เขาย้อนไปได้ แต่เขากลับกลายเป็นตัวแปรที่ทำให้ คนรักตาย ซะเอง  และขณะทดสอบทฤษฎีการเดินทางกับเครื่องข้ามเวลาที่เขาประดิษฐ์ขึ้นมา อเล็กซานเดอร์ ได้ข้ามกาลเวลาล่วงหน้าไปสู่อนาคตแปดแสนปี! พบว่ามนุษยชาติได้แบ่งออกเป็นชนเผ่าผู้ล่าและผู้ถูกล่า...เป็นหนังที่สนุกครับ :)


........................................

- *ภาพยนตร์ Twelve monkey(1995)  หนังยอดเยี่ยมอีกเรื่องที่โครงเรื่องซับซ้อนหักมุมล้ำลึก(ขึ้นทำเนียบคนดูแล้ว งง! เรื่องหนึ่งของโลก :)...ย้อนเวลาแก้ไขอดีตสุดท้ายแล้วแก้ไขไม่ได้เช่นกัน ซ้ำคนแก้ไขก็กลายเป็นตัวแปรให้เกิดเหตุการณ์นั้นๆอีกต่างหาก หนังพล็อตน่าสนใจตรง อดีต ปัจจุบน อนาคต มันวน Loop เป็นวงกลม...


พระเอก (บรูซ วิลลิส + แบรด พิตต์ ร่วมแจม) วัยเด็กฝังใจที่เห็นคนคนนึงถูกฆ่าตายต่อหน้าตัวเอง หลายสิบปีต่อมาโตขึ้น โลกเกิดวิกฤติไวรัส มนุษย์ตายเป็นเบือทั่วโลกต้องอพยมไปอยู่ใต้ดิน เค้าถูกคัดเลือกให้เป็นคนที่ถูกทดลองส่งข้ามกาลเวลาเพื่อกู้วิกฤตไวรัสนั้น เกือบจะทำสำเร็จแล้วแต่ดันตายเสียก่อน และวินาทีที่เขาล้มลง ก็เห็นว่าเด็กคนสุดท้ายที่ตัวเองเห็น ก็คือตัวของเค้าเมื่อสมัยยังเป็นเด็ก สรุปก็คือเด็กคนนั้นก็จะโตมาเป็น บูรซ วิลลิส  และถูกส่งข้ามกาลเวลา...กลับมาตายต่อหน้าตัวเองอีก เป็นลูปวัฏจักร!  (แต่เด็กก็จะไม่รู้ว่านั่นคือตัวเค้าจากอนาคต)...*หรืออย่างกรณี ภาพยนตร์แฟรนไชส์ชื่อดังอย่าง Terminator ก็เกิดอาการวนลูปเชื่อมโยงเหตุการณ์ อดีต ปัจจุบัน อนาคต เช่นกัน แต่ใน Terminator กลับมีการแก้ไขผลของเหตุการณ์ได้ด้ว


........................................

- * น่าสนอีกเรื่องคือ The Butterfly Effect  ไอเดียจากทฤษฏีผีเสื้อกระพือปีก หรือ The Butterfly Effect  นั่นเอง หลักการง่ายๆคือ...เพียงแค่ผีเสื้อตัวเล็กขยับปีก ก็สามารถทำให้เกิดเหตุการณ์ใหญ่ อาทิ พายุ ในที่ห่างไกล ทั้งดูเหมือนไม่เกี่ยวกันเลย หรือเข้าทำนอง เด็ดดองไม้สะเทือนถึงดวงดาว!...ภาพยนต์เรื่อง The Butterfly Effect จะทำให้เห็นรูปธรรมของทฤษฎีนี้ได้มากขึ้นทีเดียว...ในอดีตเราเคยตัดสินใจทำอะไรไว้ แม้เป็นเพียงสิ่งเล็กๆ แต่มันก็อาจส่งผลต่ออนาคตอีกหลายปีต่อมาข้างหน้า อย่างมากมายคาดไม่ถึง!


เนื้อเรื่องในหนัง พระเอกสามารถย้อนเวลาโดยใช้พลังจิตพิเศษของตัวเอง จากการอ่านบันทึกย้อนความทรงจำ แม้เหตุการณ์ที่ได้ไปแก้ไข เปลี่ยนเงื่อนไขไป แต่ท้ายที่สุดผลลัพธ์ยังคงเหมือนเดิมเสมอ (แถมบางครั้งกลับส่งผล เลวร้ายกว่าเดิม)


........................................

ปล...*แต่ที่แน่ๆปัจจุบัน การย้อนเวลา ยังคงมีเพียงแค่จินตนาการในภาพยนตร์ และยังคงเป็นความฝันของมนุษยชาติตลอดมา แต่ยังไม่มีวี่แววจะเป็นไปได้แต่ประการใด... +_+

วันศุกร์ที่ 29 มิถุนายน พ.ศ. 2555

พระเจ้า คือ มนุษย์ต่างดาว!?


Prometheus (2012)


ภาพยนตร์ Prometheus  ทิ้งประเด็นปริศนากระตุ้นจินตนาการต่างๆไว้อย่างน่าสนใจ โดยเฉพาะ กรณี พระเจ้า!-ต้นกำเนิดมนุษยชาติ ส่งผลให้กลายเป็นหนังที่มีการถก-วิเคราะห์กันมากที่สุดแห่งปี 2012 ไปแล้ว!...และเป็นที่ยอมรับว่า Prometheus เป็นอีกหนึ่งหนังไซ-ไฟระดับ Masterpiece อีกเรื่องเป็นที่เรียบร้อย ด้วยมีลูกเล่น-จินตนาการแพรวพราว ฉากVFX อันพิถีพิถันประณีต สร้างความบันเทิงตื่นตาตื่นใจได้มากทีเดียว(ถึงบางคนดูแล้วงงๆก็ตาม :)
ตัวละครที่เรียกว่า Engineer ผู้พลีชีพตนเองด้วยสารเหลวสีดำลึกลับ ในตอนต้นเรื่องPrometheus ซึ่งไม่ทราบได้ว่าปรากฏอยู่บนดาวอะไรกันแน่(เพราะหนังไม่ได้บอก) แต่เข้าใจกันว่าน่าจะเป็น โลก? และเชื่อว่าดีเอ็นเอของผู้นี้แหละคือต้นกำเนิดสายพันธุ์มนุษยชาติ !?


*สนใจรายละเอียดเพิ่มเติมเชิงลึก เกี่ยวปริศนาน่าสนใจต่างๆ จากภาพยนตร์ Promtheus แนะนำที่เว็บไซต์ http://www.avp.siligon.com/
............................................................

ดร.เทพพนม เมืองแมน ยืนยัน UFO มนุษย์ต่างดาวมีจริง!?


.............................................................

ภาพยนตร์ Mission to Mars (2000) (*มีแนวคิดโครงเรื่องคล้ายๆ Prometheus พอสมควรทีเดียว) : เป็นหนังไซ-ไฟ อีกเรื่องที่น่าสนใจมาก...เนื้อเรื่องสรุปไว้ชัดเจนว่า สิ่งมีชีวิตบนโลก-มนุษยชาติ มีต้นกำเนิดมาจากดีเอ็นเอของมนุษย์ต่างดาว ดาวอังคาร นี่เอง---ชมวิดิโอคลิป บรรยากาศการเผยความลับของดาวอังคาร


MV ของ Fatboy Sim : แสดงทฤษฎีวิวัฒนาการอันยาวนานของมนุษย์...ไม่ใช่จากพระเจ้าสร้างโลก-เสกมนุษย์ภายใน 6 วันตามคติความเชื่อเชิงศาสนา


ทฤษฎีหนึ่งที่น่าจะเป็นแรงบันดาลใจสำคัญของหนังทั้งเรื่อง Prometheus และ Mission to mars นี้อันดูจะลงตัวกับธีมที่ว่าด้วยการท้าทายพระเจ้าในคติศาสนา(โดยเฉพาะศาสนาคริสต์) นั่นคือ "Ancient Astronauts" หรือทฤษฎีที่เชื่อว่าสิ่งมีชีวิตทรงภูมิปัญญาต่างดาว(Extraterrestrial Beings) ได้เคยมาเยือนโลกในช่วงประวัติศาสตร์ยุคโบราณ หรือยุคก่อนประวัติศาสตร์(Prehistory) และติดต่อกับมนุษย์มาแล้ว(หนังไซ-ไฟหลายๆเรื่องก็เอาประเด็นนี้มาเล่น อาทิ 2001 A Space Odyssey, Star trek หรือ Transformers ฯลฯ) และสิ่งมีชีวิตทรงภูมิปัญญาต่างดาวนั่นเองอาจเป็น พระเจ้าผู้มนุษย์ต่างดาว!ผู้สร้าง หรือ เป็นต้นกำเนิดมนุษย์...ผู้เสนอทฤษฎีนี้เชื่อว่าการติดต่อดังกล่าวได้ส่งอิทธิพลต่อการพัฒนาของมนุษยชาติทั้งใน มิติทางวัฒนธรรม, เทคโนโลยี-นวัตกรรมใหม่ๆ หรือแม้แต่ในด้านศาสนา ทฤษฎีนี้ถูกเสนอมาตั้งแต่ช่วงปลายศตวรรษที่ 19-ต้นศตวรรษที่ 20 ก่อนจะถูกพูดถึงอย่างจริงจังและแพร่หลายในครึ่งหลังศตวรรษที่ 20 โดยนักเขียนหลายคน ตัวอย่างหนึ่งในนั้นคือ "อีริช ฟอน ดานิเกน" (Erich von Däniken) นักเขียนชาวสวิส ในหนังสือชื่อ Chariots of the Gods (1968)

หนังสารคดี Chariots of the Gods (1970) สร้างตามแนวทางจาก ข้อมูลในหนังสือของ Erich von Däniken นั่นเอง---ชมวิดิโอฉบับเต็ม 1 ชั่วโมง!กว่าๆ ล่างนี้เลย



วันจันทร์ที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2555

Metropolis - หนังไซไฟ ตอนที่ 3 (จบ)


- ชม Metropilis ฉบับเต็ม -



จากคำถามที่ค้างไว้ตอนที่แล้ว ในตอนที่ 2 (Metropolis - หนังไซไฟ" ตอนที่ 2  คลิกที่นี่ )...

...เป็นคำถามที่น่าสนใจถามทิ้งไว้ในยุคนั้น แม้ปัจจุบันจะยังไม่ถึงปี 2063 (ตามเหตุการณ์ในท้องเรื่อง) เหลืออีกหลายปี แต่ก็คงพอมองออกถึงคำตอบทั้งสามข้อได้อย่างเป็นรูปธรรม และแม้ว่าสำหรับ กรุงเทพฯ หรือเมืองใหญ่จังหวัดต่างๆของประเทศไทยเรา...จะไม่ใช่เมืองใหญ่ๆในโลก แต่ในสภาพบ้านเมืองที่ทันยุคสมัยของกรุงเทพฯ ทั้งสาธารณูปโภค, การจราจร ,ความหนาแน่นของประชากร, ความเจริญในเมืองต่างๆ พร้อมทั้งคำว่า Bangkok Metropolis ก็อยู่ในความหมายของ กรุงเทพมหานคร หรือ มหานครกรุงเทพ ได้นั้น หรือดั่งคำที่ว่า มองละคร แล้วย้อนดูตัวก็ได้เช่นกัน ดังนั้นจะเห็นได้ว่า สามารถหาคำตอบทั้งสามข้อข้างต้นเทียบกับ Metropolis เป็นกรุงเทพมหานครได้ ดังนี้

จากคำถามข้อ 1 ว่า...จะควบคุมเทคโนโลยีได้หรือไม่? ถ้าลองยกตัวอย่างเช่น เทคโนโลยีของโทรศัพท์มือถือในปัจจุบัน ซึ่งถือว่าเป็นสิ่งสำคัญของคนเมือง แต่ทำไมพอมีมือถือรุ่นใหม่กว่า ออฟชั่นแปลกใหม่ ลูกเล่นแพรวพราว แล้วผู้คนยังต้องตามหามาครอบครองทั้งๆที่อันเก่าที่มีอยู่ก็ยังใช้ได้ เป็นการใช้จ่ายเพื่อเปลี่ยนตามเทคโนโลยีไป อย่างนี้ไม่รู้ว่าเราควบคุมเทคโนโลยี หรือ เทคโนโลยีควบคุมเรากันแน่...  ที่ทำให้มนุษย์เราต้องมีพฤติกรรมคอยตามตลอดเวลา นี่ยังไม่นับสิ่งที่กำลังถือว่าคนเมืองต้องมีอีกมาก เช่น คอมพิวเตอร์-โน๊ตบุ๊ค, แท็บเล็ต, รถยนต์ ฯลฯ

จากคำถามข้อ 2...เทคโนโลยีเปลี่ยนสภาพแวดล้อมการใช้ชีวิตไหม? ปัจจุบันในเมืองใหญ่ มนุษย์เงินเดือน-ผู้ใช้แรงงาน, คนทำงาน ฯลฯ ต้องตื่นแต่เช้าตรู่ไปทำงานติดอยู่ในรถ พักเที่ยง ทำงานบ่ายถึงเย็น แล้วเดินทางกลับบ้านติดอยู่บนรถอีก กว่าจะถึงบ้านก็ดึก เป็นซ้ำอย่างนี้ทั้งสัปดาห์ วันหยุดก็แห่กันไปเที่ยวรถก็ติดอีก เพียงแต่ย้ายที่รถติดเท่านั้น  กลับมาเริ่มทำงานสัปดาห์ใหม่ก็เหมือนเดิมอีกคล้ายๆกับถูกโปรแกรมไว้ เหมือนอะไรที่ถูกควบคุมอยู่ นอกจากนี้สภาพแวดล้อม ทั้งน้ำเสีย, อากาศเป็นพิษ, ขยะล้นเมือง ที่มีผลต่อคุณภาพชีวิตของผู้คนในเมือง อันเนื่องมาจากการอพยพเข้าเมืองใหญ่ๆ พร้อมกับเกิดการสร้างอาคารที่สูงๆ อยู่กันแบบหนาแน่น, การจราจรที่แออัด, ทางด่วนมหึมาทอดยาวมาบดบังแสงแดดเป็นระยะ ทำให้มหานครแห่งนี้ช่างสับสัน  จับต้นชนปลายไม่ถูก จะถือว่าเทคโนโลยีทำให้สภาพแวดล้อมเปลี่ยนไปไหม?

จากคำถามข้อ 3 ความเป็นมนุษย์ลดลงหรือไม่?  และหุ่นยนต์จะมาแทนที่มนุษย์หรือเปล่า? คงเคยได้ยินข่าวประจำวัน จำพวกเกี่ยวกับบ้านเล็กบ้านน้อยที่ว่า “รวมกันเราอยู่ ทิ้งกูมึงตาย” หรือข่าววัยรุ่นกับเรื่องเพศว่า”จิ๋มของหนู จุ๊ดจู๋ของผม” หรือการที่นักเรียนยกพวกตีกันเพราะหัวเข็มขัดไม่เหมือนกัน หรือโจรปล้นมือถือตามสะพานลอย หรือล่าสุด กับข่าวหนูน้อยเอเปค ที่มีสถิติที่น่าสนใจว่า ตั้งแต่ตุลาคม 2545 ถึง พฤษาคม 2546 มีเด็กถูกทอดทิ้งในสถานสงเคราะห์เด็กอ่อนพญาไท 141 คนเฉลี่ย เดือนละ 20 คน เทียบกับสถานสงเคราะห์เด็กอ่อนทั่วประเทศ พบว่ามีเด็กวัย 1 ถึง 6 ขวบถูกทิ้ง เฉลี่ยปีละ 500 คน หรือเดือนละ 40 คน  แสดงว่าเฉพาะกรุงเทพฯ ก็ทอดทิ้งเด็กครึ่งหนึ่งของทั้งประเทศแล้วในแต่ละเดือน          แม้ใน Metropolis มีบทสรุปที่แสดงถึงว่า ความเป็นมนุษย์ถูกทำลายลงด้วยเทคโนโลยีที่มนุษย์สร้างขึ้นเอง  แล้วบทสรุปของมหานครกรุงเทพ-มหานครเมืองใหญ่ต่างๆ จะเป็นแบบไหนต่อไป ในเมื่อความเป็นมนุษย์ถูกบั่นทอน แต่หุ่นยนต์ เช่นไอโบ้ หุ่นยนต์สุนัข หรือ ไอซิโม้ หุ่นยนต์คล้ายมนุษย์ กับเริ่มพัฒนาทางความสามารถเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ต่อไปเราจะสามารถแยกกันออกหรือเปล่าว่า ใครเป็นมนุษย์?  ใครเป็นหุ่นยนต์?  

จากคำตอบทั้งสามข้อ การควบคุมการผลิตของเทคโนโลยี (หรือควบคุมพฤติกรรมมนุษย์), การทำให้เกิดเปลี่ยนแปลงสภาพชีวิตของผู้คน แทนที่จะมีเวลาให้กันและกันในครอบครัวกับต้องแยกขนาดเป็นครอบครัวเล็กลงตามสภาพเศรษฐกิจที่โยงไปเกี่ยวกับเทคโนโลยีอีกที คงเคยได้ยินคำว่า “โดดเด่นในหน้าที่   โดดเดี่ยวในครอบครัว” กัน และการที่เทคโนโลยีสามารถควบคุมสังคมทำให้ความเป็นมนุษย์ลดลง แต่หุ่นยนต์กลับมีส่วนคล้ายมนุษย์มากขึ้นในด้านความสามารถต่างๆ

ดังนั้นภาพยนตร์เรื่อง  Metropolis  ถึงแม้จะสร้างไว้กว่า 77 ปีมาแล้ว  กับมีมุมมองต่อความหวาดระแวงในการมาของหุ่นยนต์ต่างๆ หรือเป็นความหวาดหวั่นกับสิ่งอื่นที่ยังมาไม่ถึง...แต่ตอนนี้เราผู้ยืนอยู่เริ่มต้นของศตวรรษที่ 21 พอจะมองอนาคตของหุ่นยนต์บวกกับการมาของโลกยุคดิจิตอลในยุคถัดไปเร็วๆนี้ ว่าจะเตรียมรับมือกันอย่างไรกันดี...น่าคิดนะ

 นี่คือ "David" (จาก ภาพยนตร์ Prometheus 2012)...เขาคือ หุ่นยนต์! แอนดรอยด์(ภายนอกเหมือนคนทุกประการ) ที่มนุษยชาติใฝ่ฝันถึง...และมันคงเกิดขึ้นได้จริงอีกไม่นานนักในอนาคต ก็เป็นได้...
- จบ -

* Credit ขอขอบคุณ : ข้อมูลบางส่วนจากเอกสารแจกในงานเสวนา เรื่อง อิทธิพลของ Metropolis ต่อภาพยนตร์แนววิทยาศาสตร์ ของ Dr. Hans-Peter Rodenburg เมื่อ 22 ต.ค. 2546 และบทวิจารณ์หลังจากการเข้าชมภาพยนตร์ปิดเทศกาลหนัง World film festival of

Bangkok เรื่อง Metropolis เมื่อ 26 ต.ค. 2546


วันอาทิตย์ที่ 22 เมษายน พ.ศ. 2555

Metropolis - หนังไซไฟ ตอนที่ 2


* Metropolis - หนังไซไฟ ตอนที่ 1  คลิกที่นี่

Metropolis เป็นเรื่องของมหานครตึกระฟ้าในโลกอนาคตที่เจริญรุ่งเรืองทางด้านเทคโนโลยี มีทั้งถนนทางด่วนพาดผ่านกลางตัวเมืองหลายชั้น มีรางรถไฟฟ้า และเครื่องบินที่สามารถจอดลงบนหลังคาตึกอาคารสูงๆได้ แต่ก็มีการแบ่งชนชั้นกันของสองกลุ่มระหว่างกลุ่มชนชั้นส่วนใหญ่ที่เป็นทาสทำงานอยู่กับเครื่องจักรกลใต้ดิน กับพวกชนชั้นที่สูงกว่าผู้คอยเสวยสุขกับสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ โดยมีผู้นำจอมเผด็จการชื่อ  "John Fredersen" ที่กำลังหาทางกำจัดกลุ่มทาสที่รวมตัวกันต่อต้าน และมี  "Maria"  แม่พระคนสวยของเหล่าทาสเป็นผู้นำ

- Metropolis 1926 : สร้างหุ่น "Maria" -

แต่แล้วเรื่องถึงจุดหักเหเมื่อ "Freder" ลูกชายของ John Fredersen  กลับพบรักกับ Maria แล้วไปพบความไม่ยุติธรรมกับคนงานใต้ดินจึงขอร้องให้พ่อจอมเผด็จการของเขาช่วยแก้ไขกรณีนี้ให้...ซึ่งกลับทำให้ John Fredersen  เร่งร่วมมือกับ นักวิทยาศาสตร์สติเฟื่อง "Rotwang" สร้างหุ่นยนต์สาวให้เหมือน Maria  แล้วปลอมตัวไปยุยงคนงานใต้ดินให้ก่อความรุนแรงวุ่นวายขึ้น เพื่อเป็นข้ออ้างในการกำจัดชนชั้นแรงงานทาสให้สิ้นซากต่อไป แต่ท้ายสุดหนังจบลงแบบแฮปปี้เอนดิ้ง เมื่อทุกฝ่ายเข้าใจกัน พร้อมฝากข้อคิดว่า “หัวใจ คือ ตัวกลางระหว่างสมองและแรงงาน”  และภาพยนตร์ยังแฝงถึงความหวาดหวั่นต่อการมาของหุ่นยนต์ หรือผลของเทคโนโลยีต่อชีวิตมนุษย์ด้วย

แม้เนื้อเรื่องจะออกดูคล้ายนวนิยายเก่าๆของค่ายหนังดังหลายค่ายนิยมสร้างออกมาให้ดูกัน ประมาณเรื่องของชายผู้สูงศักดิ์หลงรักหญิงผู้ยากไร้ มีอุปสรรคมาขวางกั้น แต่ก็กลับจบแบบสุดแฮปปี้ แต่สิ่งที่ทำให้ Metropolis ถูกเล่าขานไม่รู้จบ คือ ฉากของเมืองในอนาคต ที่อยู่ในอุดมคติอัดสะท้อนถึงความไม่แน่นอนของอนาคต

ภาพยนตร์เรื่องนี้ใช้ผู้แสดงประกอบถึง 36,000 คน ความโดดเด่นในฉากเมืองนี้ทำให้เกิดการจัดแสงแบบ Dark city (คือเมืองโทนมืดแฝงไปด้วยภัยพิบัติ) ทำนอง ฉากเมืองแห่งอนาคตในภาพยนตร์ Blade Runner (1982) และ จุดเด่นของการปรากฎตัวของหุ่นยนต์สาว ซึ่งในสมัยนั้นถือเป็นเรื่องใหม่มาก การเคลื่อนไหวที่คล้ายผู้คนทำให้เป็นต้นแบบให้กับหนังหุ่นยนต์ในยุคหลัง  เช่น หุ่นยนต์ C3-PO, ใน Star wars (1977) และล่าสุดก็มี หุ่นยนต์สาว T-X ใน Terminator 3 : Rise of the machines นับได้ว่าการสร้างหุ่นยนต์  และฉากบ้านเมืองในอนาคตของ Metropolis นี้  ได้กลายเป็นตำนานเป็นแบบอย่างที่สำคัญหนังไซไฟยุคต่อๆมาเลยทีเดียว

คำ Metropolis แปลว่า มหานคร หนังออกฉายในปี 1926 เป็นช่วงหลังการแพ้สงครามโลกของเยอรมัน  พร้อมเกิดการเปลี่ยนแปลงการปกครองเป็นสาธารณรัฐ บรรดาศิลปินจึงแสดงผลงานในรูปต่างๆ ซึ่งมีผลต่อหนังอันถือเป็นจุดยืนในการแสดงออกทางการเมือง โดยได้ตั้งคำถามที่ท้าทายสำหรับยุคสมัยนั้น(และยังคงเป็นคำถามมาถึงยุคปัจจุบัน) ไว้สามข้อคือ...

1. เราจะไว้ใจว่าวิทยาศาสตร์สมัยใหม่จะสามารถควบคุมผลผลิตทางเทคโนโลยีของมันเองได้อย่างไร?
2. เทคโนโลยีจะเปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อมของการใช้ชีวิตอย่างไร?

3. เทคโนโลยีจะเข้ามาควบคุมสังคมในขณะที่ความเป็นมนุษย์จะลดลงเรื่อยๆหรือไม่?  หุ่นยนตร์จะมีศักยภาพถึงขึ้นมาแทนมนุษย์ได้หรือไม่?...


"Metropolis - หนังไซไฟ" ตอนต่อไป ตอนที่ 3 (จบ)  คลิกที่นี่ 

* Credit ขอขอบคุณ : ข้อมูลบางส่วนจากเอกสารแจกในงานเสวนา เรื่อง อิทธิพลของ Metropolis ต่อภาพยนตร์แนววิทยาศาสตร์ ของ Dr. Hans-Peter Rodenburg เมื่อ 22 ต.ค. 2546 และบทวิจารณ์หลังจากการเข้าชมภาพยนตร์ปิดเทศกาลหนัง World film festival of
Bangkok เรื่อง Metropolis เมื่อ 26 ต.ค. 2546

วันศุกร์ที่ 6 เมษายน พ.ศ. 2555

Metropolis - หนังไซไฟ ตอนที่ 1


* จะเห็นว่าตอนนี้ Blog มี Link แนะนำด้านข้าง เป็นเว็บมหากาพย์หนังSci-fi ยอดนิยมถึง 5 เว็บ! แล้วด้วยกัน...แต่ละเรื่องคงจะเป็นที่รู้จัก-คุ้นๆกันดี และแต่ละเรื่องก็เป็นหนังไซไฟในตำนานที่ยังคงล้ำสมัย -ล้ำจินตนาการ ยังคงเป็นที่กล่าวขวัญถึง บวกให้แรงบันดาลใจกับผู้คนทั่วโลกจนถึงทุกวัน...ก็ลองเข้าไปเยี่ยมชมกันนะครับ รับรองไม่ผิดหวัง :)...

...
ส่วนตัวรู้สึกว่าทุกวันนี้ เทคโนโลยี-นวัตกรรม(โดยเฉพาะ IT)ใหม่ๆ รวมไปถึงกระแสหุ่นยนต์-จักรกล ทำนองหนังไซไฟ เริ่มจะเข้ามามีบทบาท(จนถึงคุกคาม!)กับชีวิตจริงประจำวันของมนุษย์เรามากขึ้น ทุกที ทุกที! แล้วซินะ...โลกอาจพลิกโฉมในไม่ช้านี้ก็เป็นได้!...

...พูดถึงหนังไซไฟ แล้วจึงอยากจัดข้อมูลดีๆมาลง Blog อันเกี่ยวกับหนังประเภทนี้กันซะหน่อย โดยจะเน้นหนังระดับต้นตระกูลไซไฟในตำนานอย่าง "Metropolis" เป็นพิเศษ ถึงแม้จะเป็นหนังเก่ากึ๊กรุ่นปู่ แต่มันไม่ธรรมดาเลย!...


คำว่า ภาพยนตร์นิยายวิทยาศาสตร์ (Science Fiction Movies) หรือ หนังไซไฟ ( Sci-fi)  ได้เริ่มใช้ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1923  โดยหนังมีลักษณะเด่นที่สามารถสังเกตได้จากองค์ประกอบหลายอย่าง  คือ ลักษณะของตัวละคร เป็นมนุษย์ในอวกาศ, ฉากเหตุการณ์เป็นช่วงเวลาในอนาคต, สถานที่ในอวกาศ, แบบแผนโครงเรื่องมักขับไล่สัตว์ร้าย, แก่นเรื่องเป็นชัยชนะของมนุษยชาติ  และอื่นๆ เช่น มีชุดพร้อมเทคโนโลยี, ปืนมีลำแสง, ยานอวกาศ ฯลฯ

ทุกวันนี้เราจะเห็นหนังไซไฟในหลากหลายรูปแบบ   โดยมักจะไปรวมกับหนังแนวอื่นด้วย ทั้งแฟนตาซี (E.T. The Extra-Terrestrial ,1982), สยองขวัญ (Aliens, 1986), ผจญภัย(Back to the Future ,1985) และอื่นๆอีกมากมาย     แต่ถ้าเราย้อนกลับไปหารากเหง้า หรือต้นกำเนิดตระกูลของหนังประเภทนี้ ในแต่ละยุคสมัยแล้ว จะเห็นหนังไซไฟที่หลากหลาย ดังนี้

ปัจจุบันกับ ยุค Cyberspace-Social Network และความหลากหลาย เช่น The Matrix (1999), Jurassic Park (1993) , Terminator (2009) , Trenasformers (2011) , Battleship (2012) Prometheus (2012) ฯลฯ

ยุค 80’s กับการมาของหุ่นยนต์ เช่น Blade Runner (1982), Robocop (1987) ฯลฯ

ยุค 70’s กับ Star war (1977) และ Star Trek: The Motion Picture (1979) ฯลฯ

ยุค 60’s กับการสำรวจอวกาศ เช่น 2001: A Space Odyssey (1968), The Time Machine (1960) ฯลฯ

ยุค 50’s กับการบุกรุกของสงครามเย็นในรูปของมนุษย์ต่างดาว เช่น  Invasion U.S.A.(1952) ฯลฯ

ยุค 1935-1949 กับ Flash Gordon ที่มาจากการ์ตูนวิทยาศาสตร์ ฯลฯ

ยุค 1920-1934  กับยุคหลากหลาย ทั้ง สังคมที่ไม่พึงปรารถนา (Dystopia) เช่น Metropolis (1926), เทพนิยายในอนาคต (Space Opera) เช่น นิยายเรื่อง Skylark of space (1928 ) และหนังไซไฟสยองขวัญ เช่น Frankenstein (1931) ฉบับมูฟวี่ ฯลฯ

และ ยุค 1800-1919 กับการเริ่มต้นจากนิยายวิทยาศาสตร์เรื่อง Frankenstein  และภาพยนตร์เงียบของการเดินทางไปดวงจันทร์ยาว 14 นาที เรื่อง A Trip to the Moon (1902) ฯลฯ

ในบรรดาหนังที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นต้นแบบของหนังไซไฟที่ดีที่สุดตลอดกาล  จนถึงทุกวันนี้คือ ภาพยนตร์เรื่อง 2001 : A Space Odyssey (1968)  ของ "Stanley Kubrick"  ที่บอกเล่าเรื่องราวของโลกในอนาคตตามความเชื่อของผู้สร้างและนักวิทยาศาสตร์สมัยนั้น ที่ได้คาดการล่วงหน้าถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้นในปี ค.ศ. 2001 ได้ใกล้เคียงอย่างน่าประหลาดใจ     และถ้าย้อนไปก่อน 2001 : A Space Odyssey ก็ยังมี ภาพยนตร์ที่ได้รับการยกย่องว่า เป็นภาพยนตร์วิทยาศาสตร์คลาสสิกที่ดีสุดสมัยภาพยนตร์เงียบขาว-ดำ นั้นคือเรื่อง Metropolis (1926) หนังเชื้อสายเยอรมันของผู้กำกับชาวออสเตรีย "Fritz Long"  ที่สร้างฉากหลังเป็นเหตุการณ์ในปี 2063 ของอนาคตได้อย่างน่าทึ่ง...

"Metropolis - หนังไซไฟ" ตอนที่ 2 ต่อ  คลิกที่นี่ 

* Credit ขอขอบคุณ : ข้อมูลบางส่วนจากเอกสารแจกในงานเสวนา เรื่อง อิทธิพลของ Metropolis  ต่อภาพยนตร์แนววิทยาศาสตร์ ของ Dr. Hans-Peter Rodenburg เมื่อ 22 ต.ค. 2546 และบทวิจารณ์หลังจากการเข้าชมภาพยนตร์ปิดเทศกาลหนัง World film festival of

Bangkok   เรื่อง Metropolis  เมื่อ 26 ต.ค. 2546

วันอังคารที่ 6 มีนาคม พ.ศ. 2555

"อิคคิวซัง" ตัวจริงในประวัติศาสตร์

หากย้อนไปเมื่อ 20 กว่าปีก่อน ในไทยมีการ์ตูนญี่ปุ่นที่เข้ามาฉายในไทยอยู่ไม่กี่เรื่อง ที่รู้จักกันดี ก็เช่น โดราเอม่อน อาราเร่ ผีน้อยคิวทาโร่ และโดยเฉพาะ อิคคิวซัง ...ซึ่งหลายๆ คนคงจะคุ้นๆ จำกันได้ดี จนทุกวันแม้แต่เด็กรุ่นใหม่ก็ยังรู้จัก "เณรน้อยเจ้าปัญญา อิคคิวซัง" ความน่ารักของตัวการ์ตูน และเนื้อหาที่สนุกสนาน ยังคงมาสร้างความบันเทิง ในบ้านเราไม่มีวันจบสิ้น อิคคิวซัง จึงเป็นการ์ตูนอมตะอีกเรื่องหนึ่ง

แต่จะมีใครรู้บ้างว่าที่ญี่ปุ่น พระอิคคิวซัง มีตัวตนอยู่จริง มีหลักฐานต่างๆ ที่ยืนยันว่า "อิคคิวซัง" ไม่ได้เป็นแค่การ์ตูน แต่กลับเกี่ยวข้องกับประวัติศาสตร์ของญี่ปุ่น เลยทีเดียว


- ก่อนอื่น ฟังเพลงซาบซึ้งกินใจ "อิคคิวซัง ตอนจบ" คำแปลไทย -
ตุ๊กตาแขวนของแม่ ให้อิคคิวซังไว้ดูต่างหน้าเมื่อยามไกลกัน


ท่านแม่ครับ สบายดีหรือเปล่า
เมื่อคืนผมเห็นดาวดวงหนึ่งส่องแสงสุกใสงอยู่บนปลายยอดไม้ซีด้า
เมื่อจ้องมองดาวดวงนั้นผมรู้สึกถึงความอ่อนโยนของท่านแม่
ผมคุยกับดวงดาวนั้นว่าผมเป็นลูกผู้ชายจะไม่ท้อแท้
ถ้าเมื่อใดที่ผมเหงาผมจะมาคุยด้วยอีก
แค่นี้นะครับ แล้วจะเขียนจดหมายไปหาท่านแม่อีก...อิ๊กคิว

ท่านแม่ครับ สบายดีหรือเปล่า
เมื่อวานนี้ที่วัดของเรามีคนจากหมู่บ้านข้างๆเอาลูกแมวตัวน้อยมาให้
เจ้าแมวน้อยร้องไห้เพราะว่ายังติดแม่ของมันอยู่
ผมบอกกับมันว่าอย่าร้องไห้ไปเจ้าจะไม่เหงาหรอก
เป็นลูกผู้ชายใช่ไหม แล้ววันหนึ่งเจ้าจะได้เจอแม่เอง
แค่นี้นะครับ แล้วจะเขียนจดหมายไปหาท่านแม่อีก...อิ๊กคิว

..........................................................


- ประวัติชีวิตอันโลดโผนของ "อิคคิวซัง" ตัวจริง! ในประวัติศาสตร์ -
(ชีวิตจริงกับในการ์ตูน มันแตกต่างกันมาก)

รูปปั้นเณรน้อยเจ้าปัญญา อิคคิว โซจุน หรือที่คุ้นเคยว่า "อิคคิวซัง" นั้นเอง(ญี่ปุ่น: 一休宗純 Ikkyū Sōjun ?) (พ.ศ. 1937–2024) เป็นพระนิกายเซนชาวญี่ปุ่นที่มีชีวิตอยู่ในช่วงยุคมุโระมะจิ และเป็นต้นแบบของอิคคิวซังในการ์ตูนเณรน้อยเจ้าปัญญา...รูปขวา ภาพวาด พระอิกคิวซังวัยกลางคน
เมื่อ 600 ปีที่ผ่านมาเป็นยุค มุโระมะจิ (Muromachi) (ประมาณพศ.1338-1573)...มีพระในนิกายเซน ถือกำเนิดขึ้นที่ใครๆ รู้จักกันดีในนาม "Ikkyu San หรือ อิคคิวซัง"...พ่อของเขาคือจักรพรรดิ Gokomatsu ซึ่งมีชายาสองฝ่าย คือ Nantyo (ชายาฝ่ายใต้) และ Hokutyo (ชายาฝ่ายเหนือ)

แม่ของอิคคิวซังคือ Nantyo (นันอีโย) แต่กลับเป็นภรรยาชั้นรองของจักรพรรดิ และทรงตั้งครรภ์...จักรพรรดิเกรงอำนาจของชายาฝ่ายเหนือ...แม่ของอิคคิวซัง โดยพิษการเมืองในวังเล่นงานจึงต้องออกจากราชวังตั้งแต่อิคคิวซังยังไม่เกิด...ต่อมาอิคคิวซังได้ถือกำเนิด เมื่อวันที่ 1 ม.ค. ค.ศ.1349 หรือ พ.ศ.1892 ณ เมืองซะกะโน ใกล้เมืองเกียวโต โดยมีชื่อในวัยเด็กว่า "เซนงิกามารุ" และเมื่อโตขึ้นแล้วพระนางนันอีโยได้ส่งอิคคิวซังมาบวชเรียนที่ "วัดอังโกะกุจิ" ตอนอายุได้ 6 ขวบ เพื่อหนีภัยการเมือง และหลายครั้งเธอไม่ยอมพบกับอิคคิวซัง เพราะต้องการให้อิคคิวซังเป็นคนเข้มแข็งไม่ติดแม่

เซนงิกามารุ หรือ อิคคิวซังตั้งอกตั้งใจศึกษาพระธรรม ความเจ้าปัญญาฉายแววขึ้นตามอายุ ในวัยประมาณ 10 ขวบ อิคคิวซังแต่งกลอนวิพากษ์วิจารณ์ความประพฤติที่ไม่เหมะสมของพระภิกษุนิกายหนึ่งที่กอบโกยทรัพย์สินยศฐาบรรดาศักดิ์บนความทุกข์ยากของชาวบ้าน

พออายุ 13 ปี มีโอกาสเข้าพบแม่ทัพใหญ่ชื่อ "อาซิคะงะโยชิมิสึ" หรือ "ท่านโชกุน" ในการ์ตูนนั่นเอง

อายุได้ 17 ปี อิคคิวซังได้ออกจากวัดอังโกะกุจิฝากตัวเป็นศิษย์ของ "หลวงพ่อเคนโอ" ที่วัดไซกอนจิ ณ วัดแห่งนี้หลวงพ่อเคนโอเน้นการปฏิบัติโดยต้องทำงานอย่างหนัก และต้องอยู่กับสิ่งสกปรกเสียเป็นส่วนใหญ่

ต่อมาหลวงพ่อมรณภาพ อิคคิวซังจึงเดินทางไปวัด "อิชิยามา" อดอาหาร 7 วัน 7 คืน เพื่อสวดมนต์อุทิศส่วนบุญส่วนกุศลให้อาจารย์ต่อหน้าพระโพธิสัตว์ ด้วยความเสียใจนี้เองจึงคิดฆ่าตัวตาย ระหว่างที่เดินลงไปแม่น้ำเซตะ อิคคิวซังจึงอธิษฐานจิตว่า "ถ้าพระโพธิสัตว์ต้องการให้ข้าพเจ้ามีชีวิตอยู่ก็ขอให้ข้าพเจ้าฆ่าตัวตายไม่สำเร็จ แต่หากชีวิตข้าพเจ้าไร้ซึ่งคุณค่าเสียแล้ว ข้าพเจ้าขออุทิศสังขารให้เป็นอาหารของปลาและสัตว์น้ำ" ระหว่างที่ดิ่งลงในท้องน้ำ อิคคิวซังก็นึกถึงหน้าท่านแม่และคำสอนขึ้นมาทันใด "เป็นลูกผู้ชายต้องไม่ย่อท้อ" อิคคิวซังจึงเปลี่ยนใจตะเกียกตะกายกลับขึ้นฝั่ง

หลังจากนั้น พอท่านอายุได้ 23 ปี ก็ไปฝากตัวเป็นศิษย์ของหลวงพ่อ "คะโซ" แห่งวัดโคอัน ซึ่งเป็นพระสงฆ์ทรงสมณศักดิ์ แต่พอใจที่จะใช้ชีวิตอย่างสมถะและพอใจในวัตรปฏิบัติอย่างเคร่งครัดและหนักหน่วง อิคคิวซังต้องทำงานทั้งวัน นอกจากใช้แรงงานในวัดแล้ว อิคคิวซังยังต้องสานรองเท้า เย็บเสื้อผ้าตุ๊กตาผู้หญิง และออกไปขายแรงงาน! ในหมู่บ้านละแวกนั้น ซ้ำยังโดนพระรุ่นพี่ที่ไม่ชอบหน้ากลั่นแกล้ง ทำร้าย-เตะต่อยอยู่เสมอ แต่อิคคิวซังก็อดทนในที่สุดความพยายามที่จะค้นหาสัจธรรมก็สำเร็จ เมื่ออิคคิวซังสามารถแก้ปริศนาธรรมที่หลวงพ่อคะโซตั้งไว้ได้สำเร็จ ด้วยวัยเพียง 25 ปีเท่านั้น และที่นี่เอง ที่ได้รับฉายาใหม่ว่า "อิคคิว โซจุน" หรือคำไทยว่า อิคคิวซัง อันหมายถึง "รู้พ้นจากโลกสมมติตามบัญญัติของลัทธิเซน" อิคคิวซังน่าจะเป็นพระภิกษุที่บรรลุธรรมในขณะอายุยังน้อยรูปหนึ่งในพระพุทธศาสนา ท่านบรรลุธรรมในขณะที่นั่งสมาธิบนเรือริมฝั่งทะเลสาบ... "เหตุแห่งความทุกข์และความเศร้าหมองที่เกิดขึ้นในชีวิตล้วนเกิดจากจิตที่เต็มไปด้วยอัตตา" คือแก่นธรรมที่ท่านค้นพบ

เมื่อทราบว่าอิคคิวซังสามารถบรรลุแก่นธรรม หลวงพ่อคะโซมีความประสงค์ที่จะมอบใบสำเร็จเปรียญธรรม และตำแหน่งเจ้าอาวาสให้อิคคิวซังสืบทอด แต่อิคคิวซังปฏิเสธด้วยเหตุผลว่า "ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนเป็นสิ่งสมมติ" ท่านจึงขอลาออกธุดงค์

กระทั่งอายุ 34 ปี อิคคิวซังมีโอกาสเข้าเฝ้าท่านพ่อ ซึ่งเป็นองค์จักรพรรดิ ชีวิตในช่วง34นี้เองที่เป็นที่กล่าวขวัญถึง และขยาดหวาดกลัวและเกลียดชังจากภิกษุด้วยกัน ครั้งหนึ่ีงอิคคิวซังเคยไปร่วมงานครบรอบวันมรณภาพของพระผู้ใหญ่รูปหนึ่งด้วยสภาพมอมแมมสกปรกจีวรหลุดลุ่ย พร้อมทั้งด่าทอพระที่มือถือสากปากถือศีล เพราะในสมัยนั้นมีพระภิกษุชั้นผู้ใหญ่จำนวนมากที่ทำตัวเคร่งพระวินัย ถึงขนาดบอกว่าผู้หญิงเป็นมารศาสนา แต่กลับลักลอบให้แม่เล้า-แมงดานำโสเภณีมาบำเรอถึงในกุฏิ

นอกจากนี้อิคคิวซังยังต่อต้านพระผู้มีอิทธิพล มีหลายรูปที่หลอกชาวบ้านว่าจะสามารถบรรลุธรรมได้หากบริจาคปัจจัยให้พระมากๆ...อิคคิวซังปฏิเสธสังคมวงการพระในขณะนั้นอย่างรุนแรง และอิคคิวได้ทำทุกอย่างที่ถือว่าเป็นอาบัติ! เช่น ดื่มสุรา เล่นการพนัน ฉันเนื้อสัตว์ ไม่โกนผมและหนวดเครา เดินเข้าออกซ่องโสเภณีอย่างเปิดเผยเป็นว่าเล่น!...การกระทำแบบนี้อิคคิวซังต้องการประชดต่อต้านและเสียดสีพระจอมปลอมในยุคนั้นให้ละอายกับการลวงโลก อิคคิวซังคบหาและปฏิบัติกับโสเภณีอย่างเปิดเผยสุภาพและให้เกียรติ ท่านเคยแบ่งส้มจากบาตรให้โสเภณีอดอยากทาน ทั้งยังเคยปีนเขาเสี่ยงตายไปหาสมุนไพรมารักษาโสเภณีที่ป่วยหนักแม้ว่าต่อมาจะเสียชีวิตก็ตาม

เมื่อท่านอายุได้ 75 พรรษา ระหว่างที่ธุดงค์เร่ร่อนหลบภัยสงครามภายในประเทศมาอยู่ที่เมืองซึมิโยชิ ท่านได้พบกับ "โมริ" ศิลปินหญิงขอทานตาบอด! ซึ่งภายหลังท่านได้รับเลี้ยงดูนาง ทั้งคู่ได้ใช้ชีวิตร่วมกันคืนเดียว โมริก็หนีไปเพราะเกิดความอับอายและเกรงว่าตนเองจะทำให้อิคคิวซังเสื่อมเสียชื่อเสียงแต่นางก็กลับมาหาอิคคิวซังอีกหน เพราะไม่สามารถดำรงชีวิตลำพังได้ในสภาวะสงครามได้

เมื่ออายุได้ 85 พระจักรพรรดิแต่งตั้งให้อิคคิวซังเป็นเจ้าอาวาสวัดไดโตะกุจิ ซึ่งเป็นวัดหลวงที่สำคัญที่สุดในสมัยนั้น เมื่อไม่สามารถขัดพระราชประสงค์ได้ อิคคิวซังจึงยอมรับตำแหน่ง แต่เพียงแค่วันเดียว! ก็ลาออกกลับมาอยู่วัด เมียวโชจิ ที่ท่านสร้างขึ้นเอง จวบจนวาระสุดท้าย หลังจากกลับมาอยู่วัดนี้ ได้เพียง 2 ปีท่านเป็นมาเลเรีย ท่านละสังขารในท่านั่งสมาธิในอ้อมกอดของ โมริ ในวันที่ 21 พฤศจิกายน ค.ศ.1481 หรือ พ.ศ.2024 เมื่ออายุได้ 88 ปี

*** ชินเนม่อน รู้จักกับอิคคิวตอนอายุ 30 ปี จากการถามตอบ ปุจฉา-วิสัจฉนา ชินเนม่อนเป็นทหารรับใช้ท่านโชกุนอาชิคางะ โยชิโนริ (โชกุนลำดับที่ 6 ในรัฐบาลมุโรมะจิ) ทำหน้าที่ดูแลการเงินของรัฐบาล มีพรสวรรค์ในการแต่งโครงกลอนเป็นเลิศ ออกติดตามเป็นลูกศิษย์อิคคิวในช่วงบั้นปลายชีวิตเพื่อศึกษาพระธรรม

*เครดิตข้อมูล : mthai.com

วันพฤหัสบดีที่ 23 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

ฝัน! เดอะเมทริกซ์-จอห์น เลนนอน-จวงจื่อ


ขอแนะนำเว็บ เว็บ "ปรัชญา เดอะเมทริกซ์"
http://www.matrix.siligon.com/ (Link รูปโลโก้ขวามือ)

...ชีวิต-โลก ที่เราดำเนินอยู่ทุกวันและเราคิดว่าจริง มันอาจเป็นแค่เพียงฝัน(แต่ฝันยาวหน่อย)...ตัวตนแท้ๆของเราอาจนอนหลับนิ่งอยู่ ณ ที่ใดที่หนึ่งสักที่ ในห้วงจักรวาล!...ทำนองเดียวกับหนัง The Matrix...

Have you ever had a dream, Neo, that you were so sure was real? What if you were unable to wake from that dream? How would you know the difference between the dream world... and the real world..."คุณเคยฝันใช่ไหมนีโอ ในฝันมันสมจริงมาก แล้วถ้าคุณไม่ตื่นจากฝันล่ะ? คุณจะรู้ความแตกต่างได้อย่างไร ระหว่าง โลกแห่งความฝัน กับ โลกแห่งความจริง?" คำพูดของ มอร์เฟียส กับ นีโอ ใน ภาพยนตร์ "The Matrix" ...ทำให้นึกถึงเพลงหนึ่งของ John Lennon...

"So long ago Was it in a dream, was it just a dream? I had know, yes I know Seemed so very real,...นานมาแล้ว ในความฝัน มันคือฝันจริงๆหรือ? ดูเหมือนมันสมจริงมาก...เนื้อเพลงตอนต้น เพลง "#9 Dream" โดย John Lennon

ในโลกอนาคตปี ค.ศ.2199 นั้น พวกหุ่นยนต์ปัญญาเลิศที่มนุษย์สร้างขึ้นมากับมือ (ด้วยศาสตร์ที่เรียกว่า ปัญญาประดิษฐ์ หรือ Artificial Intelligence, AI) ได้แหกกฎเหล็กของหุ่นยนต์ทำสงครามชนะคน พลพรรคหุ่น AI ได้คิดหาวิธีดึงพลังงานความร้อนและพลังงานไฟฟ้าจากร่างกายของคน โดยการเลี้ยงคนให้อยู่ในสภาพหลับยาวเพื่อดูดเอาพลังงานดังกล่าวออกไปใช้ และควบคุมอำพรางคนไม่ให้ตื่นรู้ความจริง ด้วยการทำให้จิตของแต่ละคนไปอยู่ในโลกจริงเสมือน หรือโลกฝัน ที่เรียกว่า "เดอะเมทริกซ์"

ประเด็นที่น่าสนใจเกี่ยวกับความฝัน อีกกรณีคือ : "จวงจื่อ" ปรัชญาเมธีสำคัญคนหนึ่งของจีน เมื่อราว 2,000 ปีก่อนเคยกล่าวไว้ว่าทำนองเดียวกับเพลงของ John Lennon... "ครั้งหนึ่ง ข้าพเจ้าฝันไปว่าเป็นผีเสื้อโบยบินไปมาอย่างสบายใจ ไม่มีความวิตกกังวลใดๆ ผีเสื้อตัวนี้ไม่รู้เลยว่ามันคือจวงจื่อ แต่แล้วในทันใดก็ตื่นขึ้นรู้สึกตัวว่าตัวคือจวงจื่อ ข้าพเจ้ารู้สึกว่าเป็นการยากที่จะบอกได้ว่า ตนเองเป็นจวงจื่อที่ฝันไปว่าเป็นผีเสื้อตัวนั้น หรือว่าผีเสื้อตัวนั้นฝันไปว่ามันเป็นจวงจื่อ" อย่างไรก็ตาม ระหว่างผีเสื้อกับจวงจื่อจะต้องไม่เหมือนกันแน่ แต่ในความฝันไม่อาจจะรู้ได้ว่า ภาวะทั้งสองนี้แตกต่างกัน จะพูดว่า จวงจื่อฝันเป็นผีเสื้อก็ถูก ฤาจะกล่าวว่า ผีเสื้อฝันเป็นจวงจื่อ ก็ได้ นี้เรียกว่า ความเปลี่ยนแปลงแห่งสภาวะทั้งสองสภาวะ เปลี่ยนรวมเป็นเอกภาพเดียวกัน

นอกจากความฝันแล้วยังมีประเด็นที่น่าสนใจอีกมากมาย กรณีภาพยนตร์ The Matrix ...และเว็บ "ปรัชญา เดอะเมทริกซ์" จะถอดรหัสเล่านั้นออกมาในเชิงปรัชญาแง่มุมต่างๆ ให้ได้ลองพิจารณา-ขบคิดกัน สนุกๆ

.................................................................


John Lennon - # 9 Dream


So long ago
Was it in a dream, was it just a dream?
I had know, yes I know
Seemed so very real, it seemed so real to me

Took a walk down the street
Thru the heat whispered trees
I thought I could hear (hear, hear, hear)
Somebody call out my name as it started to rain

Two spirits dancing so strange

Ah! böwakawa poussé, poussé
Ah! böwakawa poussé, poussé
Ah! bö wakawa poussé, poussé

Dream, dream away
Magic in the air, was magic in the air?
I believe, yes I believe
More I cannot say, what more can I say?

On a river of sound
Thru the mirror go round, round
I thought I could feel (feel, feel, feel)
Music touching my soul, something warm, sudden cold
The spirit dance was unfolding

Ah! böwakawa poussé, poussé
(repeat)

วันจันทร์ที่ 13 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

นางพญา Zombie รีเทิร์น


"โอ’ริออร์แดน" (O'Riordan)
นักร้องนำ แห่งวง The Cranberries นั้นเป็นที่จดจำจากการที่เธอเปลี่ยนทรงผมอยู่เสมอ ตั้งแต่ผมยาวประบ่าไปเป็นผมสั้นกุด และเปลี่ยนสีสันอยู่บ่อยครั้ง แต่สิ่งที่โดดเด่นที่สุดของเธอคือฝีมือในการแต่งเพลงและเอกลักษณ์ในการร้องเพลงที่ทำให้เธอเป็นที่รู้จักไปทั่วโลก ซึ่งรูปแบบการร้องเพลงของเธอนั้นได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะจากเพลง "Zombie" เป็นที่กล่าวขวัญถึง และถูกนำไปเลียนแบบอย่างกว้างขวาง...ถูกแฟนๆตั้งฉายา "นางพญา Zombie" แห่งศตวรรษที่ 20

- เพลง Zombie ในตำนาน -

..................................................


2012 The Cranberries รีเทิร์นกลับมาอีกครั้ง อัลบั้มใหม่ล่าสุด "Rose" เป็นอัลบั้มที่ 6

- ตัวอย่างเพลงใหม่ -




- สัมภาษณ์-พูดถึง อัลบั้มใหม่ -


วันศุกร์ที่ 3 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

มนต์เพลง ยูฟ่า


- ว่าด้วย UEFA champions league theme song-


* ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก เป็นการแข่งขันฟุตบอลประจำฤดูกาลของสโมสรต่างๆ ในทวีปยุโรป เป็นรายการการแข่งขันฟุตบอลระดับสโมสร ที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดในโลก เริ่มการแข่งขันครั้งแรก ในปี ค.ศ. 1955 (พ.ศ. 2498)



- เกมส์ UEFA อลังการ ไม่แพ้ UEFA สนามจริง -

เพลงของ UEFA ได้ต้นแบบมาจากเพลงเก่าเมื่อ สามร้อยกว่าปีที่เเล้ว ชื่อเพลง "Zadok the Priest"...ผู้ที่ประพันธ์ คือ คุณ ฮันเดล (George Frideric Handel) ชาวเยอรมัน...เนื่องจาก เพลงนี้ประพันธ์ เมื่อ สามร้อยกว่าปีที่เเล้วจึงไม่มีลิขสิทธิ์เป็นของใครโดยเฉพาะ...UEFA นำมาเรียบเรียงดัดแปลง+บันทึกใหม่ สามารถทำให้ติดหูคอบอลพวกเราอย่างสนิทใจ

นอกจากเรียบเรียงใหม่แล้วก็แต่งเนื้อเพลงใหม่ด้วย โดยเนื้อเพลงเป็นการร้องสลับกันไปมา 3 ภาษาซึ่งเป็นภาษาอย่างเป็นทางการของ UEFA คือ อังกฤษ ฝรั่งเศส และเยอรมัน ส่วนเนื้อหาไม่มีอะไรยืดยาวมาก ประมาณ..."นี่คือการแข่งขันของบรรดาทีมแชมป์ทั้งหลาย"

- George Frideric Handel -
เนื้อเพลง : UEFA champions league theme song

Ce sont les meilleures équipes
Sie sind die allerbesten Mannschaften
The main event!

(Chorus)

Die Meister
Die Besten
Les grandes Équipes
The Champions!

Une grande réunion
Eine große sportliche Veranstaltung
The main event!

Ils sont les meilleurs
Sie sind die Besten
These are the champions!

(Chorus x2)

Die Meister
Die Besten
Les grandes Équipes
The Champions!

Die Meister
Die Besten
Les grandes Équipes
The Champions!

.......................................................................


- ตัวอย่าง บรรเลงเพลง "Zadok the Priest" -


- "Zadok the Priest" ใช้ประกอบงานแต่งเชื้อพระวงศ์ :
Denmark Royal Wedding - Crown Prince Frederik and Mary Elizabeth Donaldson 14 May 2004 -



วันเสาร์ที่ 28 มกราคม พ.ศ. 2555

ไดโนเสาร์ตัวเป็นๆ


ในยุคที่ "ไดโนเสาร์" ครองโลกเมื่อนานนมมาแล้ว หลักฐานทางวิทยาศาสตร์เท่าที่ค้นพบ มนุษย์อาจยังไม่ได้ถือกำเนิดเลยด้วยซ้ำ! หรืออาจยังเป็นแค่ลิงชนิดหนึ่ง(*ปัจจุบันรูปลักษณ์ก็ยังเค้าโครงแบบลิงอยู่นั้นเอง แม้พยายามอวยตัวเองว่าเป็นสัตว์ประเสริฐ์แล้วก็ตาม :) "...ที่น่าคิดก็คือ แล้วเผ่าพันธุ์มนุษย์เราจะอยู่ยั้งยืนยงแค่ไหนกันบนโลกใบนี้? สุดท้ายแล้วธรรมชาติ(หรือ พระเจ้า!? อาจเบื่อ-รำคาญ!) จะล้างเผ่ามนุษย์ทิ้งเช่นเดียวกับไดโนเสาร์ หรือไม่! ..."

ไดโนเสาร์เคยครองโลกแต่ท้ายที่สุดก็สูญพันธุ์ไป แต่ด้วยเทคโนโลยีล้ำสมัยยุคปัจจุบัน มนุษยฺ์สามารถจำลองพวกมันให้มีตัวตน-เคลื่อนไหวสมจริงราวกับตัวเป็นๆ...

สารคดีไดโนเสาร์คุณภาพ รูปแบบ 3D อนิเมชั่น ชุด "Mega Series Collection Of Walking With Dinosaurs" Boxset


สารคดีจินตภาพไร้ขอบเขตแห่งโลกไดโนเสาร์ ถูกร้อยเรียงด้วยเทคนิคเยี่ยมที่สุดของโลก เปิดตำนานเขย่าขวัญมนุษยชาติ ให้ได้รับรู้ถึงบรรพบุรุษแห่งสัตว์ดึกดำบรรพ์ การเล่าเรื่องอาณาจักรไดโนเสาร์จะไม่เป็นเพียงแค่ตัวอักษร-ภาพวาดอีกต่อไป เมื่อการถ่ายภาพจากสถานที่จริง+เทคนิคอนิเมชั่นอันหรูวิจิตรตระการตา โดยทีมงานสารคดีมืออาชีพสำนัก BBC...* มีจัดทำเป็นฉบับภาษาไทยแล้ว...น่าชม น่าเก็บ ปลุกเร้าจินตนาการเป็นอย่างยิ่ง (ใครเข้าร้านหนังสือ SE-ED คงเห็นสารคดีชุดนี้วางจำหน่ายผ่านตากันบ้างแล้ว :)

- ตัวอย่างบางตอนใน สารคดี -




"Walking with Caveman" บรรพบุรุษมนุษยชาติ ...หนึ่งในเนื้อหา สารคดี Mega Series Collection Of Walking With Dinosaurs


..........................................................................


ส่วนคลิปล่างนี้เป็นการแสดงแสงสีเสียง หุ่นไดโนเสาร์ (หาชมยาก) ชุด "Walking With Dinosaurs" ...จาก The Hong Kong Tour at the Asia-World Expo Arena (23 ธันวาคม 2010)...ชมเต็มๆได้เลย :)

คลิป 1/5


คลิป 2/5


คลิป 3/5


คลิป 4/5


คลิป 5/5 จบ :)


วันพุธที่ 18 มกราคม พ.ศ. 2555

สตาร์ วอร์ส "Viral Marketing"


แคมเปญ "Choose Your Side"
: จากเกม "Star War The Old Republic"


หลักการทำ "Viral Marketing" คือ การตลาดแบบไม่ต้องเสียต้นทุนที่มากเกินไป แต่สร้างกระแสให้คนสนใจ และจำได้ติดตาได้ง่าย อีกทั้งลงมือทำครั้งเดียวสามารถนำไปใช้ได้กับหลายสื่อ

...ล่าสุด(ปลายปี คริสต์มาส-ส่งท้ายปีเก่า 2011) มีแคมเปญ Viral Marketing สุดเจ๋งตัวหนึ่งจากเกมออนไลน์ Star War : The Old Republic ที่การตลาดของเขารุกฆาตจากโลกแห่งความเป็นจริง เพื่อโยงเข้าสู่โลกออนไลน์ของเกม อีกทั้งผู้ชม และคนทั่วไปก็ยังมีส่วนร่วม และตื่นตาตื่นใจ-บันเทิงไปด้วย

ในนิวยอร์กซิตี้ ณ ไทม์ สแควร์ ปลายปี2011 ที่ผ่านมาได้มีการแสดงที่ต้อนรับช่วงเทศกาลวันหยุดที่น่าสนใจมาก เป็นการแสดงสดในโอกาสเปิดตัวเกมส์ Star Wars ภาคล่าสุด หรือ The Old Republic

- นักรบ Jedi เดินผ่าฝูงชนออกมา -

- ฝ่าย Sith ออกโรงก็สร้างความฮือฮาไม่น้อย -

โดยแคมเปญนี้อ้างอิงกับเหตุการณ์ และเนื้อเรื่องในเกม อันมีสงครามระหว่างฝั่งนักรบ Jedi และนักรบ Sith เข้ามาทำสงครามกัน...โดยการแสดงในครั้งนี้เป็นการแสดงแบบ "Freeze Mob" หรือ แอ็คท่าหยุดนิ่ง นั่นเอง... สำหรับการแสดง Freeze Mob ครั้งนี้นับว่าเป็นการโชว์การแสดง และนำอุปกรณ์ ที่คล้ายคลึงกับอาวุธของนักรบในเรื่อง Star War อย่าง Lightsaber มาเล่น Freeze mob กันแบบจริงจัง เป็นครั้งแรกของโลกอีกต่างหาก

- เริ่มโพสท์ท่า Freeze mob กับ lightsaber เท่ๆ ให้คนทั่วไปเก็บภาพ -

ที่น่าทึ่งก็คือ เซอร์ไพร์ที่เหล่าแฟนคลับสาวก Star War กว่าร้อยชีวิตที่ไม่ได้แต่งตัวเป็นทีม Jedi หรือ Sith ก็ร่วมวงเล่น Freeze mob ด้วยเช่นกัน โดยมีการพก Lightsaber ติดตัวกันไว้แล้วเกือบทุกคน

- คนที่สนใจเริ่มเดินออกมาเก็บภาพ Freeze Mob -- จู่ๆ แฟนคลับที่อยู่รอบๆ เดินไปมาก็ชู Light Saber ออกมาเล่น Freeze mob ด้วยเล่นเอาคนแถวนั้นอึ้งกัน -- บรรดา สาวก-แฟนคลับ ร่วมสนุกสนาน -

แน่นอนว่าวิธีนี้น่าจะถูกกว่าการแปะป้ายโฆษณาบิลบอร์ดในไทม์สแควร์​ อันมีราคาสูงมาก แต่ก็แลกมาด้วยกับคนที่จะเห็นไม่มากเท่าใหร่...แต่นี่ก็ยุคศตวรรษที่ 21 แล้ว แค่เอาคลิปที่ถ่ายเก็บภาพเหตุการณ์+ตัดต่อดีๆ อัพโหลดขึ้น YouTube - Social Media ก็น่าจะได้ผลลัพธ์ที่ไม่แพ้การโฆษณาบนบิลบอร์ดแน่ๆ...อันเป็นกลยุทธ์ที่เรียกว่า การตลาดแบบ "Viral Marketing" นั้นเอง

*ขอขอบคุณ-เครดิตข้อมูล : http://www.daydev.com/

วันอาทิตย์ที่ 8 มกราคม พ.ศ. 2555

เขื่อนแตก! "พี่ขอเป็นพระเจ้าด้วยคน"


"พี่ขอเป็นพระเจ้าด้วยคน" :)

ผ่านไปแล้วกับคำทำนายเด็กชายปลาบู่ (คลิกดู Blog หัวข้อ เด็กชายปลาบู่ ) ผลคือไม่มีอะไรเกิดขึ้น เขื่อนไม่แตกอย่างคำทำนาย...(แต่พ่อเด็กชายปลาบู่บอก มีเลื่อนไปช่วงสงกรานต์! ?...ก็ลุ้นกันต่อไป :)...พูดถึง เขื่อนแตก เลยทำให้หวนนึกถึงภาพยนตร์เรื่องนี้ขึ้นมา

มาชมบรรกาศ -เขื่อนแตก- ว่าจะออกมาประมาณไหน...(เผื่อจะได้ซ้อมไว้ :)...จากภาพยนตร์เรื่อง Evan almighty(2007) ในชื่อไทย "พี่ขอเป็นพระเจ้าด้วยคน"...หนังได้แรงบันดาลใจจาก ตำนานใน พระคัมภีร์ไบเบิ้ล...ในตอน... "โนอาห์" สร้างเรือยักษ์เตรียมไว้รับน้ำท่วมโลกครั้งใหญ่ (...ด้วยพระเจ้าต้องการล้างโลกเพราะทรงพิโรธไม่พอใจมวลมนุษย์ที่พฤติกรรมเต็มไปด้วยความชั่วร้าย เกินเยียวยา)"


- สร้างเรือโนอาห์...มวลชนพากันหัวเราะเยาะว่าบ้า พอน้ำมาจริงเป็นไงล่ะ -

- มวลน้ำทะลักมาถึงรัฐสภาพสหรัฐ -


- เบื้องหลัง Effect เขื่อนแตก -


...................................................

เนื้อเรื่องย่อ : Evan almighty "พี่ขอเป็นพระเจ้าด้วยคน"

เรื่องราวของผู้ประกาศข่าวขี้แพ้บุคลิกแย่ อีแวน (สตีฟ คาแรลล์) ที่วันหนึ่งเขาได้รับพรวิเศษจากพระเจ้า (มอร์แกน ฟรีแมน) ได้เปลี่ยนให้เขาเป็นคนใหม่ บุคลิกใหม่ พร้อมทั้งหน้าที่ใหม่ ได้เป็นถึง ประธานาธิปดีสหรัฐ และภารกิจสำคัญที่สุดคือ สร้างเรือโนอาห์! ลำใหม่ และรวบรวมสัตว์ต่างๆ ให้ขึ้นมาอยู่บนเรือเพื่อเป็นการอนุรักษ์ไว้ก่อนจะมีเหตุการณ์น้ำท่วมโลกที่กำลังจะเกิดขึ้นตามที่พระเจ้าบอก ในไม่ช้าวันใดวันหนึ่ง แต่จะเป็นเมื่อไรนั้นก็ยังไม่รู้...รู้เพียงว่าภารกิจนี้สร้างความโกลาหล+ความฮากันตรึม

วันพุธที่ 4 มกราคม พ.ศ. 2555

100 ปี ใน 10 นาที


1911 – 2011 in 10 Minutes

คลิป 100 ปีผ่านมา ร้อยเรียงในแบบมูฟวี่คลิป 10 นาที ( 1911 – 2011 in 10 Minutes ) เหตุการณ์สำคัญๆ มนุษยชาติที่ผ่านมา มีก้าวย่างแบบใดบ้าง?... เผื่อจะเป็นไกด์-แง่มุมแง่คิด สำหรับปีใหม่ปีนี้... ให้ปีใหม่เป็นปีแห่งการเปลี่ยนแปลงไปสู่สิ่งที่ดีกว่า ที่คุณ-มนุษยชาติ สามารถกำหนดมันได้เอง ...

Happy New Year ปี "สอง ตองห้า" ไทย :)