แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ อะนิเมะ การ์ตูนญี่ปุ่น แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ อะนิเมะ การ์ตูนญี่ปุ่น แสดงบทความทั้งหมด

วันอังคารที่ 6 มีนาคม พ.ศ. 2555

"อิคคิวซัง" ตัวจริงในประวัติศาสตร์

หากย้อนไปเมื่อ 20 กว่าปีก่อน ในไทยมีการ์ตูนญี่ปุ่นที่เข้ามาฉายในไทยอยู่ไม่กี่เรื่อง ที่รู้จักกันดี ก็เช่น โดราเอม่อน อาราเร่ ผีน้อยคิวทาโร่ และโดยเฉพาะ อิคคิวซัง ...ซึ่งหลายๆ คนคงจะคุ้นๆ จำกันได้ดี จนทุกวันแม้แต่เด็กรุ่นใหม่ก็ยังรู้จัก "เณรน้อยเจ้าปัญญา อิคคิวซัง" ความน่ารักของตัวการ์ตูน และเนื้อหาที่สนุกสนาน ยังคงมาสร้างความบันเทิง ในบ้านเราไม่มีวันจบสิ้น อิคคิวซัง จึงเป็นการ์ตูนอมตะอีกเรื่องหนึ่ง

แต่จะมีใครรู้บ้างว่าที่ญี่ปุ่น พระอิคคิวซัง มีตัวตนอยู่จริง มีหลักฐานต่างๆ ที่ยืนยันว่า "อิคคิวซัง" ไม่ได้เป็นแค่การ์ตูน แต่กลับเกี่ยวข้องกับประวัติศาสตร์ของญี่ปุ่น เลยทีเดียว


- ก่อนอื่น ฟังเพลงซาบซึ้งกินใจ "อิคคิวซัง ตอนจบ" คำแปลไทย -
ตุ๊กตาแขวนของแม่ ให้อิคคิวซังไว้ดูต่างหน้าเมื่อยามไกลกัน


ท่านแม่ครับ สบายดีหรือเปล่า
เมื่อคืนผมเห็นดาวดวงหนึ่งส่องแสงสุกใสงอยู่บนปลายยอดไม้ซีด้า
เมื่อจ้องมองดาวดวงนั้นผมรู้สึกถึงความอ่อนโยนของท่านแม่
ผมคุยกับดวงดาวนั้นว่าผมเป็นลูกผู้ชายจะไม่ท้อแท้
ถ้าเมื่อใดที่ผมเหงาผมจะมาคุยด้วยอีก
แค่นี้นะครับ แล้วจะเขียนจดหมายไปหาท่านแม่อีก...อิ๊กคิว

ท่านแม่ครับ สบายดีหรือเปล่า
เมื่อวานนี้ที่วัดของเรามีคนจากหมู่บ้านข้างๆเอาลูกแมวตัวน้อยมาให้
เจ้าแมวน้อยร้องไห้เพราะว่ายังติดแม่ของมันอยู่
ผมบอกกับมันว่าอย่าร้องไห้ไปเจ้าจะไม่เหงาหรอก
เป็นลูกผู้ชายใช่ไหม แล้ววันหนึ่งเจ้าจะได้เจอแม่เอง
แค่นี้นะครับ แล้วจะเขียนจดหมายไปหาท่านแม่อีก...อิ๊กคิว

..........................................................


- ประวัติชีวิตอันโลดโผนของ "อิคคิวซัง" ตัวจริง! ในประวัติศาสตร์ -
(ชีวิตจริงกับในการ์ตูน มันแตกต่างกันมาก)

รูปปั้นเณรน้อยเจ้าปัญญา อิคคิว โซจุน หรือที่คุ้นเคยว่า "อิคคิวซัง" นั้นเอง(ญี่ปุ่น: 一休宗純 Ikkyū Sōjun ?) (พ.ศ. 1937–2024) เป็นพระนิกายเซนชาวญี่ปุ่นที่มีชีวิตอยู่ในช่วงยุคมุโระมะจิ และเป็นต้นแบบของอิคคิวซังในการ์ตูนเณรน้อยเจ้าปัญญา...รูปขวา ภาพวาด พระอิกคิวซังวัยกลางคน
เมื่อ 600 ปีที่ผ่านมาเป็นยุค มุโระมะจิ (Muromachi) (ประมาณพศ.1338-1573)...มีพระในนิกายเซน ถือกำเนิดขึ้นที่ใครๆ รู้จักกันดีในนาม "Ikkyu San หรือ อิคคิวซัง"...พ่อของเขาคือจักรพรรดิ Gokomatsu ซึ่งมีชายาสองฝ่าย คือ Nantyo (ชายาฝ่ายใต้) และ Hokutyo (ชายาฝ่ายเหนือ)

แม่ของอิคคิวซังคือ Nantyo (นันอีโย) แต่กลับเป็นภรรยาชั้นรองของจักรพรรดิ และทรงตั้งครรภ์...จักรพรรดิเกรงอำนาจของชายาฝ่ายเหนือ...แม่ของอิคคิวซัง โดยพิษการเมืองในวังเล่นงานจึงต้องออกจากราชวังตั้งแต่อิคคิวซังยังไม่เกิด...ต่อมาอิคคิวซังได้ถือกำเนิด เมื่อวันที่ 1 ม.ค. ค.ศ.1349 หรือ พ.ศ.1892 ณ เมืองซะกะโน ใกล้เมืองเกียวโต โดยมีชื่อในวัยเด็กว่า "เซนงิกามารุ" และเมื่อโตขึ้นแล้วพระนางนันอีโยได้ส่งอิคคิวซังมาบวชเรียนที่ "วัดอังโกะกุจิ" ตอนอายุได้ 6 ขวบ เพื่อหนีภัยการเมือง และหลายครั้งเธอไม่ยอมพบกับอิคคิวซัง เพราะต้องการให้อิคคิวซังเป็นคนเข้มแข็งไม่ติดแม่

เซนงิกามารุ หรือ อิคคิวซังตั้งอกตั้งใจศึกษาพระธรรม ความเจ้าปัญญาฉายแววขึ้นตามอายุ ในวัยประมาณ 10 ขวบ อิคคิวซังแต่งกลอนวิพากษ์วิจารณ์ความประพฤติที่ไม่เหมะสมของพระภิกษุนิกายหนึ่งที่กอบโกยทรัพย์สินยศฐาบรรดาศักดิ์บนความทุกข์ยากของชาวบ้าน

พออายุ 13 ปี มีโอกาสเข้าพบแม่ทัพใหญ่ชื่อ "อาซิคะงะโยชิมิสึ" หรือ "ท่านโชกุน" ในการ์ตูนนั่นเอง

อายุได้ 17 ปี อิคคิวซังได้ออกจากวัดอังโกะกุจิฝากตัวเป็นศิษย์ของ "หลวงพ่อเคนโอ" ที่วัดไซกอนจิ ณ วัดแห่งนี้หลวงพ่อเคนโอเน้นการปฏิบัติโดยต้องทำงานอย่างหนัก และต้องอยู่กับสิ่งสกปรกเสียเป็นส่วนใหญ่

ต่อมาหลวงพ่อมรณภาพ อิคคิวซังจึงเดินทางไปวัด "อิชิยามา" อดอาหาร 7 วัน 7 คืน เพื่อสวดมนต์อุทิศส่วนบุญส่วนกุศลให้อาจารย์ต่อหน้าพระโพธิสัตว์ ด้วยความเสียใจนี้เองจึงคิดฆ่าตัวตาย ระหว่างที่เดินลงไปแม่น้ำเซตะ อิคคิวซังจึงอธิษฐานจิตว่า "ถ้าพระโพธิสัตว์ต้องการให้ข้าพเจ้ามีชีวิตอยู่ก็ขอให้ข้าพเจ้าฆ่าตัวตายไม่สำเร็จ แต่หากชีวิตข้าพเจ้าไร้ซึ่งคุณค่าเสียแล้ว ข้าพเจ้าขออุทิศสังขารให้เป็นอาหารของปลาและสัตว์น้ำ" ระหว่างที่ดิ่งลงในท้องน้ำ อิคคิวซังก็นึกถึงหน้าท่านแม่และคำสอนขึ้นมาทันใด "เป็นลูกผู้ชายต้องไม่ย่อท้อ" อิคคิวซังจึงเปลี่ยนใจตะเกียกตะกายกลับขึ้นฝั่ง

หลังจากนั้น พอท่านอายุได้ 23 ปี ก็ไปฝากตัวเป็นศิษย์ของหลวงพ่อ "คะโซ" แห่งวัดโคอัน ซึ่งเป็นพระสงฆ์ทรงสมณศักดิ์ แต่พอใจที่จะใช้ชีวิตอย่างสมถะและพอใจในวัตรปฏิบัติอย่างเคร่งครัดและหนักหน่วง อิคคิวซังต้องทำงานทั้งวัน นอกจากใช้แรงงานในวัดแล้ว อิคคิวซังยังต้องสานรองเท้า เย็บเสื้อผ้าตุ๊กตาผู้หญิง และออกไปขายแรงงาน! ในหมู่บ้านละแวกนั้น ซ้ำยังโดนพระรุ่นพี่ที่ไม่ชอบหน้ากลั่นแกล้ง ทำร้าย-เตะต่อยอยู่เสมอ แต่อิคคิวซังก็อดทนในที่สุดความพยายามที่จะค้นหาสัจธรรมก็สำเร็จ เมื่ออิคคิวซังสามารถแก้ปริศนาธรรมที่หลวงพ่อคะโซตั้งไว้ได้สำเร็จ ด้วยวัยเพียง 25 ปีเท่านั้น และที่นี่เอง ที่ได้รับฉายาใหม่ว่า "อิคคิว โซจุน" หรือคำไทยว่า อิคคิวซัง อันหมายถึง "รู้พ้นจากโลกสมมติตามบัญญัติของลัทธิเซน" อิคคิวซังน่าจะเป็นพระภิกษุที่บรรลุธรรมในขณะอายุยังน้อยรูปหนึ่งในพระพุทธศาสนา ท่านบรรลุธรรมในขณะที่นั่งสมาธิบนเรือริมฝั่งทะเลสาบ... "เหตุแห่งความทุกข์และความเศร้าหมองที่เกิดขึ้นในชีวิตล้วนเกิดจากจิตที่เต็มไปด้วยอัตตา" คือแก่นธรรมที่ท่านค้นพบ

เมื่อทราบว่าอิคคิวซังสามารถบรรลุแก่นธรรม หลวงพ่อคะโซมีความประสงค์ที่จะมอบใบสำเร็จเปรียญธรรม และตำแหน่งเจ้าอาวาสให้อิคคิวซังสืบทอด แต่อิคคิวซังปฏิเสธด้วยเหตุผลว่า "ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนเป็นสิ่งสมมติ" ท่านจึงขอลาออกธุดงค์

กระทั่งอายุ 34 ปี อิคคิวซังมีโอกาสเข้าเฝ้าท่านพ่อ ซึ่งเป็นองค์จักรพรรดิ ชีวิตในช่วง34นี้เองที่เป็นที่กล่าวขวัญถึง และขยาดหวาดกลัวและเกลียดชังจากภิกษุด้วยกัน ครั้งหนึ่ีงอิคคิวซังเคยไปร่วมงานครบรอบวันมรณภาพของพระผู้ใหญ่รูปหนึ่งด้วยสภาพมอมแมมสกปรกจีวรหลุดลุ่ย พร้อมทั้งด่าทอพระที่มือถือสากปากถือศีล เพราะในสมัยนั้นมีพระภิกษุชั้นผู้ใหญ่จำนวนมากที่ทำตัวเคร่งพระวินัย ถึงขนาดบอกว่าผู้หญิงเป็นมารศาสนา แต่กลับลักลอบให้แม่เล้า-แมงดานำโสเภณีมาบำเรอถึงในกุฏิ

นอกจากนี้อิคคิวซังยังต่อต้านพระผู้มีอิทธิพล มีหลายรูปที่หลอกชาวบ้านว่าจะสามารถบรรลุธรรมได้หากบริจาคปัจจัยให้พระมากๆ...อิคคิวซังปฏิเสธสังคมวงการพระในขณะนั้นอย่างรุนแรง และอิคคิวได้ทำทุกอย่างที่ถือว่าเป็นอาบัติ! เช่น ดื่มสุรา เล่นการพนัน ฉันเนื้อสัตว์ ไม่โกนผมและหนวดเครา เดินเข้าออกซ่องโสเภณีอย่างเปิดเผยเป็นว่าเล่น!...การกระทำแบบนี้อิคคิวซังต้องการประชดต่อต้านและเสียดสีพระจอมปลอมในยุคนั้นให้ละอายกับการลวงโลก อิคคิวซังคบหาและปฏิบัติกับโสเภณีอย่างเปิดเผยสุภาพและให้เกียรติ ท่านเคยแบ่งส้มจากบาตรให้โสเภณีอดอยากทาน ทั้งยังเคยปีนเขาเสี่ยงตายไปหาสมุนไพรมารักษาโสเภณีที่ป่วยหนักแม้ว่าต่อมาจะเสียชีวิตก็ตาม

เมื่อท่านอายุได้ 75 พรรษา ระหว่างที่ธุดงค์เร่ร่อนหลบภัยสงครามภายในประเทศมาอยู่ที่เมืองซึมิโยชิ ท่านได้พบกับ "โมริ" ศิลปินหญิงขอทานตาบอด! ซึ่งภายหลังท่านได้รับเลี้ยงดูนาง ทั้งคู่ได้ใช้ชีวิตร่วมกันคืนเดียว โมริก็หนีไปเพราะเกิดความอับอายและเกรงว่าตนเองจะทำให้อิคคิวซังเสื่อมเสียชื่อเสียงแต่นางก็กลับมาหาอิคคิวซังอีกหน เพราะไม่สามารถดำรงชีวิตลำพังได้ในสภาวะสงครามได้

เมื่ออายุได้ 85 พระจักรพรรดิแต่งตั้งให้อิคคิวซังเป็นเจ้าอาวาสวัดไดโตะกุจิ ซึ่งเป็นวัดหลวงที่สำคัญที่สุดในสมัยนั้น เมื่อไม่สามารถขัดพระราชประสงค์ได้ อิคคิวซังจึงยอมรับตำแหน่ง แต่เพียงแค่วันเดียว! ก็ลาออกกลับมาอยู่วัด เมียวโชจิ ที่ท่านสร้างขึ้นเอง จวบจนวาระสุดท้าย หลังจากกลับมาอยู่วัดนี้ ได้เพียง 2 ปีท่านเป็นมาเลเรีย ท่านละสังขารในท่านั่งสมาธิในอ้อมกอดของ โมริ ในวันที่ 21 พฤศจิกายน ค.ศ.1481 หรือ พ.ศ.2024 เมื่ออายุได้ 88 ปี

*** ชินเนม่อน รู้จักกับอิคคิวตอนอายุ 30 ปี จากการถามตอบ ปุจฉา-วิสัจฉนา ชินเนม่อนเป็นทหารรับใช้ท่านโชกุนอาชิคางะ โยชิโนริ (โชกุนลำดับที่ 6 ในรัฐบาลมุโรมะจิ) ทำหน้าที่ดูแลการเงินของรัฐบาล มีพรสวรรค์ในการแต่งโครงกลอนเป็นเลิศ ออกติดตามเป็นลูกศิษย์อิคคิวในช่วงบั้นปลายชีวิตเพื่อศึกษาพระธรรม

*เครดิตข้อมูล : mthai.com

วันอังคารที่ 20 ธันวาคม พ.ศ. 2554

Sidebooks : สำหรับคอการ์ตูน


ความคิด(โบราณ)ที่ว่า..."การอ่านการ์ตูนเป็นเรื่องของเด็กเท่านั้น"...เป็นความเข้าใจผิดอย่างมหันต์

แนะนำ App Sidebooks

App อ่านไฟล์อีบุ๊คได้ครอบคลุมหลายนามสกุล .PDF, .ZIP, .CBZ, .RAR and .CBR ...ใช้ได้กับทั้ง iPhone, iPod touch, and iPad. (Requires iOS 3.2 or later)...โอนไฟล์ผ่าน USB ใน itune ได้เลย
ที่สำคัญคือ ฟรี!...รายละเอียดเพิ่มเติม http://itunes.apple.com/us/app/sidebooks/id409777225?mt=8

วันอาทิตย์ที่ 4 ธันวาคม พ.ศ. 2554

Akira 4 เล่มจบ


เป็นข่าวดีสำหรับคอการ์ตูนมังงะ ที่เขาได้มีการตีพิมพ์ "Akira" ออกมาจำหน่ายใหม่ล่าสุด(2011) อันเป็นการ์ตูนเก่าแก่คลาสสิก เนื้อหาแนววิทยาศาสตร์ล้ำจินตนาการ ที่ยังไม่ตกยุคจนถึงปัจจุบัน โดยตีพิมพ์ออกมา 4 เล่มจบ จัดเป็นหนังสือการ์ตูนมังงะระดับขึ้นหิ้งในตำนานเลยทีเดียว...น่าอ่าน น่าเก็บ เป็นอย่างยิ่ง :)

Akira (อากิระ) สร้างสรรค์โดย "Otomo Katsuhiro(คัตสึฮิโร โอโตโมะ)" ตีพิมพ์ครั้งแรกระหว่าง พ.ศ. 2525-2533 ในประเทศญี่ปุ่นโดยสำนักพิมพ์ โคดันฉะ และต่อได้มามีการสร้างเป็นภาพยนตร์การ์ตูนฉายในญี่ปุ่นปี พ.ศ. 2531 และเข้าฉายในประเทศไทยในปี พ.ศ. 2533


เนื้อเรื่องย่อ...
กรุงโตเกียวหลังสงครามโลกครั้งที่ 3 ถูกทำลายโดยระเบิดนิวเคลียร์...30 ปีผ่านไป กลุ่มเด็กวัยรุ่นที่ชอบซิ่งมอเตอร์ไซด์กลุ่มหนึ่ง(หรือเด็กแว๊น :) ที่นำโดย "คาเนดะ" และ "เท็ตซึโอะ" เหมือนเด็กวัยรุ่นทั่วไปที่ชอบป่วนเมืองและต้องถูกจับแล้วปล่อยจากเจ้าหน้าที่ตำรวจบ่อย ๆ จนกระทั่งวันหนึ่ง เท็ตซึโอะ ถูกองค์กรลับแห่งหนึ่งจับตัวไป และเข้าสู่โครงการลึกลับที่ชื่อ "อากิระ" คาเนดะเป็นห่วงเพื่อน จึงได้ออกตามหาจนได้เจอ โดย คาเนดะต้องเข้าร่วมกับกลุ่มเคลื่อนไหวต่อต้านรัฐบาล, นักการเมืองผู้โสมม, นักวิทยาศาสตร์ไร้จรรยา และผู้นำของฝ่ายกองทัพ และพบว่า เท็ตซึโอะ ไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว...ท้ายที่สุด เท็ตซึโอะ ก็มีพลังเหนือมนุษย์และไม่สามารถควบคุมตัวเองได้ จนเกิดเหตุวิบัติไปทั้งเมือง และผู้ที่จะหยุดยั้งเท็ตซึโอะได้ก็คือ คาเนดะ นั่นเอง
................................

- Akira ในภาคภาพยนตร์การ์ตูนอะนิเมะ -

*Akira นับได้ว่าเป็นภาพยนตร์อะนิเมะชั่นระดับใหญ่เรื่องแรก ๆ ของญี่ปุ่น เมื่อออกฉายได้สร้างความฮือฮา เป็นกระแสไปทั่วทั้งประเทศ และยังได้สร้างปรากฏการณ์เช่นนี้ในต่างประเทศที่เข้าฉายด้วย...

*จนถึงปัจจุบัน Akira นับได้ว่าเป็นภาพยนตร์ระดับคลาสสิกเรื่องหนึ่งของวงการภาพยนตร์ญี่ปุ่น-ของโลกไปแล้ว และเป็นแม่แบบของภาพยนตร์แนววิทยาศาสตร์ในโลกอนาคตอีกหลายเรื่อง อาทิ Ghost in The Shell เป็นต้น...

...และล่าสุด(2011) Warner Bros. ได้ไฟเขียวในการนำ Akira ไปสร้างออกมาเป็นภาพยนตร์คนแสดงแล้ว โดยจะเปิดกล้องถ่ายทำประมาณเดือนกุมภาพันธ์ปี 2012...งานนี้จากแหล่งข่าวได้บอกว่า ได้ผู้กำกับชาวสเปน "Jaume Collet-Serra" (ผู้กำกับ Unknown, Orphan, House of Wax) มากำกับเรื่องนี้ และจะใช้งบในการสร้างประมาณ 90 ล้านเหรียญด้วยกัน ส่วนเรื่องนักแสดงแบบทางการยังไม่มีเผยออกมา ส่วนหนังจะออกมาฮือฮาขึ้นหึ้ง เหมือนดัง หนังสือการ์ตูนมังงะ หรือ ภาพยนตร์อะนิเมะ หรือไป ก็รอดูกันต่อไป.

วันจันทร์ที่ 8 สิงหาคม พ.ศ. 2554

อะนิเมะ : โตจนป่านนี้ยังดูการ์ตูนอยู่อีกหรือ?


ว่าด้วย Anime - อะนิเมะ


"โตจนป่านนี้ยังดูการ์ตูนอยู่อีกหรือ"
คำประชด กรณีเด็กโตหรือผู้ใหญ่ดูหนังการ์ตูน ไม่สมวัย (ก็อาจจะจริง :)

ถ้าพูดถึง การ์ตูน อนิเมชั่น(Animation) บ้านเราส่วนใหญ่ก็จะต้องนึกถึงการ์ตูนสายพันธุ์ฝรั่ง...อาทิ การ์ตูนค่าย Disney-Pixar, Dreamworks เป็นต้น ซึ่งเป็นการ์ตูนกระแสหลักในโรงภาพยนตร์ ที่ใช้เทคโนโลยีคอมพิวเตอร์กราฟฟิค 3D ...แน่นอนว่า ภาพ-ฉากอลังการวิจิตรตระการตาเป็นที่ชื่นชอบ แต่ในแง่ของพล็อตหรือเนื้อเรื่องจะพบว่าส่วนใหญ่แล้วยังคงเล่นอยู่กับแนวซุปเปอร์ฮีโร่กู้โลกแบบเดิมๆ หรือไม่ก็เป็นความน่ารักสดใสแบบเด็กๆ-เทพนิยายต่างๆ ซึ่งมักจะพอเดาได้ไม่ยากนักว่าเรื่องจะลงเอยยังไง...


...ส่วน อะนิเมะ(Anime) หรือภาพยนตร์การ์ตูนอนิเมชั่นสายพันธุ์ญี่ปุ่น อันเป็นการ์ตูนที่ไม่ได้สร้างเพื่อให้เด็กดูเป็นหลักเท่านั้น บางเรื่องก็ไม่เหมาะกับเด็กเลย! ..." โตจนป่านนี้ยังดูการ์ตูนอยู่อีกหรือ ! "...จึงเป็นวาทกรรม ที่ใช้ไม่ได้กับ ภาพยนตร์การ์ตูน อะนิเมะ...เนื่องจากส่วนใหญ่จะมีพล็อตเรื่องจินตนาการล้ำลึกหลุดโลก แถมยังแฝงซ่อนปรัชญาสะท้อนชีวิต-สังคม-โลกเชิงลึก ให้ได้ขบคิดตีความหลากหลายแง่มุม (ซึ่งอาจเกินกว่าเด็กๆจะรับได้) แถมบางเรื่องมาแนวหักมุม ดูรอบเดียวไม่ได้ต้องดูกันหลายๆรอบถึงจะเก็บสิ่งที่การ์ตูนอะนิเมะต้องการสื่อได้แจ่มชัด...กรณีเส้นสายสไตล์ของการ์ตูนก็แตกต่างจะฝั่งการ์ตูนฝรั่ง...อะมิเมะจะเป็นแบบ 2.5D...ก็คือเป็นการวาดระบายสีแบบ 2D ซึ่งสื่ออารมณ์ได้ดีเยี่ยมกว่า แต่ก็มีส่วนผสมเทคโนโลยี 3D ในฉากด้วยเพื่อเสริมมิติ จึงมีสไตล์เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวที่แปลกตาแหวกแนวออกไป และก็ทำออกมาได้อลังการตื่นตาตื่นใจไม่แพ้อนิเมชั่นพันธุ์ฝรั่งเลยแม้แต่น้อย

ขอคัดสรรยกตัวอย่าง Anime เด็ดๆเหมาะสำหรับผู้ใหญ่ดู เป็นตัวอย่างสักสี่ห้าเรื่องโดยสังเขป...ดังนี้ (หากยังไม่เคยดู สนใจก็ลองเสาะหา DVD มาชม แล้วจะพบกับมุมมองใหม่ๆที่หาไม่ได้จากการ์ตูนฝรั่ง..คำว่า "โตจนป่านนี้ยังดูการ์ตูนอยู่อีกหรือ" จะหายวับไปในบัดดล :)...

1.อะนิเมะ โดย Studio Ghibli การ์ตูนของค่ายนี้จัดขึ้นหิ้งได้แทบทุกเรื่อง เด็กดูได้ ผู้ใหญ่ดูสนุก เนื้อเรื่องมักส่งเสริมการคิดเชิงบวก ภาพฉากประณีตสวยงาม แถมเพลงประกอบก็ไพเราะเป็นพิเศษ...ผลิตออกมากแล้วกว่ายี่สิบเรื่องด้วยกัน คงสาธยายกันไม่ไหว ที่ชื่นชอบประทับใจเป็นการส่วนตัว ขอแนะนำซักหกเจ็ดเรื่อง อาทิเช่น Nausicaä of the Valley of the Wind, Laputa Castle in the Sky, My Neighbor Totoro, Pom Poko, Mononoke, Spirited Away, Ponyo เป็นต้น



2. Ghost in the shell มี 2 ภาค เข้มข้นทั้งสองภาค แต่เนื้อเรื่องดูยากพอควร (เรื่องนี้ยังเป็น แรงบันดาลใจของผู้กำกับหนังไตรภาค The Matrix อีกต่างหาก)

- Ghost ก็คือ จิต / วิญญาณ / สมองหรือความทรงจำของมนุษย์เรา แต่ผู้คิดโครงเรื่องได้ใช้คำว่า Ghost เพื่อแทนนิยามที่ว่ามาแล้วทั้งหมด

- Shell ก็คือ Machine เครื่องจักรกล / คอมพิวเตอร์ / หุ่นยนต์

นางเอกในเรื่องเคยเป็นตำรวจมือฉมังที่ร่างกายอันเป็นเนื้อหนังได้สูญเสียหรือถูกทำลายทิ้งไปแล้ว! แต่ด้วยมีเทคโนโลยีสุดล้ำที่สามารถแปลง จิตวิญญาณ-ความทรงจำ(Ghost) ไปเก็บไว้ในรูปของ Digital และสามารถ Upload-Download ไปอยู่ในร่างที่เป็นหุ่นยนต์ได้! เธอจึงไม่ยังไม่ตายแต่ต้องอยู่ในร่างใหม่อันเป็นหุ่นยนต์เครื่องจักร(Shell)แทน และเมื่อ Ghost เป็นดิจิตอล ก็ย่อมถูก Hack ข้อมูลได้เหมือนข้อมูลทั่วไปในคอมพิวเตอร์... ความวุ่นวายจึงเกินขึ้น!

3.Paprika
เรื่องราวของจิตแพทย์หญิงชิบะ อาซึโกะ โดยอาซึโกะสามารถเดินทางไปยังจิตใต้สำนึก-ฝันของคนไข้ ด้วย อุปกรณ์เก็บข้อมูลความฝันพิเศษที่ชื่อ “ดีซีมินิ” เพื่อค้นหาต้นตอปัญหาทางจิตของคนไข้นั้นๆ...ตัวละครที่เกี่ยวข้องในเรื่อง ทุกคนต่างเข้าใจกันว่าในจิต-ฝันของคนป่วย อาซึโกะจะกลายร่างกลายเป็นสาวน้อย dream detective โดยมีโค้ดเน้มว่า "Paprika" แต่เอาเข้าจริงทุกคนกลับสับสนรวมทั้ง อาซึโกะ เอง ว่า...แท้จริง ปาปริก้า ผู้ลึกลับเป็นใครกัน?...เนื้อเรื่องค่อนข้างซับซ้อนแบบ จิตซ้อนจิต-ฝันซ้อนฝัน ภาพ-ฉากกราฟฟิคทำออกมากได้ตื่นเต้นอลังการแนวเหนือจริง นำพาให้เราคนดูเข้าไปอยู่กับฉากความฝันสลับกับความจริงจนบางที เราต้องกลับมาถามตัวเองบ่อยครั้งว่า “นี่เราอยู่ในตอนของความฝัน หรือความจริงกันแน่" (อะนิะเมะ Paprika เรื่องนี้แหละที่เป็นแรงบันดาลใจให้ผู้สร้างหนังเรื่อง Inception จิตพิฆาตโลก)


4. Akira : เมื่อเมืองใหญ่เจริญเติบโตแออัอสุดขีด ความขัดแย้ง-ปัญหานานัปประการก็เกิดขึ้น แล้วเผอิญเกิดมีคนประหลาดที่มีพลังพิเศษเหนือมนุษย์ปกติ นามว่า "Akira" ผู้คนจึงคิดว่าเขานี้แหละคือผู้จะมาปลดปล่อยโลกและสร้างสังคมโลกใหม่ที่ สมบูรณ์กว่าที่เป็นอยู่...เรื่องนี้มีการดำเนินเรื่องที่พิลึกดี ไม่สามารถเดาถูกเลยว่าเรื่องจะลงเอยอย่างไร...

5. Appleseed สร้างออกมาก 2 ภาค (ส่วนตัวชอบภาคแรกมากกว่า เพราะภาคสองเน้น Action เอามันส์ดูเป็นฝรั่งไปนิด) : ยุคที่โลกมนุษย์มาถูกจุดวิกฤต เมื่อเกิดสงครามทำลายล้าง จนต้องก่อร่างสร้างเมืองขึ้นมาใหม่ชื่อเมือง “โอลิมปัส” ซึ่งใช้พลังงานจากแสงอาทิตย์ และยุคนั้นเองได้เกิดหุ่นยนต์สายพันธุ์ใหม่ที่เรียกว่า "Bio-driod" อันมีร่างกายภายนอกเหมือนมนุษย์ทุกประการแถมยังพัฒนาไปสู่การสืบพันธุ์ได้เองอีกต่างหาก! ความขัดแย้งระหว่าง มนุษย์และไบโอดรอยด์ จึงเกิดขึ้น แล้วจะจบยังไง ? เรื่องมันยาวต้องดูเองครับ :)

วันพฤหัสบดีที่ 21 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

พระพุทธเจ้า-เพลงรักสีเลือด!


จากข่าว(Link)...ฆ่าตัวตายไปอีกหนึ่ง! สำหรับสมาชิกวง X japan
ก.ค. 2011 นี้เอง... "ไทจิ" มือเบส ฆ่าตัวตายซ้ำรอยสมาชิกคนก่อน “ฮิเดะ"

"ชีวิตนี้น้อยนัก มนุษย์ย่อมตายภายในร้อยปี ถึงใครจะอยู่เกินกว่านั้นไปบ้าง ก็ต้องตายเพราะชราเป็นแน่แท้" - คติพุทธ... แต่เหตุใดบางคนถึงต้องรีบชิงฆ่าตัวตาย...หรือการมีชีวิตอยู่ต่อไปนั้นมัน ทุกข์! โหดร้ายทารุณเกินกว่าจะรับได้!

.................................


"Scarlet Love Song" ... เพลงล่าสุดของ X Japan ประกอบภาพยนตร์ อนิเมชั่นญี่ปุ่นเรื่อง "Tezuka Osamu no Buddha" (2011) ...อีกแง่มุมมองเกี่ยวกับ เจ้าชายสิทธัตถะ หรือ พระพุทธเจ้า! (เข้าฉายไทยด้วยได้ข่าวเหมือนจะเดือน ก.ค. 2011 นี้เอง ช่วงเดียวกับที่ ไทจิ ตาย!)

...ก็เป็นส่วนผสมที่น่าแปลกพอสมควรที่ วงพันธุ์ร็อคจัดจ้านอย่าง X japan ทำเพลงประกอบ การ์ตูนเกี่ยวกับพระพุทธเจ้า... แต่ยังไงก็ตามเพลงทำออกมาได้เพราะขาดใจ ฝีมือไม่ตกสไตล์ X Japan ที่นำโดยหัวหอกยอดฝีมือหลัก "โยชิกิ" นั้นเอง

"Tezuka Osamu no Buddha" (2011)



เรื่องย่อ ข้อมูลจากเน็ต...(ซึ่งไม่รู้ฉายในไทย จะโดนต่อต้าน-เซนเซอร์-แบน!หรือไม่ เพราะเหมือนจะดัดแปลงเนื้อเรื่องผิดเพี้ยนไปจากที่ชาวพุทธไทยเราคุ้นเคย) *ข้อมูลว่ามีการสร้าง 2 ภาค...ในรูปแบบจักรวาลคู่ขนาน! ? ...ภาคที่จะเข้าฉาย 2011 เป็นภาค 1 จะเป็นการดำเนินจากคำทำนายของพราหมณ์ที่ว่า "หากเป็นกษัตริย์ จะเป็นจักรพรรดิผู้ยิ่งใหญ่" นั้นคือ จะได้เห็นชีวิตสิทธัตถะในเวอร์ชั่นที่ไม่บวช แต่เลือกที่จะเป็นกษ้ตริย์แทน! ? ... ส่วนภาค 2 ที่จะสร้าต่อเป็นการดำเนินเรื่องตามคำทำนาย "หากออกบวช จะเป็นมหาศาสดา"...

Tezuka Osamu no Buddha...จะพาคนดูย้อนกลับไปเมื่อ 2,500 กว่าปีก่อน ณ ดินแดนชมพูทวีป เจ้าชายสิทธัตถะ ประสูติขึ้นในตระกูลศากยวงศ์ ผู้ครองแคว้นกบิลพัสดุ์ การเติบโตมาในรั้วของพระราชวังซึ่งเต็มไปด้วยความโอ่อ่า ชีวิตที่พูนพร้อม สนองความต้องการของเจ้าชายน้อยได้ทุกๆ ด้าน โดยพระองค์หาได้ทราบไม่ว่า ภายนอกรั้วราชวังนั้น เต็มไปด้วยความแร้นแค้นและยากไร้ของผู้คนอีกนับล้าน

ชะตาชีวิตของเจ้าชายสิทธัตถะ ถูกเล่าขนานไปกับลูกทาสที่ชื่อ ชาปาระ ที่พลัดหลงกับพ่อแม่มาตั้งแต่ยังเด็ก และถูกชุบเลี้ยงขึ้นมาโดยแม่ทัพใหญ่ ชาปาระ พยายามปกปิดชาติกำเนิดที่แท้จริงของตนเองไว้ เพียงเพราะคิดว่าการได้เป็นใหญ่เป็นโต และได้ออกทำสงคราม จะนำมาซึ่งความสุขสงบในชีวิต

ในขณะเดียวกันยังมีแง่มุมความรักของ เจ้าชายสิทธัตถะ กับโจรสาวที่ชื่อ มิคาอิลา ซึ่งรักใคร่ชอบพอกัน แต่ถูกกีดกันโดย พระเจ้าสุทโธทนะ กษัตริย์ผู้พ่อ...

.................................

เนื้อเพลง "Scarlet Love Song : เพลงรักสีเลือด" แปลไทย ฉบับเต็ม (ข้อมูลจากเน็ต ไม่ปรากฎชื่อผู้แปล...ก็ขอขอบคุณเป็นอย่างยิ่ง ด้วยจิตคารวะ :)



จะพาฉันโบยบินไปใช่ไหม?
ฉันเชื่อ เราจะได้พบกันอีกครั้ง
ฉันจะร้องเพลงนี้ตลอดไป
เพลงรักสีเลือด

สักวัน...
ฉันจะกลายเป็นสายลมและโบยบินไป
ไปยังที่ที่มีเธอ
แม้กาลเวลาล่วงเลย
ลับเลือนนิจนิรันดร์
ความรู้สึกที่มีต่อเธอยังเปล่งประกาย
ราวอัญมณีส่องแสง

จะพาฉันโบยบินไปใช่ไหม?
ฉันเชื่อ เราจะได้พบกันอีกครั้ง
ฉันจะร้องเพลงนี้ตลอดไป
เพลงรักสีเลือด

จะพาฉันโบยบินไปใช่ไหม?
แม้ยามหลับตาในตอนนี้
ลึกสุดใจ ฉันเห็น...
กุหลาบสีน้ำเงินพร่างพรมทั่วปีก
เวลาที่ต้องจากลาคงมาถึงสักวัน

จนกว่าจะถึงเวลานั้น
จนกว่าร่างสลายเป็นเถ้าธุลี
ฉันจะปลิดปลิวไป
ฉันเชื่อ...แม้กระทั่งน้ำตา
ที่เอ่อล้นออกมา

จะคืนชีวิตได้สู่ดอกไม้โรยรา
แม้กาลเวลาล่วงเลย
ลับเลือนนิจนิรันดร์
หยาดหยดแห่งรักยังคงเปล่งประกาย
ราวอัญมณีส่องแสง

จะพาฉันโบยบินไปใช่ไหม?
ฉันเชื่อ เราจะได้พบกันอีกครั้ง
ฉันจะร้องเพลงนี้ตลอดไป
เพลงรักสีเลือด

จะพาฉันโบยบินไปใช่ไหม?
แม้ยามหลับตาในตอนนี้
ลึกสุดใจ ฉันยังคงได้ยิน...
เพลงรักสีเลือด



วันอังคารที่ 19 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

กีฏจารย์กับอาถรรพ์แมลงพิสดาร


Mushishi กีฏจารย์กับอาถรรพ์แมลงพิสดาร...



Mushishi "มุชิฉิ" เป็นเรื่องราวของสิ่งมีชีวิตที่ซ่อนเร้นลึกลับในป่าลึก เรียกสั้นๆว่า "มุชิ" และมันทั้งยังเป็นต้นเหตุของเรื่องเหนือธรรมชาติหลายๆประการโดยเฉพาะโรคภัยไข้เจ็บ แต่มันไม่ใช่สิ่งมีชีวิตเล็กๆ-เชื้อโรค ที่มนุษย์คุ้นเคยโดยทั่วไป จนยากที่จะสามารถอธิบายว่ามันเป็นอะไรกันแน่ และก็ใช่ใครๆจะสามารถเห็น-สัมผัสมันได้ง่ายๆ และมันเป็นอันตรายอย่างยิ่งสำหรับผู้ที่สามารถเข้าไปล่วงรู้การดำรงอยู่ของพวกมัน!

กิงโกะ เป็นบุคคลผู้มีความสามารถพิเศษ ที่สามารถมองเห็น"มุชิ"ได้ และเขาออกเดินทางไปทั่วญี่ปุ่น ในฐานะ"ผู้เชี่ยวชาญด้านมุชิ" เพื่อค้นหาความลับของมุชิ รวมถึงการช่วยเหลือผู้คนที่ต้องทุกข์ทรมานจากโรคภัยประหลาดอันน่าจะเนื่องมาจาก มุชิ

เรื่องราวของ Mushishi มี 26 ตอนจบ โดยแต่ละตอนนั้นจะจบในตัว ตัวละครทั้งปวงไม่เกี่ยวเนื่อง-ต่อเนื่องกันเลย จะมีก็เพียง กิงโกะ ตัวเอกเป็นตัวดำเนินเรื่องหลักที่เข้าไปเกี่ยวข้องกับผู้คนตัวละครต่างๆต่างกรรมต่างวาระ แต่ถึงแม้ว่า กิงโกะจะเป็นผู้เชี่ยวชาญ แต่บางครั้งเขาก็ทำได้เพียงแต่เข้าใจ มุชิ ในบางแง่มุมเท่านั้น หลายกรณีเขาไม่สามารถช่วยเหลือผู้คนเหล่านั้นได้

กิงโกะ นั้นบุคลิคเป็นชายผมขาว มีนัยน์ตาเพียงข้างเดียว เขาไม่สามารถที่จะอยู่ที่ไหนนานๆได้ เพราะว่าตัวเขาเองนั้นเองเป็นเป้าของ มุชิ อาจเนื่องจากเขารู้เรื่องมุชิมากเกินไป และถ้าหากว่าเขาอยู่ที่ไหนนานเกินไป ก็อาจจะนำอันตรายมาสู่ผู้คนรอบข้างได้อีกต่างหาก...


หนังการ์ตูนอนิเมะ Mushishi นี้...ถึงจะเป็นการเดินเรื่องที่เนิบนาบ(ถ้าไม่ชอบแนวนี้หรือตั้งใจดูจริงๆอาจหลับได้ :) แต่ก็เปี่ยมไปด้วยพลัง หลายๆฉากสะกดอารมณ์ได้ดีเยี่ยม ทั้งให้แง่คิดลุ่มลึกทีเดียว... "บางสิ่งที่มองไม่เห็นด้วยตา แต่ว่าสิ่งนั้นก็ดำรงอยู่จริง และส่งผลกระทบต่อชีวิตด้วยไม่ว่าจะทางตรงหรือทางอ้อม ทั้งหนักและเบา....ทำนองเชื้อโรค-ภูตผี หรือ อาจตีความเลยไปถึงพลังอำนาจลึกลับอะไรบางอย่างที่อยู่เบื้องหลังปรากฏการณ์ทั้งปวงในธรรมชาติ จักรวาล - พระเจ้า! ?

นอกจากเนื้อเรื่องที่ให้อารมณ์ภูตผีแบบญี่ปุ่นแล้ว แน่นอนจุดเด่นที่สำคัญของอนิเมะ Mushishi ก็คือ ภาพและเสียง ซึ่งโดดเด่นมีเอกลักษณ์-มีเสน่ห์น่าค้นหา ทุกฉากทุกภาพเต็มไปด้วยธรรมชาติซึ่งใช้สีโทนนุ่ม ทึมๆ แบบ อาร์ตๆ และภาพมักสื่อให้เห็นในทำนอง...เมื่อกิงโกะหรือมนุษย์ในเรื่องอยู่กลางธรรมชาติ มนุษย์จะเป็นเพียงส่วนเล็กๆทำให้สายตาเราจับจ้องไปที่ความยิ่งใหญ่และลึกลับของธรรมชาติเบื้องหลัง แต่ก็ยังแฝงเข้าข้างมนุษย์ที่ถึงเป็นเพียงส่วนประกอบเล็กๆ แต่ก็มีหัวใจที่เปี่ยมด้วยความพยายามที่จะดิ้นรนต่อสู้ชีวิตให้รอด


วันพุธที่ 22 มิถุนายน พ.ศ. 2554

โตเกียว 8 ริกเตอร์!



Tokyo Magnitude 8.0

การ์ตูนอะนิเมะ ดีๆ ภาพสวย-เนื้อเรื่องซาบซึ้งกินใจ ต่อมน้ำตาแตก!


- ขอขอบคุณข้อมูลจาก http://www.patsonic.com/ -



เป็นที่รู้กันปี 2011 นี้ ญี่ปุ่นโดนภัยพิบัติแผ่นดินไหว-สึนามิสาหัส...ถ้าจะถามว่า มีอะนิเมะที่หยิบเอาภัยพิบัติของโลกมาพูดถึงบ้างรึเปล่า ก็นับว่ามีอยู่หลายเรื่องทีเดียว แต่หนึ่งในนั้น(ที่ไม่ควรพลาด) คือ “Tokyo Magnitude 8.0″ อะนิเมะความยาว 11 ฉายทางฟูจิทีวี ไปเมื่อช่วงกลางปี 2010

เรื่องราวของมันเกิดขึ้นในโตเกียวช่วงกลางปี 2012 แผ่นดินไหวครั้งรุนแรงที่สุดในประวัติศาสตร์ของญี่ปุ่น วัดความแรงได้ถึง 8.0 ริกเตอร์ (ส่วนที่เกิดขึ้นจริงปี 2011 นั้น 8.9 ริกเตอร์ ตัวเลขใกล้เคียง!) สร้างความเสียหายที่ร้ายแรงเกินกว่าครั้งไหนๆ แต่อะนิเมะเรื่องนี้ ไม่ได้โชว์ความอลังการแห่งหายนะที่ธรรมชาติสร้างขึ้นมาถาโถมใส่มนุษย์เท่านั้น หากแต่มันเน้นไปที่ชีวิตของ 3 ตัวละครหลักของเรื่อง


โอโนะซาวะ มิไร เด็กสาวผู้อยู่ในวัยมัธยมต้น ที่ไม่ค่อยจะพอใจทุกอย่างในชีวิต โดยเฉพาะครอบครัว พ่อแม่ที่ดูเหมือนจะไม่ค่อยมีเวลาให้เพราะต่างเอาแต่ทำงาน แม้แต่วันเกิดของแม่เอง แทนที่จะได้เห็นภาพของการฉลองวันเกิดเล็กๆ แบบครอบครัว แต่กลับมีแค่เพียงเค้กชิ้นเล็กๆ ที่ผู้เป็นแม่ซื้อมาให้ลูกๆ นั่งกินกันเอง เมื่อเธอได้การบ้าน ครูให้เขียนถึงสิ่งที่อยากเป็นใน 10 ปีข้างหน้า เธอกลับนึกมันไม่ออก อาจเพราะเธอไม่มีใครคอยชี้แนะ ซึ่งส่วนหนึ่งก็เพราะความเบื่อโลกของเธอนั่นเอง มีเพียงมือถือคู่กายที่มักจะถูกหยิบขึ้นมาบันทึกเรื่องราวเป็นประจำจนถูกเพื่อนน้องชายล้อเลียนว่าเป็นมนุษย์ดาวมือถือ


เธอมีน้องชายชื่อ โอโนะซาวะ ยูกิ ผู้ชื่นชอบหุ่นยนต์ เธอมักมองน้องชายเป็นเหมือนภาระที่เธอต้องดูแลและทำให้เธอไม่ค่อยมีโอกาสไปเล่นกับเพื่อน เธอเกลียดบ้าน เกลียดพ่อแม่ พาลเกลียดไปถึงเมืองที่เธออยู่ จนเธอคิดในใจว่า...

“โลกนี้มันน่าจะแตกๆ ไปซะได้แล้ว”

แต่เธอคงไม่คาดคิดว่าเหตุการณ์นั้นมันจะเกิดขึ้นจริงๆ ตรงหน้า...ในวันที่เธอต้องพายูกิมาเที่ยวงานนิทรรศการหุ่นยนต์บนเกาะโอไดบะ แม้จะไม่เต็มใจ แต่คงจะดีกว่าอยู่บ้านอย่างว่างเปล่าในวันปิดเทอม เหตุการณ์แผ่นดินไหวครั้งใหญ่นี้เกิดขึ้นในตอนบ่ายของวันนั้น เด็กสองคนต้องติดอยู่บนเกาะพร้อมๆ กับผู้คนอีกมากมาย แต่การหาทางกลับบ้านของพวกเขายังคงพอมีตัวช่วยอยู่บ้าง…



คุซาคาเบะ มาริ สาวนักซิ่งผู้ประกอบอาชีพส่งของ ที่มิไรไม่ค่อยจะถูกชะตาสักเท่าไหร่ในตอนแรกที่เจอกัน แต่เมื่อมาริช่วยเธอหาน้องชายจนพบ มิตรภาพก็เริ่มก่อตัวขึ้นอย่างช้าๆ มาริกลายมาเป็นตัวละครสำคัญที่ทำให้มิไรได้เรียนรู้หลายสิ่งหลายอย่างในช่วงเวลาที่ทั้งสามเดินกลับบ้านด้วยกัน

ฝ่ายหนึ่งคือเด็กสองคนที่ต้องการกลับไปหาพ่อแม่ อีกฝ่ายคือแม่คนหนึ่งที่ต้องการกลับไปหาลูกสาว ต่างคนต่างไม่รู้ในชะตากรรมของผู้ที่ตนจะกลับไปหา ระหว่างนั้นก็ต้องดิ้นรนหาทางเอาชีวิตรอดเพื่อกลับไปให้ถึงบ้าน มิไร เด็กดื้อและค่อนข้างจะเป็นเด็กมีปัญหา ก็ได้เรียนรู้ถึงความรักและผูกพันระหว่างพี่น้องที่เธอเคยมองข้าม ได้รับรู้ในความรักของแม่อย่างมาริที่เผื่อแผ่มาถึงเธอและยูกิ มาริทำหน้าที่เสมือนแม่ของเด็กทั้งสอง เป็นแม่ที่คอยทดแทนในสิ่งที่เด็กๆ อยากได้เมื่อตอนอยู่ที่บ้าน นั่นคือ การดูแลเอาใจใส่ใกล้ชิด...

ทั้งสามสัญญากันไว้ว่าจะเดินกลับบ้านพร้อมกัน แต่ระหว่างทางพวกเขาต่างเจออุปสรรคต่างๆ มากมาย เพราะเมื่อเกิดเหตุแผ่นดินไหวใหญ่การคมนาคมและการสื่อสารเป็นอัมพาต อีกทั้งยังเกิดอาฟเตอร์ช็อคตามมาอีกหลายระลอก การตัดสินใจเดินกลับจึงเป็นเรื่องต้องจำใจเลือก ระยะทางที่ไม่ใช่ใกล้ๆ จึงมีเรื่องให้เล่ายาวถึง 11 ตอน

..............................................


ญี่ปุ่นนั้นเป็นชาติหนึ่งที่ประสบเหตุแผ่นดินไหวเป็นประจำ รวมไปถึงสึนามิที่เจอกันจนคุ้นเคย อะนิเมะที่บอกเล่าเรื่องราวของแผ่นดินไหวจึงน่าจะทำให้คนญี่ปุ่นอินกับเรื่องนี้ได้ง่าย ก่อนเริ่มของทุกตอน ก็จะมีข้อความบอกกับผู้ชมเสมอว่า เรื่องนี้แต่งขึ้นจากการรวบรวมข้อมูลจากการวิจัยแผ่นดินไหวที่เกิดขึ้นบ่อยครั้งในกรุงโตเกียว เพียงแต่เหตุการณ์ในเรื่องเป็นเหตุการณ์จำลอง ซึ่งมันอาจจะเกิดขึ้นจริงๆ ก็ได้ ใครจะไปรู้ (แล้วมันก็เกิดขึ้นจริงๆเกิดขึ้นก่อนอีก 1 ปี ต่างหาก...ส่วน 2012 จะยังไง ต้องรอลุ้นระทึก! O_0)

ในด้านของภาพนั้น ทำได้สวยสดงดงาม ผสมผสานกันระหว่างภาพสองมิติและสามมิติกันได้อย่างลงตัว แต่ที่สำคัญคือ หนังให้อารมณ์เหมือนกับเรากำลังดูภาพยนตร์อยู่ การเล่าเรื่องผ่านภาพ เสียงเพลงประกอบ และบทพูดต่างๆ สอดประสานกันจนเรารู้สึกอินไปกับมัน ยิ่งผ่านไป ยิ่งพบว่า เหมือนเรากำลังเป็นส่วนหนึ่งของมัน ไม่นาน เราก็ถูกมันควบคุมจนกลั้นน้ำตาเอาไว้ไม่อยู่ แต่ก็เหมือนทุกครั้ง แม้ตัวละครจะต้องประสบกับความทุกข์ยากและเรื่องร้ายๆ มามากมาย แต่เมื่อถึงตอนจบ พวกเขาก็ไม่ลืมที่จะทิ้งคำพูดดีๆ ให้กำลังใจผู้ชมเลยแม้แต่นิดเดียว

เรื่องราวของ Tokyo Magnitude 8.0 จะมีความยาว 11 ตอนจบ(ตอนละประมาณ 20 กว่านาที) เกินพอจะทำให้เราอินไปกับมัน หากใคร เป็นคนอ่อนไหว ไม่ต้องสงสัยเลยว่า คงได้เสียน้ำตาให้กับมันเป็นลิตรๆ อย่างแน่นอน

วันอังคารที่ 15 มีนาคม พ.ศ. 2554

"รอยยิ้ม" ญี่ปุ่น

ภาพสเก็ต ชุด Smile "รอยยิ้ม" จาก @inouetake ทวิตเตอร์ ( ลิงค์ทวิตเตอร์ ) ของ "inouetake" หรือ "อ. ทาเคฮิโกะ อิโนะอุเอะ" ผู้สร้างการ์ตูน Slam Dunk + ด้วยบทเพลง "Kimi de ite, Buji de ite" โดย "Kanno Youko" ศิลปินญี่ปุ่นที่บ้านเกิดอยู่ใกล้บริเวณที่เกิดเหตุ...ร่วมกันสร้างสรรค์เพื่อเหตุการณ์แผ่นดินไหว-สึนามิ ญี่ปุ่น 2011 โดยเฉพาะ




เนื้อเพลง

心配してる、世界が君を心配してる
(shimpai shiteru, sekai ga kimi wo shimpai shiteru)
worried, the world is worried about you

君の名前を探してる
... (kimi no namae wo sagashiteru)
searching for your name

一緒にいるよ、世界が君と一緒にいるよ
(issho ni iru yo, sekai ga kimi to issho ni iru yo)
with you, the world is with you

君の命に会いに行く
(kimi no inochi ni ai ni yuku)
going to meet your life

心と体壊さず君を
(kokoro to karada kowasazu kimi wo)
your heart and body unbroken

抱きしめて会いに行くまで
(dakishimete ai ni yuku made)
until we hold and see you

君でいて、無事でいて
(kimi de ite, buji de ite)
please be you, please be safe


.................................................