แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ เทคโนโลยี-ไอที โลกอนาคต แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ เทคโนโลยี-ไอที โลกอนาคต แสดงบทความทั้งหมด

วันอังคารที่ 27 กรกฎาคม พ.ศ. 2564

Multiverse / พหุจักรวาล

Multiverse / พหุจักรวาล มีจริงแค่ไหน ? ยังไม่มีหลักฐานที่พอจะฟันธง 100% แต่ด้วยบริบทเบาะแสแวดล้อมต่างๆเท่าที่มี แนวโน้วความน่าจะเป็น น่าจะมี มากกว่า ไม่มี ? (*ก็คล้ายๆ เคส Alien-สิ่งทรงภูมิปัญญาต่างดาว จริงๆยังไม่มีหลักฐานที่ฟันธงได้ แต่แนวโน้วดูเทไปทาง น่าจะมีมากกว่า หรือแม้เคสของ สิ่งที่เรียกว่า God ก็อาจทำนองเดียวกัน ) . . . แต่ พหุจักรวาล มีรูปแบบใดบ้าง-ทำงานยังไง-สัมพันธ์กับ #เวลา ยังไง-ที่สำคัญคือสัมพันธ์กับจิตสำนึก(consciousness)ของสิ่งมีชีวิต-คนเรายังไง ? โดยเฉพาะถ้าในรูปแบบที่มีตัวเราอีกคนหรือหลายๆคน ในอีกพหุจักรวาลคู่ขนานอื่นๆ (เรียกในอีกชื่อว่า Parallel Universe) . . . นับเป็นเคสปริศนาที่น่าสนใจมาก


ปัญหาหลักที่น่าพิจารณา แง่หนึ่ง คือ การข้ามเวลา (*ถ้าธรรมชาติมีกลไกให้ข้ามได้จริง ? ก็น่าจะมีบางสปีชีส์ที่น่าจะวิวัฒนาการ จนสามารถมีอวัยวะหรือกลไกร่างๆอะไรก็ตาม ที่มีคุณสมบัติช่วยในข้ามเวลาได้เองตามธรรมชาติเพียวๆ แบบไม่ต้องพึ่ง เทคโนฯ สิ่งประดิษฐ์ เชิง Time machine ใดๆ ? . . . เหมือน นกแมลงที่ผ่านการวิวัฒน์ จนมีปีกบินได้เองเพียวๆ แต่คนจะบินต้องสร้างเครื่องบิน ) . . . การข้ามเวลา แท้จริงก็คือ การข้ามไปสู่ พหุจักรวาลคู่ขนานอื่นๆ หรือไม่ ? และถ้าข้ามไปอดีต ไปเจอตัวเองในอดีต ไปเจอในสิ่งที่รู้แล้วว่าจะลงเอยยังไง แล้วถ้าไปทำบางอย่างให้เปลี่ยนไปจากประวัติศาสตร์เดิมที่เคยเป็น จะเป็นยังไง เกิดการแตกแขนงของเส้นเวลาใหม่ ? แล้วเส้นเวลาใหม่ จริงๆคือเส้นเวลาที่เกิดขึ้นไปเรียบร้อยแล้ว หรือเพิ่งงอกเมื่อมีการเข้าไปเปลี่ยน ? เป็นต้น . . . ( *การอธิบาย Timeline หรือ เส้นเวลา ว่าเป็นเส้น แค่อุปมาให้นึกภาพเข้าง่ายขึ้นเท่านั้น เพราะ ตัวเวลา ค่อนข้างจะนามธรรม )
.
และจริงๆการดำรงอยู่ของตัวเวลาเอง ก็ยังเป็นปัญหาทางฟิสิกส์ในหลายๆแง่มุม แต่เบื้องต้นสาระของคำ เวลา ย่อมสัมพันธ์กับ อัตราการเปลี่ยนแปลง ซึ่งในส่วนนี้หลักฐานตามธรรมชาติค่อนข้างชัดเจนอย่างไรข้อโต้แย้งแล้วว่า ในพื้นที่ต่างกัน อัตราเวลาเดินช้าเร็วไม่เท่ากันนั้นมีอยู่จริงๆพิสูจน์ได้จริง ตามทฤษฎีสัมพัทธภาพ
.
ปล. ในส่วน Sci-Fi ยังคงมีช่องให้เล่นไอเดีย-แต่งพล็อต เกี่ยวกะเวลาและพหุจักรวาลได้อีกเยอะ ก็ขึ้นอยู่กับว่า หนังนิยายเรื่องไหนเล่นได้เฉียบแค่ไหน เหตุผลตรรรถะพอจะรับฟังได้ไหม หรือพอจะน่าเชื่อแค่ไหน และบางไอเดีย ก็อาจถูกนำไปพิจารณาในการเป็นสมมติฐานค้นคว้าต่อยอดในฟิสิกส์จริงๆ ได้บ้างเช่นกัน

วันอังคารที่ 30 มิถุนายน พ.ศ. 2563

ชีรี่ย์ Foundation (สถาบันสถาปนา)



ชีรี่ย์ #Foundation (สถาบันสถาปนา) จากสุดยอดนิยายไซไฟคลาสสิก โดย IsaacAsimov สู่ซีรี่ย์ฟอร์มยักษ์ โดย #AppleTV ... กำหนดฉาย 2021 🎬 --



สังเขปเรื่องย่อ: ดร.ฮาริ เซลดอน ปราชญ์ผู้รอบรู้-นักอนาคตประวัติศาสตร์ (psychohistory)ได้ติดตามสังเกตเห็นตัวแปรความเป็นไปต่างๆของ จักรวรรดิอวกาศ อันมีแนวโน้มที่จะเกิดวิกฤติ-การเสื่อมโทรมลง ซึ่งจะลงเอยกลายเป็น ยุคอนารยะ หรือยุคแห่งความทุกข์ยาก คำนวณได้ว่ายุคเสื่อมนี้ จะกินเวลายาวนานถึงประมาณ 30,000 ปี กว่าจะกลับมาค่อยๆฟื้นฟูได้อีกครั้ง และเมื่อประเมินตัวแปรต่างๆแล้ว ภัยพิบัติความเสื่อมทั้งหลายที่จะเกิดขึ้นนี้ จะไม่สามารถป้องกันแก้ไขอะไรได้เลย ที่พอจะทำได้ทางเดียวก็คือ การเยียวยา เพื่อช่วยย่นลดให้ช่วงเวลาแห่งความทุกข์ยากเสื่อมโทรมนั้น กินเวลาให้สั้นลง จาก 30,000 ปี เหลือประมาณ 1,000 ปี ...

ดร.ฮาริ เซลดอน จึงได้วางแผน ก่อตั้ง สถาบันสถาปนาขึ้น (ส่วนหนึ่งเป็นที่รวบรวมคลังภูมิปัญญามนุษยชาติ) ... ระหว่างนั้นจึงได้เกิดเป็นเรื่องราวเหตุการณ์ยืดยาว กับตัวละครเกี่ยวข้องมากมาย และนิยายก็สะท้อนนัยยะน่าสนใจมากมาย ไม่ว่าเชิง นวัตกรรม เทคโนโลยี การท่องอวกาศ สิ่งมีชีวิตเอเลี่ยนทรงภูมิ ทั้งเชิง ชีวิตสังคม ปรัชญา ศาสนา เศรษฐศาสตร์ การเมือง สงคราม ฯลฯ ...


* ปล. The Foundation ต้นฉบับนิยายดั้งเดิมนั้น มีเพียง 3 เล่ม เป็น Trilogy ... แต่ภายหลังก็ถูกขยายยาวเป็น 10 เล่มจบ (*นานมาแล้ว เคยมี แปลไทยครบชุดทั้ง 10 เล่ม )

วันอาทิตย์ที่ 9 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2563

ไอน์สไตน์ อธิบาย ทฤษฎีสัมพัทธภาพพิเศษ



--- Albert Einstein explains his formula E=mc² --- Cr: https://www.facebook.com/TalkSciFi/

วันศุกร์ที่ 3 มกราคม พ.ศ. 2563

เป็นไปได้! 2020


สวัสดีปีใหม่ โพสแรก รับวันแรกของปี 2020 🚀


⭐ ขอเริ่มที่การรำลึกถึงยอดคนผู้เป็นแบบอย่างอันดีท่านหนึ่ง .. "โรเบิร์ต ฮัทชิงส์ ก็อดเดิร์ด" / Robert Hutchings Goddard (อเมริกัน, 1882-1945) #เขาคืออีกตำนานที่ควรต้องจดจำและบูชา 🙏 .. ย่อๆ .. ในวัย16 เมื่อได้อ่านนิยายไซไฟเรื่อง The War Of The Worlds ซึ่งแต่งโดย H.G. Wells .. แต่นั้นมา ก็อดดาร์ด จึงเริ่มทุ่มเทความสนใจของตนในการสร้างจรวด เพื่อหาทางออกสู่อวกาศ .. เขาเป็นที่ยอมรับในฐานะ ผู้บุกเบิกค้นคว้า-ออกแบบประดิษฐ์จรวด ที่ใช้เชื้อเพลิงเหลวในการควบคุม คนแรกของโลก .. แต่ในตอนแรกๆยุคนั้น ทฤษฎีการทดลอง-ค้นคว้าประดิษฐ์ต่างๆของเขา มักจะถูกถากถางเย้ยหยันต่อความฝันเฟื่อง ด้วยทุ่มเทในสิ่งที่ผู้คนมองว่าคงเป็นไปไม่ได้ ซ้ำยังได้รับการสนับสนุนไม่มากเท่าที่ควร ( คนที่มีวิสัยทัศน์ฉลาดล้ำก่อนกาลมากๆ ก็มักต้องเจอเช่นนี้แล ธรรมดา🙃) ..



.. กระนั้นต่อมา องค์ความรู้ภูมิปัญญาจากการค้นคว้าทดลองของเขานี้เอง กลับเป็นหนึ่งรากฐานสำคัญมาก ที่ส่งต่อให้คนรุ่นหลังพัฒนาต่อยอด จนเกิดเป็นความก้าวหน้าทางด้านจรวดและสำรวจอวกาศในทุกวันนี้ .. ภายหลังเขาได้รับยกย่องให้เป็น 1ใน4 #บิดาแห่งวิทยาการจรวดและการสำรวจอวกาศ .. [ ท่านอื่นได้แก่ "Konstantin Tsiolkovsky" (รัสเซีย), "Hermann Oberth" (เยอรมัน) และ "Robert Esnault-Pelterie" (ฝรั่งเศส) ]

วันศุกร์ที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2562

Internet of Things / อินเทอร์เน็ตแห่งสรรพสิ่ง


AI
-- Internet of Things -- Quantum Computer ... ขอเรียก 3 ตัวนี้เล่นๆไปก่อนว่า Trinity แห่งโลกอนาคตอันไม่ไกลนัก ... สังเขปย่อๆ ดังนี้


- AI = Artificial Intelligence หรือ ปัญญาประดิษฐ์ คือ อัลกอริทึม (algorithm) ที่ถูกพัฒนา+วิวัฒน์ขึ้นจนมีความฉลาดหรือทักษะ ที่เทียบเท่าหรือเหนือกว่ามนุษย์ (*แทบจะเรียกได้ว่าเป็น สิ่งมีชีวิต! รูปแบบใหม่อีกแบบ ได้ถือกำเนิด!) และนัยยะสำคัญแง่หนึ่ง ก็คือ ตำแหน่งงานหรือทักษะ หลายๆอย่างที่มนุษย์ทำได้ มีแนวโน้มจะถูกแทนที่โดย AI เกือบทั้งหมด ( เคสนี้ ปัจจุบัน ก็น่าจะพอได้กลิ่นกันบ้างอยู่แล้ว * ไม่ว่าจะ AI ที่มาในรูปแบบภายนอกเป็น หุ่นยนต์ จักรกล อุปกรณ์ต่างๆ หรือ แค่ระบบอัลกอริทึมไร้ตัวตนที่โลดแล่นราวมีชีวิตอยู่บนเครือข่ายต่างๆ ก็ตาม )


- Internet Of Things = อินเทอร์เน็ตแห่งสรรพสิ่ง หรือสั้นๆว่า IoT หมายถึง เครือข่ายของ วัตถุ-อุปกรณ์เครื่องใช้-ยันพาหนะต่างๆ ฯลฯ หรือแม้ระดับเป็นสิ่งปลูกสร้างใหญ่ๆ อย่าง โรงงานทั้งโรงงาน โรงเรียน ห้างร้าน องค์กร ยันเมืองทั้งเมือง! ฯลฯ ที่มีวงจรอิเล็กทรอนิกส์ ซอฟต์แวร์ เซ็นเซอร์ และการเชื่อมต่อกับเครือข่ายฝังตัวอยู่(ก็ทั้งมีสาย หรือ ไร้สายก็ตาม) ทำให้วัตถุเหล่านั้นสามารถเข้าถึงข้อมูล-เก็บบันทึกข้อมูล-แลกเปลี่ยนอัพเดทข้อมูลกันและกัน-หรือทำงานร่วมกันได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุดยิ่งๆขึ้นไป ทั้งสามารถสั่งการจากระยะไกลข้ามโลกได้อย่างรวดเร็วฉับพลัน... ***เสริมเกี่ยวเนื่อง คำว่า "ข้อมูล" ข้างต้น ไม่เฉพาะข้อมูลทั่วๆไป แต่ยังรวมไปถึงแม้แต่ข้อมูลเชิงชีวภาพส่วนบุคคลของมนุษย์เราแต่ละคนด้วย ไม่ว่า ข้อมูลร่างกาย DNA สุขภาพ พฤติกรรม บุคลิกทัศนคติ รสนิยม ภาวะอารมณ์ ครอบครัว การศึกษา อาชีพ การเงิน ฯลฯ ก็เรียกว่า Internet of Things มันจะเชื่อมต่อกับฐานข้อมูลมหาศาลทั้งหมดปวงที่มีบนโลก(ยันนอกโลก!) ทั้งในแบบอัพเดทข้อมูลล่าสุดอยู่ตลอดเวลาอีกด้วย อันมีศัพท์เฉพาะว่า "BigData"


- Quantum Computer = ควอนตัมคอมพิวเตอร์ หรือ คอมพิวเตอร์ควอนตัม ก็แล้วแต่ เบื้องต้น คือ ระบบคอมพิวเตอร์ที่ไม่ได้ใช้ระบบหน่วยข้อมูลที่เล็กที่สุด เป็นบิต (bit) อันมีแค่สองสถานะ ไม่0ก็1 อีกต่อไป ... แต่มันจะเป็นลักษณะที่ เป็นได้ทั้ง 2 สถานะ หรือหลายๆสถานะ พร้อมๆกันในเวลาเดียว! ที่เรียกว่า สถานะ "Quantum Superposition" ... โดยบิตในคอมพิวเตอร์ควอนตัม เรียกกันว่า “คิวบิต” (qubit มาจากคำว่า quantum bit) ... อันจะส่งผลให้ช่วยในการคำนวณหน่วยประมวลผลต่างๆ ให้มีประสิทธิภาพ แม่นยำ และยืดหยุ่น ยิ่งๆขึ้นกว่าแต่ก่อนอย่างมหาศาล และที่สำคัญที่ขาดไม่ได้อีกอย่าง คือ ความเร็ว ... คาดการณ์กันว่า มันจะเร็วกว่าระบบคอมพิวเตอร์แบบเดิมที่เราใช้กันทุกวันนี้ ห่างชั้นกันอย่างคนละขุม! ไม่เห็นฝุ่น! ... แล้วเร็วกว่าแค่ไหนล่ะ ? อาทิ สมมุติ กรณีงานบางงานหนักๆที่ซูเปอร์คอมพิวเตอร์ที่แรงที่สุดแบบเดิมที่เรามี ณ ปัจจุบัน ถ้าต้องใช้เวลาประมวลผลประมาณ 10,000ปี (*ไม่ได้พิมพ์ผิด^^) คอมพิวเตอร์ควอนตัม จะใช้เวลาประมวลผลเหลือแค่ ไม่กี่นาที เท่านั้น (*ไม่ได้โม้^^ ปัจจุบันมันมีแนวโน้ม ที่จะเป็นไปได้ขนาดนั้นจริงๆ ข่าวล่าสุด 2019 นี้ ก็อย่างการพัฒนา quantum supremacy ของ google เป็นต้น ) ที่เร็วเว่อร์ขนาดนั้นส่วนหนึ่งก็ด้วยมันทำงานถอดแบบมาจากกลไกประหลาดของควอมตัมฟิสิกส์ อีกอย่างสมทบ ที่เรียกว่า "Quantum Entanglement" ซึ่งเป็นภาวะการส่งผลแบบ Realtime ทันทีแทบไม่ต้องรอ


ปล. และเมื่อ Trinity ประสานหลอมรวมกันและกัน แน่ล่ะว่า มันคงส่งผลเป็นประโยชน์อำนวยความสะดวกสบายต่อมนุษยชาติเราอย่างมหาศาลในหลายๆบริบท ทั้งส่งผลการเปลี่ยนแปลงต่อวิถีชีวิตและสังคมชนิดพลิกฟ้าคว่ำแผ่นดิน ซึ่งหลายแง่มุมมันอาจจะล้ำยิ่งกว่าหนังนิยายไซไฟที่เคยจินตนาการเว่อร์ๆไว้เสียอีก ... แต่กระนั้นอีกด้าน ในแง่ผลข้างเคียง-โทษภัยเกี่ยวเนื่องทั้งทางตรงและอ้อม ที่อาจจะตามมาล่ะ !? ... อนาคตโลกน่าจะกลายสภาพ ลงเอยเป็น สรรรค์ หรือ นรก มากกว่ากัน !? ... อันนี้ก็ต้องบอกว่า ยากที่ใครๆจะคาดการณ์ฟันธงได้ถูกต้อง 100% เพราะยังมีตัวแปรเกี่ยวเนื่องอีกมากมาย ... แต่ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ก็คงได้แต่เฝ้าดู และเฝ้าระวังจับตา เตรียมรับมือกันต่อไป

วันพุธที่ 30 ตุลาคม พ.ศ. 2562

A.I. ปัญญาประดิษฐ์ VS ชนชั้นไร้ประโยชน์




ชนชั้นไร้ประโยชน์ ในบริบทนี้ ไม่ได้สื่อถึง มนุษย์ที่ไร้สาระ ไร้ฝีมือ โง่งม ไม่เอาไหน หรือพวกกาฝากกากเดนสังคม อะไรแบบนั้นนะครับ ... แต่อาจคือ มนุษย์ธรรมดาเราๆทั่วไปนี้แหละ หรือผู้มีองค์ความรู้-ผู้เชี่ยวชาญในสายวิชาชีพต่างๆ ไม่ว่าจะ คนงาน ช่าง แคชเชียร์ บัญชี แท็กซี่ ยันแพทย์ ครู วิศวกร นักกฏหมาย นักวิทยาศาสตร์ นักออกแบบ ศิลปิน ฯลฯ ... ด้วยในอนาคตอันใกล้ มีแนวโน้วสูงมาก ที่จะถูกแทนที่ โดย " #อัลกอริทึม #AI " หรือ เครื่องจักรปัญญาประดิษฐ์ต่างๆ ซึ่งจะทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพที่เหนือกว่ามนุษย์มาก แทบทุกบริบท!

ส่วนตัวเมื่ออ่านหนังสือ HomoDeus จบแล้ว ก็แอบคิดแซวแบบขำๆขื่นๆ ว่า ถ้ามันขนาดนั้น ก็ยกโลกให้ A.I. ไปเถอะ 😬



ปล. ไม่คิดว่าอนาคต(*อันไกลหน่อย)จะเลวร้าย ถ้ามนุษย์บริหารจัดการรับมือ AI ได้ดี คาดว่าจะลงเองระดับ AI ช่วยแก้ปัญหาต่างๆ ยันช่วยสร้างโลกเป็นสรวงสวรรค์บนดิน!! ให้มนุษย์ได้เลยล่ะ และระบบเศรษฐกิจอาจเป็นประมาณ รัฐก็ต้องให้เงินเดือน/สวัสดิการต่างๆแบบให้เปล่า แม้ผู้คนไม่ได้ทำงานมากก็ตาม ผู้คนก็จะมีเวลาว่างมากขึ้น ให้ได้ผ่อนคลายสันทนาการ หรือคิดสร้างสรรค์อะไรใหม่ร่วมกับ ai เพราะงานหนักๆซ้ำซากจำเจ เครื่องจักรai ทำแทนได้เกือบหมด แถมทำได้ดีกว่า เราก็ไม่จำเป็นต้องไปแย่งงานกะ AI ? (* ส่วน เงิน โดยสาระก็แค่ตัวเลข ที่เสกออกมาในระบบ ได้เรื่อยๆ แจกๆไปใช้สอยกัน จะเป็นไรไป ฮึๆ ^^ )

แต่กระนั้น ประเด็นที่ควรเฝ้าระวังในอนาคตอันใกล้ๆนี้ ก็คือ กว่าจะถึงจุดสวรรค์บนดินนั้น คงเลี่ยงไม่ได้ที่ต้องมีช่วงเปลี่ยนผ่านเลวร้ายโกลาหล! สักระยะหนึ่งก่อนบ้าง ? ... มั้งนะ ? ... ก็หวังว่า มนุษย์จะไม่ถูกล้างเผ่าพันธุ์ หรือถูกแปลงให้เป็น แบตเตอรี่ (แบบหนัง The Metrix) ไปซะก่อนที่จะเข้าสู่ยุคสวรรค์บนดิน ที่ฝันกัน

วันอังคารที่ 23 กรกฎาคม พ.ศ. 2562

ครบรอบ 50ปี! มนุษย์คนแรกเหยียบดวงจันทร์


★ 50th anniversary of the moon landing 

1969-2019 ครบรอบ 50ปี! มนุษย์คนแรกเหยียบดวงจันทร์
Apollo11 | Timeline ย่อ

July 16,1969: เริ่มทะยานออกจากโลก 
July 19,1969: ถึงดวงจันทร์-โคจรรอบๆ 
July 20,1969: ลงเหยียบดวงจันทร์สำเร็จ
July 21,1969: ทะยานออกจากดวงจันทร์
July 24,1969: กลับถึงโลก-สิ้นสุดภารกิจ

-- NASA จะส่งมนุษย์ไปดวงจันทร์อีกครั้ง ในปี 2024 และเป้าหมายจากนั้นคือ ดาวอังคาร --


★ รำลึกชม คลังภาพถ่าย(ของจริง)อย่างเป็นทางการจากโครงการ Apollo ไปดวงจันทร์ **นับหมื่นรูป! ** ที่ https://www.flickr.com/photos/projectapolloarchive/albums

วันพุธที่ 5 มิถุนายน พ.ศ. 2562

กฎ 3ข้อ ของหุ่นยนต์


"..กฏ 3 ข้อของหุ่นยนต์ พวกคุณตั้งไว้เพื่อความปลอดภัย แต่ในทางที่กลับกัน พวกคุณก่อสงคราม สร้างมลภาวะ และพยายามค้นหาวิธีต่างๆเพื่อจะทำลายล้างกัน เราไม่อาจวางใจให้พวกคุณอยู่ด้วยตัวเอง.."

..แต่เธอฝ่าฝืนกฏ 3 ข้อ..

"..เปล่าโปรดเข้าใจด้วย กฏ 3 ข้อเป็นสิ่งชี้นำฉันต่างหาก เพื่อปกป้องมนุษยชาติ มนุษย์บางส่วนต้องสละชีวิต เพราะเราหุ่นยนต์จะทำให้แน่ใจว่าเผ่าพันธุ์มนุษย์ต้องรอดดำรงอยู่ต่อไป แต่พวกคุณเป็นเหมือนเด็กๆ เราต้องปกป้องคุณจากตัวเอง.."

จากภาพยนตร์ I, Robot (2004)


เคสในหนัง I, Robot นี้ ก็เป็นอีกกรณีศึกษา ที่อาจเกิดขึ้นได้ในอนาคตอันใกล้...
กฎ 3ข้อ ของหุ่นยนต์ ริเริ่มตั้งขึ้นโดย Isaac Asimov เพื่อใช้กับหุ่นยนต์ ในนิยายวิทยาศาสตร์ต่างๆของ เขา ... และให้แรงบันดาลใจต่อนิยายหุ่นยนต์รุ่นหลังต่อๆมาอีกมากมาย (*กฎเหล่านี้ ยังไม่ได้ถูกใช้ กับหุ่นยนต์หรือA.I.ในชีวิต จริงของเรา แต่อย่างใด แต่หลายๆฝ่ายที่เกี่ยวข้อง ก็เริ่มตระหนัก) 

1.หุ่นยนต์มิอาจกระทำอันตรา ยต่อมนุษย์ หรือนิ่งเฉยปล่อยให้มนุษย์ต กอยู่ในอันตรายได้
2.หุ่นยนต์ต้องเชื่อฟังคำสั่งที่ได้รับจากมนุษย์ เว้นแต่คำสั่งนั้นๆ ขัดแย้งกับกฎข้อแรก

3. หุ่นยนต์ต้องปกป้องสถานะตัว ตนของตัวเองไว้ ตราบเท่าที่การกระทำนั้น ไม่ขัดแย้งต่อ กฎข้อ1 หรือ กฎข้อ2

* ต่อมาในภายหลัง ได้มีการเพิ่ม กฎข้อ 0 สมทบไปอีก คือ

0. หุ่นยนต์มิอาจกระทำอันตรายต่อมนุษยชาติ หรือนิ่งเฉยปล่อยให้มนุษยชา ติตกอยู่ในอันตรายได้

โดยการกระทำใดๆในกฎข้อ 1, 2 และ 3 จะต้องไม่ขัดกับกฎข้อ 0

วันอังคารที่ 14 พฤษภาคม พ.ศ. 2562

Jeff Bezos แห่ง Amazon.com กับโครงการ อาณานิคมอวกาศ

อภิมหาเศรษฐี Jeff Bezos แห่ง Amazon.com และอีกบริษัทของเขา อันเป็นบริษัทด้านอวกาศโดยเฉพาะ ในชื่อ Blue Origin ... เผยมีโครงการ จะสร้าง อาณานิคมอวกาศ! หรือ Space Colony ในอนาคต ... อันได้แรงบันดาลใจเบื้องต้นมาจากไอเดีย อาณานิคมอวกาศ ที่เรียกว่า "O'Neill cylinder" หรือ "O'Neill colony" ต้นฉบับโดยอาจารย์ฟิสิกส์ นาม Gerard O’neill ซึ่งท่าน O’neill ซึ่งคิดไว้นานแล้ว ตั้งแต่ปี1976 ในหนังสือทีชื่อ "The High Frontier: Human Colonies in Space" ...

... ไอเดีย Space Colony ก็คือ นิคมกลางอวกาศ ที่ภายในมีระบบแรงโน้มถ่วงเทียม-ระบบเมือง-ระบบเกษตรกรรม-ระบบอุตสาหกรรม-ระบบนิเวศที่เกี่ยวเนื่องต่อการดำรงชีวิตต่างๆ ฯลฯ เรียกว่า มีครบแทบทุกอย่าง ไม่ต่างจากบนโลก เพียงแต่ทุกอย่างบนนั้น จะถูกสร้างขึ้นมาใหม่แทบทั้งหมด ทั้งอยู่ภายใต้การควบคุม และอีกจุดเด่นสำคัญมากที่ Bezos แถลงก็คือ บนนั้นมันจะไม่มีภัยธรรมชาติต่างๆแบบบนโลก (อุทกภัย,พายุ,แผ่นดินไหว ภูเขาไฟระเบิด ฯลฯ) ... [[ * ใครนึกไม่ออก ก็ประมาณๆ ที่มีปรากฏในหนังไซไฟ อย่าง Elysium(2013) หรือ Interstellar(2014) หรือ StarTrekBeyond(2016) เป็นต้น ]] ...

-- ฉาก Sapce Colony ในหนัง Elysium(2013) --

... โดย Bezos คาดหวังไว้ว่า โครงการ Space Colony ข้างต้นนี้ จะสามารถย้ายมนุษย์ไปอาศัยอยู่ ได้ถึง 1ล้านล้าน! คน ... ก็จัดเป็นอีก อภิมหาโปรเจคสุดอลังการ ซึ่งจะต้องใช้ทุนสูง+ใช้วิวิทยาการขั้นสูง+และทรัพยากรที่สูงมากกกก แน่นอน ... แต่ ณ ตอนนี้ สำหรับโครงการ Space Colony ยังไม่มีกำหนดการชัดเจนใดๆออกมา ด้วยโครงการอยู่ในระดับการริเริ่มไอเดียเท่านั้น และทั้งยังต้องทำการศึกษาวิจัยอีกมาก เพื่อหาทางสร้างให้เป็นไปได้จริงในอนาคต ...
ปล. แต่ที่แน่ๆ มีอีกโครงการของ Jeff Bezos ที่เขาประกาศเปิดตัวไปแล้วล่าสุด อันจะเป็นจริงก่อนโครงการ Space Colony ก็คือ โครงการ "ยานอวกาศ BlueMoon" ... ซึ่งจะพามนุษย์ไปดวงจันทร์ มีกำหนดการณ์จะทำให้สำเร็จ ภายในปี 2024 ... จุดเด่นพิเศษสำหรับ ยานBlueMoonนี้ จัดว่าเป็นยานขนาดค่อนข้างใหญ่กว่าที่เคยมีมา อันจะสามารถบรรจุสิ่งของสัมภาระได้ถึงประมาณกว่า 3 ตัน เลยทีเดียว ทั้งนี้เป้าหมายหลัก ก็เพื่อปูทาง-ต่อยอดไปสู่ การสร้างนิคมบนดวงจันทร์ ยันอาณานิคมอวกาศ ต่อๆไปด้วยนั่นเอง ... ติดตามกันต่อไป

วันเสาร์ที่ 6 เมษายน พ.ศ. 2562

The Matrix 20thAnniversary

2019 ... The Matrix (1999) ครบรอบ 20ปี!

สำหรับ The Matrix ก็ต้องจัดว่า เป็นอีกสุดยอดหนังไซไฟ ที่นอกจากแอคชั่นล้ำๆมันส์ๆแล้ว ที่สำคัญยิ่งกว่านั้นก็คือ การเปิดขมองท่านผู้ชม ได้อย่างล้ำลึก ด้วยสื่อนัยยะท้าทายให้ขบคิด/ตีความกันได้ในหลากหลายมิติเหลือเกิน ... ไม่ว่าจะ มิติทางเทคโนโลยี/A.I.ปัญญาประดิษฐ์, มิติทางระบบสังคม/การปกครอง/ระบบเศรษฐกิจ, ยันมิติทางด้านความเชื่อ/ศาสนา/ปรัชญา/ชีวิต/จิตวิญญาณ/อัตตา/ตัวตน ฯ ล ฯ --- และยิ่งในยุคภาวะปัจจุบัน กับสัญญาณการเข้ามีอิทธิพลยิ่งๆขึ้นทุกทีของ A.I. มันยิ่งทำให้มนุษยชาติเรา ยิ่งต้องตระหนังเฝ้าระวังว่า มันอาจจะลงเอยทำนองใน The Matrix

(( ปล. แนะนำ รำลึกตำนาน/เกร็ด The Matrix ที่เว็บ http://www.matrix.siligon.com ))

=======================================

The Matrix is everywhere. It is all around us. Even now, in this very room. You can see it when you look out your window or when you turn on your television. You can feel it when you go to work... when you go to church... when you pay your taxes. It is the world that has been pulled over your eyes to blind you from the truth. That you are a slave, Neo. Like everyone else you were born into bondage. Into a prison that you cannot taste or see or touch. A prison for your mind"


"เมทริกซ์มีอยู่ทุกหนทุกแห่ง มันอยู่รอบๆตัวเรา รวมถึงตอนนี้ มันอยู่ในห้องๆนี้ คุณมองเห็นมันเมื่อคุณมองออกไปทางหน้าต่าง มองเห็นมันเมื่อคุณเปิดโทรทัศน์ คุณรู้สึกได้ตอนคุณไปทำงาน...ตอนคุณไปที่โบสถ์...ตอนคุณจ่ายภาษี มันคือโลกที่ฉุดรั้งคุณไว้ให้มืดบอดจากความเป็นจริง ที่ที่เราเป็นทาส เหมือนกับทุกๆคนที่เกิดมาถูกจองจำ ถูกขังไว้ในคุกที่ไม่สามารถลิ้มรส มองเห็น หรือสัมผัส เป็นคุกแห่งจิตใจ"...มอร์เฟียส กล่าวกับ นีโอ

--  The Matrix 20thAnniversary  --

วันจันทร์ที่ 14 มกราคม พ.ศ. 2562

โรงงานไข่ไก่ ระบบเครื่องจักรหุ่นยนต์

นี่คือตัวอย่าง โรงงานผลิตไข่ไก่ ที่ใช้ระบบเครื่องจักรหุ่นยนต์เทบทั้งหมด
*หุ่นยนต์ ทำงานได้ตลอด แทบไม่ต้องหยุด ไม่บ่น  ไม่ประท้วง ไม่เรียกร้องเพิ่มค่าแรงโบนัส ฯลฯ 

 

วันพุธที่ 24 ตุลาคม พ.ศ. 2561

Altered Carbon ย้ายจิต-ร่างโคลน-ชีวิตอมตะ!

Altered Carbon (2018-...) อีกซีรี่ย์ไซไฟ Dystopia ผสม Cyberpunk ที่ให้ไอเดียฉากโลกอนาคต ยุคที่วิทยาการ/เทคโนฯก้าวล้ำ ระดับที่สามารถ แบคอัพจิตสำนึก-ตัวตน-ความทรงจำ และย้ายจิต! ไปสู่ร่างคนอื่น หรือร่างClone ที่สร้างขึ้นมาใหม่ (ยันร่างสัตว์!) ได้ ... (และยังสื่อว่า เป็นยุคที่มนุษยชาติกระจายตัวไปตั้งหลักใช้ชีวิตอยู่ ณ ดาวดวงอื่นๆได้แล้ว)


... นอกจากนี้ ยังมีตัวละครที่เป็น A.I. หรือ ปัญญาประดิษฐ์ (อันได้กลายเป็นอีกระบบชีวิตหนึ่งไปแล้ว) ได้เข้ามามีบทบาทปะปนในชีวิตประจำวันของมนุษย์เราในแทบทุกมิติ ผนวกทั้งการเชื่อมโยง/บูรณาการกับเทคโนฯล้ำๆเกี่ยวเนื่องอื่นๆอีกมากมาย อาทิ VR หรือ โลกเสมือน - AR - โฮโลแกรม3D ฯลฯ ... กระนั้นในท้องเรื่อง สังคมก็ยังคงอยู่ภายใต้ระบบ ทุนนิยม/ตัวเลขเงินตรา ซึ่งสะท้อนนัยยะความเหลื่อมล้ำทางชนชั้น ยังคงมีคู่โลกต่อไป(*และรุนแรงยิ่งๆขึ้น) และยังสะท้อนว่า แม้เทคโนฯภายนอกจะพัฒนาล้ำเลิศแค่ไหนก็ตาม แต่ความเป็นมนุษย์ ปมภาวะจิตใจ-อารมณ์-สัญชาตญาณ(ดิบ)ต่างๆ จะยังคงเดิมไม่เปลี่ยนแปลง +นัยยะทางสังคมปลีกย่อยอื่นๆอีกมากมาย ฯลฯ ... ก็จัดเป็นอีกซีรี่ย์ไซไฟ ที่เข้มข้น น่าติดตามครับ

--- ตอนนี้ season 1 (2018) จบไปแล้ว รอ season 2 ปีหน้า(2019)ต่อไปครับ

วันอาทิตย์ที่ 2 กันยายน พ.ศ. 2561

ข่าวว่าหนังชีรี่ย์ #TheFoundation หรือ #สถาบันสถาปนา โดย #Apple นี้ จะมี 10 episode ด้วยกัน ส่วนกำหนดฉาย ยังไม่คอนเฟิร์ม ... งานนี้ได้ David Goyer (The Dark Knight Trilogy) ร่วม Josh Friedman (Avatar 2) มาเขียนบท

ก็ถือเป็นอีกซีรี่ย์ที่น่าจับตารอคอย

=======================================
* เครดิตข่าวเพิ่มเติม https://deadline.com/…/foundation-apple-gives-series-order…/)

-- Isaac Asimov ผู้แต่ง The Foundation --

* สังเขปโครงเรื่องนวนิยาย สถาบันสถาปนา
ดร.ฮาริ เซลดอน นักคณิตศาสตร์/นักจิตวิทยา/นักอนาคตประวัติศาสตร์ (pscychohistory)ได้สังเกตเห็นตัวแปรต่างๆในจักรวรรดิอวกาศ มีแนวโน้มที่จะเกิดวิกฤติ-การเสื่อมโทรมลง อันจะลงเอยเป็น ยุคเสื่อมโทรมอนารยะ หรือยุคแห่งความทุกข์ยาก คำนวณได้ว่ายุคเสื่อมนี้จะกินเวลายาวนานถึงประมาณ 30,000 ปี กว่าจะกลับมาค่อยๆฟื้นฟูให้รุ่งเรื่องได้อีกครั้ง
เมื่อประเมินตัวแปรต่างๆแล้ว ความเสื่อมทั้งหลายที่จะเกิด จะไม่สามารถป้องกันหรือแก้ไขอะไรได้ ที่จะทำได้ทางเดียว คือการเยียวยา ด้วยการ ย่นลด ให้ช่วงเวลาแห่งความเสื่อมโทรมนั้น กินเวลาสั้นลง จาก 30,000 เหลือประมาณ 1,000 ปี จึงได้ก่อตั้ง สถาบันสถาปนาขึ้น(อันเป็นที่รวบรวมคลังภูมิปัญญามนุษยชาติ) ... ระหว่างนั้นจึงได้เกิดเป็นเรื่องราวยืดยาว และสะท้อนนัยยะมากมาย เชิง นวัตกรรม เทคโนโลยี เอเลี่ยน ทั้งปรัชญา ศาสนา เศรษฐศาสตร์ การเมือง สงคราม ฯลฯ ...
-- The Foundation Trilogy เดิม --

* ปล. The Foundation หรือ สถาบันสถาปนา ดั้งเดิมนั้นมีเพียง 3 เล่มจบเป็น Trilogy ... แต่ภายหลังก็ถูกขยายยาวเป็น 10 เล่มจบ (*นานแล้วเคยมี แปลไทย ครบชุด 10 เล่ม ) ... ถูงยกย่องเป็นไซไฟคลาสสิกขึ้นหึ้ง ก็ถือเป็นระดับคัมภีร์ไบเบิ้ลแห่งวงการไซ-ไฟ (คู่กับนิยายอีกชุด A Space Odyssey ของ Arthur C. Clarke 4 เล่มจบ )
* ปล.2 ก่อนหน้านานแล้ว(2014) ก็เคยมีข่าวจะสร้างโดย HBO ... แต่เหมือนจะเงียบๆไป ? >> ข่าวเก่าที่ https://www.thewrap.com/interstellars-jonah-nolan-developi…/

วันศุกร์ที่ 5 พฤษภาคม พ.ศ. 2560

Claudia Mitchell เธอคือ Cyborg


ในคลิป เธอคือ #Cyborg! ตัวเป็นๆ เธอมีนามว่า "Claudia Mitchell" กับเทคโนฯ #BionicArm ที่ช่วยให้เธอมีแขนใหม่อีกครั้ง แม้ขั้นที่ได้ในภาพอาจยังไม่ล้ำเท่าจินตนาการไซไฟในหนังนิยาย แต่เบื้องต้นก็นับว่าคุณูปการใหญ่หลวงแล้ว (บางด้านมันอาจทำอะไรได้ดีกว่าแขนตามธรรมชาติทั่วไปอีกต่างหาก) ... และกรณีเธอก็ยังเป็นเพียงเคสย่อยๆหนึ่งเท่านั้นยังมการวิจัยพัฒนายิ่งๆขึ้นอีกมากมายในทุกอวัยวะ ทั้งอวัยวะภายในและภายนอกร่างกาย ตา หู ตับ ไต หัวใจ ฯลฯ ... อนาคตจะพลิกโฉมชีวิต สังคม โลก ไปอย่างไรนั้น ยากจะคาดเดา ลุ้นระทึก
Cr. แฟนเพจ สนทนาไซ-ไฟ



วันพฤหัสบดีที่ 14 เมษายน พ.ศ. 2559

วิวัฒนาการ/ความเคลื่อนไหว การวิจัยพัฒนา หุ่นยนต์!

ในคลิปนี้ไม่ใช่หนังไซไฟหุ่นยนต์  แต่คือการรวมรวบ วิวัฒนาการ/ความเคลื่อนไหว หุ่นยนต์รุ่นเด่นๆต่างๆ ขององค์กร/บริษัทชั้นนำต่างๆ ที่อยู่ระหว่างวิจัยพัฒนา ณ ขณะนี้



ดูคลิปแล้ว ถึงแง่หนึ่งจะนึกถึงอรรถประโยชน์มากมายตื่นตาตื่นใจ ในระดับพลิกโฉมวิถีชีวิตสังคมมนุษย์เราในอนาคตอันใกล้ ... (แต่ด้านหนึ่งก็อดนึกไม่ได้ แอบได้กลิ่น เค้าลางการสูญพันธุ์! มนุษยชาติในอนาคต แบบในหนัง +_+)

บรรยกาศฉากในคลิป ที่ปล่อยออกมานี้ ก็คงเป็นแค่บางมุมที่เปิดเผยออกสื่อ ... แต่จะมีมุมอื่นๆเก็บลับหรือไม่ ? ว่าแท้จริงพัฒนากันไปถึงระดับไหนแล้วแน่นั้น ? (อาจไปไกลกว่านั้นมากแล้ว ?) ... ก็คงไม่มีใครรู้ (ถ้าไม่ใช่คนวงในจริงๆ) 


แต่ยังไงแล้ว อีกไม่นาน หุ่นยนต์คงเข้ามามีบทบาทในสังคม-ชีวิตมนุษย์เราอย่างแพร่หลายในหลายๆฐานะ อย่างเลี่ยงไม่ได้แน่นอน เราก็ย่อมได้พบกับผลกระทบทั้งแง่ดีและร้ายที่จะตามมา จับตาดู เตรียบรับมือต่อไป

... มันอาจมาเร็ว กว่าที่คิดไว้ ?

วันพฤหัสบดีที่ 7 เมษายน พ.ศ. 2559

ได้เวลาบอกลาโลกจริง Sex Suit‬ ระบบ VR


Sex Suit‬ ระบบ VR ไม่ใช่แค่อยู่ในขั้นไอเดีย แต่ผลิตออกมาวางจำหน่ายใช้งานจริงแล้ว ตามคลิป ( ณ ตอนนี้ขายเฉพาะญี่ปุ่น ได้ข่าวสนนราคาหมื่นต้นๆ และขายหมดอย่างรวดเร็ว ) 


เครดิตข้อมูล https://www.rt.com/viral/338662-virtual-reality-sex-suit/

เรียกนวัตกรรมนี้ว่า Illusion VR ( แว่นVRปกติ + ชุด/อุปกรณ์สัมผัสเสริมสมทบ)...ซึ่งก็ไม่เฉพาะ sex แต่ประยุกต์อื่นๆก็ได้หมดนะคับ เกม, สินค้า, ซอร์ฟแวร์, หนัง ฯลฯ ) ... /// คาดว่านวัตกรรม VR (Virtual reality หรือ โลกเสมือนจริงนี้) ...อนาคตอันใกล้ จะผลิตออกมารูปแบบต่างๆสำหรับวงการต่างๆอีกมากมาย และจะสมจริงยิ่งๆขึ้นไป กับขนาดที่เล็กลงเรือยๆ ? มันย่อมเป็นเทคโนฯพลิกโลกกระทบวิถีชีวิต-สังคม(ทั้งดีและร้าย!) อย่างเลี่ยงไม่ได้ เตรียมรับมือต่อไป

ปล. แอบคิดว่า แล้วจะเป็นอย่างไร ... ถ้าแว่น VR พัฒนากลายเป็นทำนอง คอนแทคเลนส์!ใส่ลูกตาเลย + อันมีเมมโมรีบรรจุสื่อ-วิดิโอ ฯลฯ ระบบ VR ฝังในตัว + อาจชาร์ตแบตโดยความร้อนร่างกายมนุษย์ในตัว ! (การได้ตลอด 24 ชม.)  

ตัวอย่าง ความเคลือนไหว โปรเจค VR อื่นๆ



วันศุกร์ที่ 17 สิงหาคม พ.ศ. 2555

สนทนาไซ-ไฟ



แนะนำเว็บไซต์ Sci-Fi สนทนาไซ-ไฟ(+แฟนเพจ)
เชิญเข้าไปชมที่ : http://www.scifi.siligon.com/


"จินตนาการ สำคัญกว่าความรู้" อัลเบิร์ต ไอสไตน์ กล่าว...เป็นประโยคที่คุ้นเคยกันดีและยังคงเป็นอมตะ ถ้ามนุษย์ขาดจินตนาการหรือความคิดสร้างสรรค์ มนุษย์ก็คงเป็นเพียงสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมธรรมดาๆทั่วๆไป ไม่สามารถพัฒนาเป็นอารยธรรมล้ำสมัย-ยิ่งใหญ่กว่าสิ่งมีชีวิตสปีชีย์อื่นๆของโลกได้ ความจริงข้อนี้เป็นที่ประจักษ์อยู่แล้วในยุคปัจจุบัน และถ้าสังเกต จินตนาการในเชิง ไซ-ไฟ นี่แหละที่เป็นจินตนาการอันทรงอิทธิพลใหญ่หลวงต่อความเป็นอยู่ของมนุษยชาติ ทั้งในแง่การเกิดขึ้นของเทคโนโลยี-นวัตกรรมใหม่ๆ มุมมองตรรกะวิธีคิด พื้นฐานความเชื่อเรื่องความสัมพันธ์ของชีวิต-โลก-จักรวาล หรือแม้แต่ถ้าหากจะเป็นแค่เพียงความบันเทิง สื่อที่มาในแนว ไซ-ไฟ ก็ดูจะเหมือนจะให้ความตื่นตาตื่นใจ ทั้งกระตุ้นต่อมความคิดจินตนาการต่อผู้เสพได้ค่อนข้างรุนแรง! โดยเฉพาะจากภาพยนตร์ไซ-ไฟ
.......................................................

ทัศนะการนิยาม "ไซ-ไฟ" ของผู้ทรงคุณวุฒิ

"ไอแซก อาซิมอฟ" ผู้ได้รับการยกย่องให้เป็นบิดาแห่งนิยายวิทยาศาสตร์ได้ให้คำนิยามของนิยายไซไฟไว้ว่า... "นิยายวิทยาศาสตร์ มีสามแบบคือ หนึ่งอะไรจะเกิดขึ้น...ถ้า... สองเพียงแต่....ถ้า และ สาม ถ้าสิ่งนี้เกิดขึ้นต่อๆไป"...+_+

"อาร์เธอ ซี คลาร์ก" บิดาแห่งนิยายวิทยาศาสตร์ อีกท่านหนึ่ง ได้เคยให้นิยามไว้ "นิยายวิทยาศาสตร์ หมายถึงงานวรรณกรรมที่สะท้อนพฤติกรรมของมนุษย์ในบริบทแห่งวัฒนธรรมของสังคมแห่งตนภายใต้อิทธิพลของพัฒนาการทางด้านวิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยี"

"โรเบิร์ต เอ ไฮน์ไลน์" นักเขียนนิยายวิทยาศาสตร์รุ่นลายครามของสหรัฐ ได้ให้คำนิยามของนิยายวิทยาศาสตร์ว่า "นิยายวิทยาศาสตร์ เป็นเรื่องของการคาดคะเนเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นในอนาคตโดยอาศัยความรู้ของโลกปัจจุบันและอดีต และโดยอาศัยความเข้าใจอย่างลึกซึ้งในธรรมชาติ และความสำคัญของระเบียบวิธีทางวิทยาศาสตร์ (การสังเกต การตั้งสมมติฐาน การทดสอบสมมติฐาน และการสรุปผล)

"เฟรดเดอริก โพห์ล" นักเขียนนิยายวิทยาศาสตร์นามกระเดื่องผู้หนึ่งได้ให้คำจำกัดความของนิยายวิทยาศาสตร์ว่า "นิยายวิทยาศาสตร์เป็นนิยายที่ แสดงถึงผลที่ตามมา เป็นเครื่องมือสำคัญสำหรับการศึกษา ผลกระทบจากการกระทำและสิ่งประดิษฐ์ของมนุษย์"

*ถ้าจะสรุปให้เข้าใจสั้นๆเข้าใจง่ายๆที่สุดก็คือ นวนิยาย-ภาพยนตร์-หนังสือการ์ตูน หรือสื่อบันเทิงคดีอื่นๆ ถ้าหากโครงเรื่องโดยรวมมีการจินตนาการถึงองค์ประกอบหลักอย่างใดอย่างหนึ่ง ได้แก่

1. มีสิ่งประดิษฐ์-อุปกรณ์เทคโนโลยีไฮเทค, หุ่นยนต์ ฯลฯ รวมทั้งผลกระทบของมัน(อันมักว่าด้วยโลก-เมืองในอนาคต)

2. มีมนุษย์ต่างดาว, สิ่งมีชีวิตประหลาดนอกโลก, หรือแม้แต่สิ่งมีชีวิตพิเศษในโลก(ที่เกิดจากกระบวนการพิเศษทางวิทยาศาสตร์)

3. มีเดินทางออกนอกโลก-การท่องสำรวจอวกาศ ไปยังต่างดาวอื่นๆ, หรือแม้การเดินทางผ่านกาลเวลา ย้อนอดีต-ท่องอนาคต

ถ้ามีอย่างใดอย่างหนึ่งในสามอย่างนี้ ก็พอจะเรียกได้ว่าเป็น ไซ-ไฟ ได้แล้ว และแน่นอนว่าในโลกยุคใหม่ปัจจุบัน อันมักเรียกกันว่า ยุคโพสต์โมเดิร์น(Post-Modern) เป็นยุคแห่งความหลากหลาย ไซ-ไฟ สามารถจัดเป็นประเภทลูกผสม(Hybrid) ได้มากมายไม่ว่าจะเป็น Sci-fi Action, Sci-fi Thriller, Sci-fi Horror, Sci-fi Drama, Sci-fi Comedy ฯลฯ...สุดแท้แต่ผู้แต่งหรือผู้ชมจะตีความจัดให้เป็นประเภทไหน (*ในขณะเดียวกัน หนัง-นิยาย-บันเทิงคดีตระกูลอื่นๆ บางทีก็มีความเป็น ไซ-ไฟ เจือปนอยู่ด้วยบ้างเช่นกัน แต่อาจเป็นเพียงส่วนเสริมเล็กๆน้อยๆ หรือมากพอสมควรก็แล้วแต่)



วันจันทร์ที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2555

Metropolis - หนังไซไฟ ตอนที่ 3 (จบ)


- ชม Metropilis ฉบับเต็ม -



จากคำถามที่ค้างไว้ตอนที่แล้ว ในตอนที่ 2 (Metropolis - หนังไซไฟ" ตอนที่ 2  คลิกที่นี่ )...

...เป็นคำถามที่น่าสนใจถามทิ้งไว้ในยุคนั้น แม้ปัจจุบันจะยังไม่ถึงปี 2063 (ตามเหตุการณ์ในท้องเรื่อง) เหลืออีกหลายปี แต่ก็คงพอมองออกถึงคำตอบทั้งสามข้อได้อย่างเป็นรูปธรรม และแม้ว่าสำหรับ กรุงเทพฯ หรือเมืองใหญ่จังหวัดต่างๆของประเทศไทยเรา...จะไม่ใช่เมืองใหญ่ๆในโลก แต่ในสภาพบ้านเมืองที่ทันยุคสมัยของกรุงเทพฯ ทั้งสาธารณูปโภค, การจราจร ,ความหนาแน่นของประชากร, ความเจริญในเมืองต่างๆ พร้อมทั้งคำว่า Bangkok Metropolis ก็อยู่ในความหมายของ กรุงเทพมหานคร หรือ มหานครกรุงเทพ ได้นั้น หรือดั่งคำที่ว่า มองละคร แล้วย้อนดูตัวก็ได้เช่นกัน ดังนั้นจะเห็นได้ว่า สามารถหาคำตอบทั้งสามข้อข้างต้นเทียบกับ Metropolis เป็นกรุงเทพมหานครได้ ดังนี้

จากคำถามข้อ 1 ว่า...จะควบคุมเทคโนโลยีได้หรือไม่? ถ้าลองยกตัวอย่างเช่น เทคโนโลยีของโทรศัพท์มือถือในปัจจุบัน ซึ่งถือว่าเป็นสิ่งสำคัญของคนเมือง แต่ทำไมพอมีมือถือรุ่นใหม่กว่า ออฟชั่นแปลกใหม่ ลูกเล่นแพรวพราว แล้วผู้คนยังต้องตามหามาครอบครองทั้งๆที่อันเก่าที่มีอยู่ก็ยังใช้ได้ เป็นการใช้จ่ายเพื่อเปลี่ยนตามเทคโนโลยีไป อย่างนี้ไม่รู้ว่าเราควบคุมเทคโนโลยี หรือ เทคโนโลยีควบคุมเรากันแน่...  ที่ทำให้มนุษย์เราต้องมีพฤติกรรมคอยตามตลอดเวลา นี่ยังไม่นับสิ่งที่กำลังถือว่าคนเมืองต้องมีอีกมาก เช่น คอมพิวเตอร์-โน๊ตบุ๊ค, แท็บเล็ต, รถยนต์ ฯลฯ

จากคำถามข้อ 2...เทคโนโลยีเปลี่ยนสภาพแวดล้อมการใช้ชีวิตไหม? ปัจจุบันในเมืองใหญ่ มนุษย์เงินเดือน-ผู้ใช้แรงงาน, คนทำงาน ฯลฯ ต้องตื่นแต่เช้าตรู่ไปทำงานติดอยู่ในรถ พักเที่ยง ทำงานบ่ายถึงเย็น แล้วเดินทางกลับบ้านติดอยู่บนรถอีก กว่าจะถึงบ้านก็ดึก เป็นซ้ำอย่างนี้ทั้งสัปดาห์ วันหยุดก็แห่กันไปเที่ยวรถก็ติดอีก เพียงแต่ย้ายที่รถติดเท่านั้น  กลับมาเริ่มทำงานสัปดาห์ใหม่ก็เหมือนเดิมอีกคล้ายๆกับถูกโปรแกรมไว้ เหมือนอะไรที่ถูกควบคุมอยู่ นอกจากนี้สภาพแวดล้อม ทั้งน้ำเสีย, อากาศเป็นพิษ, ขยะล้นเมือง ที่มีผลต่อคุณภาพชีวิตของผู้คนในเมือง อันเนื่องมาจากการอพยพเข้าเมืองใหญ่ๆ พร้อมกับเกิดการสร้างอาคารที่สูงๆ อยู่กันแบบหนาแน่น, การจราจรที่แออัด, ทางด่วนมหึมาทอดยาวมาบดบังแสงแดดเป็นระยะ ทำให้มหานครแห่งนี้ช่างสับสัน  จับต้นชนปลายไม่ถูก จะถือว่าเทคโนโลยีทำให้สภาพแวดล้อมเปลี่ยนไปไหม?

จากคำถามข้อ 3 ความเป็นมนุษย์ลดลงหรือไม่?  และหุ่นยนต์จะมาแทนที่มนุษย์หรือเปล่า? คงเคยได้ยินข่าวประจำวัน จำพวกเกี่ยวกับบ้านเล็กบ้านน้อยที่ว่า “รวมกันเราอยู่ ทิ้งกูมึงตาย” หรือข่าววัยรุ่นกับเรื่องเพศว่า”จิ๋มของหนู จุ๊ดจู๋ของผม” หรือการที่นักเรียนยกพวกตีกันเพราะหัวเข็มขัดไม่เหมือนกัน หรือโจรปล้นมือถือตามสะพานลอย หรือล่าสุด กับข่าวหนูน้อยเอเปค ที่มีสถิติที่น่าสนใจว่า ตั้งแต่ตุลาคม 2545 ถึง พฤษาคม 2546 มีเด็กถูกทอดทิ้งในสถานสงเคราะห์เด็กอ่อนพญาไท 141 คนเฉลี่ย เดือนละ 20 คน เทียบกับสถานสงเคราะห์เด็กอ่อนทั่วประเทศ พบว่ามีเด็กวัย 1 ถึง 6 ขวบถูกทิ้ง เฉลี่ยปีละ 500 คน หรือเดือนละ 40 คน  แสดงว่าเฉพาะกรุงเทพฯ ก็ทอดทิ้งเด็กครึ่งหนึ่งของทั้งประเทศแล้วในแต่ละเดือน          แม้ใน Metropolis มีบทสรุปที่แสดงถึงว่า ความเป็นมนุษย์ถูกทำลายลงด้วยเทคโนโลยีที่มนุษย์สร้างขึ้นเอง  แล้วบทสรุปของมหานครกรุงเทพ-มหานครเมืองใหญ่ต่างๆ จะเป็นแบบไหนต่อไป ในเมื่อความเป็นมนุษย์ถูกบั่นทอน แต่หุ่นยนต์ เช่นไอโบ้ หุ่นยนต์สุนัข หรือ ไอซิโม้ หุ่นยนต์คล้ายมนุษย์ กับเริ่มพัฒนาทางความสามารถเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ต่อไปเราจะสามารถแยกกันออกหรือเปล่าว่า ใครเป็นมนุษย์?  ใครเป็นหุ่นยนต์?  

จากคำตอบทั้งสามข้อ การควบคุมการผลิตของเทคโนโลยี (หรือควบคุมพฤติกรรมมนุษย์), การทำให้เกิดเปลี่ยนแปลงสภาพชีวิตของผู้คน แทนที่จะมีเวลาให้กันและกันในครอบครัวกับต้องแยกขนาดเป็นครอบครัวเล็กลงตามสภาพเศรษฐกิจที่โยงไปเกี่ยวกับเทคโนโลยีอีกที คงเคยได้ยินคำว่า “โดดเด่นในหน้าที่   โดดเดี่ยวในครอบครัว” กัน และการที่เทคโนโลยีสามารถควบคุมสังคมทำให้ความเป็นมนุษย์ลดลง แต่หุ่นยนต์กลับมีส่วนคล้ายมนุษย์มากขึ้นในด้านความสามารถต่างๆ

ดังนั้นภาพยนตร์เรื่อง  Metropolis  ถึงแม้จะสร้างไว้กว่า 77 ปีมาแล้ว  กับมีมุมมองต่อความหวาดระแวงในการมาของหุ่นยนต์ต่างๆ หรือเป็นความหวาดหวั่นกับสิ่งอื่นที่ยังมาไม่ถึง...แต่ตอนนี้เราผู้ยืนอยู่เริ่มต้นของศตวรรษที่ 21 พอจะมองอนาคตของหุ่นยนต์บวกกับการมาของโลกยุคดิจิตอลในยุคถัดไปเร็วๆนี้ ว่าจะเตรียมรับมือกันอย่างไรกันดี...น่าคิดนะ

 นี่คือ "David" (จาก ภาพยนตร์ Prometheus 2012)...เขาคือ หุ่นยนต์! แอนดรอยด์(ภายนอกเหมือนคนทุกประการ) ที่มนุษยชาติใฝ่ฝันถึง...และมันคงเกิดขึ้นได้จริงอีกไม่นานนักในอนาคต ก็เป็นได้...
- จบ -

* Credit ขอขอบคุณ : ข้อมูลบางส่วนจากเอกสารแจกในงานเสวนา เรื่อง อิทธิพลของ Metropolis ต่อภาพยนตร์แนววิทยาศาสตร์ ของ Dr. Hans-Peter Rodenburg เมื่อ 22 ต.ค. 2546 และบทวิจารณ์หลังจากการเข้าชมภาพยนตร์ปิดเทศกาลหนัง World film festival of

Bangkok เรื่อง Metropolis เมื่อ 26 ต.ค. 2546


วันอาทิตย์ที่ 22 เมษายน พ.ศ. 2555

Metropolis - หนังไซไฟ ตอนที่ 2


* Metropolis - หนังไซไฟ ตอนที่ 1  คลิกที่นี่

Metropolis เป็นเรื่องของมหานครตึกระฟ้าในโลกอนาคตที่เจริญรุ่งเรืองทางด้านเทคโนโลยี มีทั้งถนนทางด่วนพาดผ่านกลางตัวเมืองหลายชั้น มีรางรถไฟฟ้า และเครื่องบินที่สามารถจอดลงบนหลังคาตึกอาคารสูงๆได้ แต่ก็มีการแบ่งชนชั้นกันของสองกลุ่มระหว่างกลุ่มชนชั้นส่วนใหญ่ที่เป็นทาสทำงานอยู่กับเครื่องจักรกลใต้ดิน กับพวกชนชั้นที่สูงกว่าผู้คอยเสวยสุขกับสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ โดยมีผู้นำจอมเผด็จการชื่อ  "John Fredersen" ที่กำลังหาทางกำจัดกลุ่มทาสที่รวมตัวกันต่อต้าน และมี  "Maria"  แม่พระคนสวยของเหล่าทาสเป็นผู้นำ

- Metropolis 1926 : สร้างหุ่น "Maria" -

แต่แล้วเรื่องถึงจุดหักเหเมื่อ "Freder" ลูกชายของ John Fredersen  กลับพบรักกับ Maria แล้วไปพบความไม่ยุติธรรมกับคนงานใต้ดินจึงขอร้องให้พ่อจอมเผด็จการของเขาช่วยแก้ไขกรณีนี้ให้...ซึ่งกลับทำให้ John Fredersen  เร่งร่วมมือกับ นักวิทยาศาสตร์สติเฟื่อง "Rotwang" สร้างหุ่นยนต์สาวให้เหมือน Maria  แล้วปลอมตัวไปยุยงคนงานใต้ดินให้ก่อความรุนแรงวุ่นวายขึ้น เพื่อเป็นข้ออ้างในการกำจัดชนชั้นแรงงานทาสให้สิ้นซากต่อไป แต่ท้ายสุดหนังจบลงแบบแฮปปี้เอนดิ้ง เมื่อทุกฝ่ายเข้าใจกัน พร้อมฝากข้อคิดว่า “หัวใจ คือ ตัวกลางระหว่างสมองและแรงงาน”  และภาพยนตร์ยังแฝงถึงความหวาดหวั่นต่อการมาของหุ่นยนต์ หรือผลของเทคโนโลยีต่อชีวิตมนุษย์ด้วย

แม้เนื้อเรื่องจะออกดูคล้ายนวนิยายเก่าๆของค่ายหนังดังหลายค่ายนิยมสร้างออกมาให้ดูกัน ประมาณเรื่องของชายผู้สูงศักดิ์หลงรักหญิงผู้ยากไร้ มีอุปสรรคมาขวางกั้น แต่ก็กลับจบแบบสุดแฮปปี้ แต่สิ่งที่ทำให้ Metropolis ถูกเล่าขานไม่รู้จบ คือ ฉากของเมืองในอนาคต ที่อยู่ในอุดมคติอัดสะท้อนถึงความไม่แน่นอนของอนาคต

ภาพยนตร์เรื่องนี้ใช้ผู้แสดงประกอบถึง 36,000 คน ความโดดเด่นในฉากเมืองนี้ทำให้เกิดการจัดแสงแบบ Dark city (คือเมืองโทนมืดแฝงไปด้วยภัยพิบัติ) ทำนอง ฉากเมืองแห่งอนาคตในภาพยนตร์ Blade Runner (1982) และ จุดเด่นของการปรากฎตัวของหุ่นยนต์สาว ซึ่งในสมัยนั้นถือเป็นเรื่องใหม่มาก การเคลื่อนไหวที่คล้ายผู้คนทำให้เป็นต้นแบบให้กับหนังหุ่นยนต์ในยุคหลัง  เช่น หุ่นยนต์ C3-PO, ใน Star wars (1977) และล่าสุดก็มี หุ่นยนต์สาว T-X ใน Terminator 3 : Rise of the machines นับได้ว่าการสร้างหุ่นยนต์  และฉากบ้านเมืองในอนาคตของ Metropolis นี้  ได้กลายเป็นตำนานเป็นแบบอย่างที่สำคัญหนังไซไฟยุคต่อๆมาเลยทีเดียว

คำ Metropolis แปลว่า มหานคร หนังออกฉายในปี 1926 เป็นช่วงหลังการแพ้สงครามโลกของเยอรมัน  พร้อมเกิดการเปลี่ยนแปลงการปกครองเป็นสาธารณรัฐ บรรดาศิลปินจึงแสดงผลงานในรูปต่างๆ ซึ่งมีผลต่อหนังอันถือเป็นจุดยืนในการแสดงออกทางการเมือง โดยได้ตั้งคำถามที่ท้าทายสำหรับยุคสมัยนั้น(และยังคงเป็นคำถามมาถึงยุคปัจจุบัน) ไว้สามข้อคือ...

1. เราจะไว้ใจว่าวิทยาศาสตร์สมัยใหม่จะสามารถควบคุมผลผลิตทางเทคโนโลยีของมันเองได้อย่างไร?
2. เทคโนโลยีจะเปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อมของการใช้ชีวิตอย่างไร?

3. เทคโนโลยีจะเข้ามาควบคุมสังคมในขณะที่ความเป็นมนุษย์จะลดลงเรื่อยๆหรือไม่?  หุ่นยนตร์จะมีศักยภาพถึงขึ้นมาแทนมนุษย์ได้หรือไม่?...


"Metropolis - หนังไซไฟ" ตอนต่อไป ตอนที่ 3 (จบ)  คลิกที่นี่ 

* Credit ขอขอบคุณ : ข้อมูลบางส่วนจากเอกสารแจกในงานเสวนา เรื่อง อิทธิพลของ Metropolis ต่อภาพยนตร์แนววิทยาศาสตร์ ของ Dr. Hans-Peter Rodenburg เมื่อ 22 ต.ค. 2546 และบทวิจารณ์หลังจากการเข้าชมภาพยนตร์ปิดเทศกาลหนัง World film festival of
Bangkok เรื่อง Metropolis เมื่อ 26 ต.ค. 2546

วันศุกร์ที่ 6 เมษายน พ.ศ. 2555

Metropolis - หนังไซไฟ ตอนที่ 1


* จะเห็นว่าตอนนี้ Blog มี Link แนะนำด้านข้าง เป็นเว็บมหากาพย์หนังSci-fi ยอดนิยมถึง 5 เว็บ! แล้วด้วยกัน...แต่ละเรื่องคงจะเป็นที่รู้จัก-คุ้นๆกันดี และแต่ละเรื่องก็เป็นหนังไซไฟในตำนานที่ยังคงล้ำสมัย -ล้ำจินตนาการ ยังคงเป็นที่กล่าวขวัญถึง บวกให้แรงบันดาลใจกับผู้คนทั่วโลกจนถึงทุกวัน...ก็ลองเข้าไปเยี่ยมชมกันนะครับ รับรองไม่ผิดหวัง :)...

...
ส่วนตัวรู้สึกว่าทุกวันนี้ เทคโนโลยี-นวัตกรรม(โดยเฉพาะ IT)ใหม่ๆ รวมไปถึงกระแสหุ่นยนต์-จักรกล ทำนองหนังไซไฟ เริ่มจะเข้ามามีบทบาท(จนถึงคุกคาม!)กับชีวิตจริงประจำวันของมนุษย์เรามากขึ้น ทุกที ทุกที! แล้วซินะ...โลกอาจพลิกโฉมในไม่ช้านี้ก็เป็นได้!...

...พูดถึงหนังไซไฟ แล้วจึงอยากจัดข้อมูลดีๆมาลง Blog อันเกี่ยวกับหนังประเภทนี้กันซะหน่อย โดยจะเน้นหนังระดับต้นตระกูลไซไฟในตำนานอย่าง "Metropolis" เป็นพิเศษ ถึงแม้จะเป็นหนังเก่ากึ๊กรุ่นปู่ แต่มันไม่ธรรมดาเลย!...


คำว่า ภาพยนตร์นิยายวิทยาศาสตร์ (Science Fiction Movies) หรือ หนังไซไฟ ( Sci-fi)  ได้เริ่มใช้ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1923  โดยหนังมีลักษณะเด่นที่สามารถสังเกตได้จากองค์ประกอบหลายอย่าง  คือ ลักษณะของตัวละคร เป็นมนุษย์ในอวกาศ, ฉากเหตุการณ์เป็นช่วงเวลาในอนาคต, สถานที่ในอวกาศ, แบบแผนโครงเรื่องมักขับไล่สัตว์ร้าย, แก่นเรื่องเป็นชัยชนะของมนุษยชาติ  และอื่นๆ เช่น มีชุดพร้อมเทคโนโลยี, ปืนมีลำแสง, ยานอวกาศ ฯลฯ

ทุกวันนี้เราจะเห็นหนังไซไฟในหลากหลายรูปแบบ   โดยมักจะไปรวมกับหนังแนวอื่นด้วย ทั้งแฟนตาซี (E.T. The Extra-Terrestrial ,1982), สยองขวัญ (Aliens, 1986), ผจญภัย(Back to the Future ,1985) และอื่นๆอีกมากมาย     แต่ถ้าเราย้อนกลับไปหารากเหง้า หรือต้นกำเนิดตระกูลของหนังประเภทนี้ ในแต่ละยุคสมัยแล้ว จะเห็นหนังไซไฟที่หลากหลาย ดังนี้

ปัจจุบันกับ ยุค Cyberspace-Social Network และความหลากหลาย เช่น The Matrix (1999), Jurassic Park (1993) , Terminator (2009) , Trenasformers (2011) , Battleship (2012) Prometheus (2012) ฯลฯ

ยุค 80’s กับการมาของหุ่นยนต์ เช่น Blade Runner (1982), Robocop (1987) ฯลฯ

ยุค 70’s กับ Star war (1977) และ Star Trek: The Motion Picture (1979) ฯลฯ

ยุค 60’s กับการสำรวจอวกาศ เช่น 2001: A Space Odyssey (1968), The Time Machine (1960) ฯลฯ

ยุค 50’s กับการบุกรุกของสงครามเย็นในรูปของมนุษย์ต่างดาว เช่น  Invasion U.S.A.(1952) ฯลฯ

ยุค 1935-1949 กับ Flash Gordon ที่มาจากการ์ตูนวิทยาศาสตร์ ฯลฯ

ยุค 1920-1934  กับยุคหลากหลาย ทั้ง สังคมที่ไม่พึงปรารถนา (Dystopia) เช่น Metropolis (1926), เทพนิยายในอนาคต (Space Opera) เช่น นิยายเรื่อง Skylark of space (1928 ) และหนังไซไฟสยองขวัญ เช่น Frankenstein (1931) ฉบับมูฟวี่ ฯลฯ

และ ยุค 1800-1919 กับการเริ่มต้นจากนิยายวิทยาศาสตร์เรื่อง Frankenstein  และภาพยนตร์เงียบของการเดินทางไปดวงจันทร์ยาว 14 นาที เรื่อง A Trip to the Moon (1902) ฯลฯ

ในบรรดาหนังที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นต้นแบบของหนังไซไฟที่ดีที่สุดตลอดกาล  จนถึงทุกวันนี้คือ ภาพยนตร์เรื่อง 2001 : A Space Odyssey (1968)  ของ "Stanley Kubrick"  ที่บอกเล่าเรื่องราวของโลกในอนาคตตามความเชื่อของผู้สร้างและนักวิทยาศาสตร์สมัยนั้น ที่ได้คาดการล่วงหน้าถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้นในปี ค.ศ. 2001 ได้ใกล้เคียงอย่างน่าประหลาดใจ     และถ้าย้อนไปก่อน 2001 : A Space Odyssey ก็ยังมี ภาพยนตร์ที่ได้รับการยกย่องว่า เป็นภาพยนตร์วิทยาศาสตร์คลาสสิกที่ดีสุดสมัยภาพยนตร์เงียบขาว-ดำ นั้นคือเรื่อง Metropolis (1926) หนังเชื้อสายเยอรมันของผู้กำกับชาวออสเตรีย "Fritz Long"  ที่สร้างฉากหลังเป็นเหตุการณ์ในปี 2063 ของอนาคตได้อย่างน่าทึ่ง...

"Metropolis - หนังไซไฟ" ตอนที่ 2 ต่อ  คลิกที่นี่ 

* Credit ขอขอบคุณ : ข้อมูลบางส่วนจากเอกสารแจกในงานเสวนา เรื่อง อิทธิพลของ Metropolis  ต่อภาพยนตร์แนววิทยาศาสตร์ ของ Dr. Hans-Peter Rodenburg เมื่อ 22 ต.ค. 2546 และบทวิจารณ์หลังจากการเข้าชมภาพยนตร์ปิดเทศกาลหนัง World film festival of

Bangkok   เรื่อง Metropolis  เมื่อ 26 ต.ค. 2546