วันพฤหัสบดีที่ 20 ตุลาคม พ.ศ. 2554

2554 ระทึก กทม. มหาอุทกภัย!


- อันนี้ ขำๆคลายเครียด (คนตัดต่อนี่ก็จริงๆ ให้ตายเหอะ :) -


..........................................................

อัพเดท : 8 พ.ย. เป็นต้นไป เข้ากรุงเทพชั้นใน!
คลิป
อธิบายภาพรวม แนวทางแก้ไข-สถานการณ์น้ำท่วม กทม. ณ ปัจจุบันขณะ
นี้ ระหว่าง 8 พ.ย. 54 เป็นต้นไป : รศ.ดร.เสรี ศุภราทิตย์ ให้สัมภาษณ์ผ่านสรยุทธ สุทัศนะจินดา เตือน 7 วัน น้ำล้นบิ๊กแบ็ค ทะลักอนุสาวรีย์ชัยฯ..."การวางบิ๊กแบ็คทางตอนบนของกรุงเทพฯ จะสามารถชะลอน้ำเข้าเขตกรุงเทพฯชั้่นในได้เพียง 7 วันเท่านั้น โดยหลังจากนั้นน้ำจะล้นบิ๊กแบ็คเข้ามาประมาณ100ลูกบาศก์เมตร/วินาที คาดว่าหลังจากนี้ 7 วันจะไปถึงอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ ราชเทวี"




กรุงเทพชั้นใน ใจกลางเมือง ลุ้นระทึก!... เตรียมรับมือ กำแพงกระสอบสูง!
- ภาพแสดงมวลน้ำมหึมา (พื้นที่สีฟ้า) ซึ่งได้ท่วมเข้ามาล้อมรอบกรุงเทพฯ เมื่อวันที่ 17 ต.ค. พ.ศ. 2554 (ภาพที่มีการเผยแพร่ทาง social media)...มหึมาขนาดนี้จะระบายไปไหนได้ ! ? -

................................................................................................

*ส่วน link ถัดจากนี้ เป็นข้อมูลอีกชุดใน Blog เกี่ยวข้องกรณีภาพรวม น้ำท่วม กทม.จมน้ำ -ภัยพิบัติ-โลกาวินาศ....ในอนาคต..คลิกดูรายละเอียด 21-12-12 กทม.จมน้ำ-วันสิ้นโลก?



วันพุธที่ 5 ตุลาคม พ.ศ. 2554

ไว้อาลัย สตีฟ จ็อบส์


ไว้อาลัย
:'( "สตีฟ จ็อบส์" แห่ง Apple
ด้วยจิตคารวะ


...........................................

ใน Blog นี้ได้มีการกล่าวถึง สตีฟ จ็อบส์ หลายหัวข้อ ย้อนไปดูได้ ตามนี้...
"จงหาสิ่งที่คุณรักให้เจอ" Steve Jobs : ผ่าความคิด Steve Jobs
และ ศิลปินผู้ยิ่งใหญ่ปล้น!!
...........................................

ส่วนในที่นี่ขอส่งท้ายไว้อาลัย สตีฟ จ็อบส์

ว่าด้วยตำนานอันลุ่มลึกของที่มา "โลโก้ Apple"

Original Logo ของ บริษัท Apple สร้างขึ้นในปี 1976 โดย "Ron Wayne" ซึ่งเป็นวิศวกรที่ทำงานร่วมกับสตีฟ จอปส์ที่ Atari ใต้แนวคิดที่ว่า ลูกแอปเปิ้ล เป็นสิ่งที่ทำให้ นิวตั้นค้นพบแรงโน้มถ่วงของโลก ซึ่ง ทำให้เกิด idea และสมมุติฐานทางวิทยาศาสตร์ใหม่ ๆ....Logo อันนี้ Wayne ดรออิ้งด้วยปากกาหมึกดำ เป็นรูปเซอร์ไอแซค นิวตันนั่งอยู่ใต้ต้นแอปเปิ้ล ตรงกรอบรอบรูปมีโคลงของ William Wordsworth ว่า "Newton....A mind forever voyaging through strange seas of though....alone" และชื่อ Apple computer อยู่

- ลูกแอปเปิ้ล เป็นสิ่งที่ทำให้ นิวตั้นค้นพบแรงโน้มถ่วงของโลก -
ในรุ่นที่ 2 "Rainbow Logo" ในเมษายน 1977 จอปส์ได้คุยกับ Rob Janov อาร์ตไดเรคเตอร์ของบริษัท Rigis McKena ให้ช่วยออกแบบโลโกใหม่ให้ Apple จานอฟเริ่มงานจากภาพเงาขาวดำของลูกแอปเปิ้ล แล้วก็ค่อยๆเพิ่มไอเดียเข้าไป "ผมเอาลูกแอปเปิ้ลมาทำเป็นฟอร์มง่ายๆก่อน แล้วก็เพิ่มรอยกัด-bite -ซึ่งอาจจะหมายถึง Byte ก็ได้ใช่ไหม? แล้วการใส่รอยกัดไปข้างๆก็ทำให้มันดูเป็นแอปเปิ้ลมากขึ้นแทนที่จะดูคล้ายเป็นเชอรี่หรือมะเขือเทศ" จานอฟ อธิบาย...หลังจากนั้นเขาก็ใส่แถบสีหกสี ที่ได้แรงบันดาลใจจากเครื่อง Apple II ในตอนนั้นที่เป็นเครื่องสำหรับ consumer รุ่นแรกที่แสดงผลเป็นสีได้ ตอนแรกเขาใส่เส้นดำบาง ๆ เข้าไประหว่างแถบด้วยเพื่อแก้ปัญหาเวลาสีเหลื่อมตอนพิมพ์ แต่จอปส์ไม่ชอบก็เลยตัดออกไปเป็นแถบสีเฉยๆ ช่วงนั้น Michel M. Scott ผู้อำนวยการบริษัทคนแรกเรียก logo อันนี้ว่า "โลโกที่แพงบ้าเลือดที่สุดที่เคยมีการออกแบบกันมา" แต่ก็ไม่มีรายงานเป็นทางการครับว่าตัวเงินค่าออกแบบจริงๆ เป็นเท่าไหร่ แอ๊ปเปิ้ลใช้ Rainbow Logo มาเป็นเวลา 20 ปีด้วยกัน (สงสัยให้คุ้มค่าออกแบบที่แพงมหาศาลจนไม่อาจกล่าวถึงมูลค่านั้นได้ ) ตั้งแต่ปี 1977-1997

และ logo รุ่นที่ 3 ที่เห็นอยู่ในปัจจุบัน หลังจากที่ jobs ได้กลับมาบริหาร Apple อีกครั้ง ก็ได้ปรับปรุงการดำเนินงาน รูปแบบดีไซน์เครื่องและภาพพจน์ของบริษัทเสียใหม่ เลยเกิดโปรเจคใหม่ๆอย่าง iMac, แคมเปญโฆษณาและคำขวัญ Think Different แล้วก็ logo แบบสีเดียวใสๆ เครื่องแมครุ่นแรกที่ใช้ logo สีเดียวแทนที่จะเป็นสีรุ้งแบบเดิมคือเครื่อง Powerbook G3 ที่ออกในวันที่ 6 พฤษภาคม 1998
...........................................

Apple ผลไม้ต้องห้ามของพระเจ้า!
โลโก้แอปเปิ้ลถูกกัด ยังสามารถสื่อได้ถึง "แอปเปิ้ลที่ถูกกัดในสวนอีเดน"


ตำนานอดัมกับอีฟที่โด่งดังของชาวคริสต์และยิว เรื่องมีอยู่ว่า...

ใน วันที่ 6 หลังจากพระเจ้าสร้างโลกขึ้นมา ก็ได้สร้างมนุษย์คู่แรกของโลก นั่นคือ Adam และ Eve และได้บัญชาไว้ว่า พวกเจ้าจะมีสิทธิ์เหนือทุกสิ่งทุกอย่างบนโลกใบนี้เหมือน กับเราทั้งพืชและสัตว์ แต่ยกเว้นเพียงสิ่งเดียวคือผลไม้แอปเปิ้ลที่อยู่ตรงกลางสวนอีเดนแห่งนี้ เจ้าจะไม่มีสิทธิ์กินมันหรือแม้แต่จะแตะต้อง มิฉะนั้นเจ้าจะต้องตาย

หลังจากนั้นอดัมกับอีฟก็ใช้ชีวิตกันในสวนอีเดนด้วยกัน มีชีวิตเป็นอมตะ ไม่มีการเจ็บไข้ได้ป่วย และอยู่กันอย่างเปลือยกายโดยไร้ซึ่งความอาย วันหนึ่งอีฟได้ถูกล่อลวงโดยงูว่า "เจ้ารู้ไหม เหตุใดพระเจ้าของเจ้าจึงห้ามมิให้พวกเจ้าได้กินผลไม้ ที่อยู่ตรงกลางของสวนอีเดนแห่งนี้... เพราะผลไม้นั้นเป็นผลไม้วิเศษไงล่ะ พระเจ้ารู้ว่าหากเจ้ากินมันเข้าไป เจ้าจะต้องมีพลังเหมือนกับเขา และมีความรู้เหมือนพระเจ้า ฉะนั้น เขาจึงสั่งห้ามมิให้เจ้ากิน" อีฟได้ยินดังนั้นก็เด็ดลูกแอปเปิ้ลที่อยู่บนต้นไม้นั้นลงมา และได้กัดลงไปคำหนึ่ง และส่งต่อให้กับอดัมได้กินด้วย ทันทีที่ได้กินผลไม้ลงไป ทั้งคู่ก็เปิดปัญญาขึ้นและรู้ว่าขณะนี้ทั้งคู่กำลังเ ปลือยกายอยู่ จึงเกิด"ความอาย"ขึ้น จึงพยายามหาใบไม้มาปกปิดร่างกาย เย็นวันนั้น ขณะที่พระเจ้ากำลังเดินอยู่ในสวนก็ตะโกนเรียกทั้งคู่ "พวกเจ้าอยู่ไหน" ทันใดนั้นทั้งคู่ก็ออกมาจากหลังต้นไม้และบอกกับพระเจ้าว่า ข้าเห็นท่านกำลังเดินอยู่ในสวน ข้าจึงกลัวและหลบท่านเพราะพวกข้ากำลังเปลือยอยู่ พระเจ้าจึงถามว่า "ใครเป็นคนบอกว่าพวกเจ้าเปลือย" "พวกเจ้าได้กินผลไม้ที่ข้าได้ห้ามลงไปแล้วใช่ไหม " หลังจากนั้นพระเจ้าก็ได้ลงโทษทั้งงู, อดัมกับอีฟ โดยให้ทั้งคู่ออกไปจากสวนอีเดน และต้องเสียชีวิตอมตะไป สำหรับอีฟที่ล่อลวงให้อดัมกินผลไม้จะต้องเจ็บปวดเมื่อต้องคลอดลูก อดัมจะต้องทำงานอย่างหนักเพื่อที่จะได้มีอาหารกิน...

*ปล. : ว่ากันว่าในสวนอีเดนนั้นมีต้นไม้ต้องห้ามอยู่ถึงสองต้น ต้นแรกที่อดัมกับอีฟกินนั้นคือ Fruit of Knowledge "ผลไม้แห่งปัญญา" ส่วนอีกต้นที่ไม่ได้กินนั้นคือ Fruit of Life "ผลไม้แห่งชีวิต"

วันจันทร์ที่ 3 ตุลาคม พ.ศ. 2554

แวมไพร์ - หมาป่า : ตีความใหม่


มนุษย์ดูดเลือดแวมไพร์ - มนุษย์หมาป่า : ฉบับตีความใหม่

นิยายชุด Twilight Saga ของนักเขียนหญิง "Stephenie Meyer" เริ่มตีพิมพ์ครั้งแรกเมื่อปี 2005 โดยใช้ชื่อว่า "Twilight" (ฉบับภาษาไทยใช้ชื่อว่า “แรกรัตติกาล”) และสร้างปรากฏการณ์ความนิยมแบบถล่มทลายทำนองเดียวกับ "Harry Potter" จนสุดท้ายถูกนำไปสร้างเป็นภาพยนตร์เช่นกัน

- ตัวอย่างภาพยนตร์ภาคล่าสุด (2011) "Breaking Dawn Part 1" -

จุดโดดเด่นของ นวนิยาย(รวมทั้งภาพยนตร์) ชุดนี้ ก็คือ... การตีความใหม่-ให้มุมมองใหม่ โดย แวมไพร์ - มนุษย์หมาป่ายุคใหม่ ไม่ใช่ปีศาสผีดิบอีกต่อไป แต่เป็นสิ่งมีชีวิตมนุษย์อีกพวกที่ใช้ชีวิตกลืนไปกับมนุษย์ธรรมดา แวมไพร์-มนุษย์หมาป่า ต่างก็ใช้ชีวิตเรียนหนังสือ ประกอบอาชีพ แบบคนปกติทั่วไป เพียงแต่มีพลังวิเศษกว่ามนุษย์ตามแบบของเผ่าพันธุ์ของตน (แวมไพร์ยังคงกินเลือดเป็นอาหารแต่กินเลือดสัตว์แทน ไม่กินเลือดมนุษย์ แต่สันดานดิบเดิมๆยังคงมีอยู่ ยังน้ำลายไหลเมื่อเห็นเลือดมนุษย์!) ซึ่งนับว่า เป็นการต่อยอด แหวกแนว จากตำนาน แวมไพร์-มนุษย์หมาป่าดั้งเดิม ได้อย่างน่าสนใจ...

...และทั้งเนื้อหาของเรื่องแทนที่จะเป็นแวมไพร์ไล่ล่าฆ่าหาเลือดมนุษย์กิน หรือการต่อสู้ทำลายล้างคู่ปรับอย่างมนุษย์หมาป่า ก็กลับกลายเป็นเรื่องของความรักโรแมนติกต่างสายพันธุ์ ที่บานปลายไปจนถึงรัก 3 เส้า ระว่าง 2 หนุ่ม แวมไพร์ไฮโซ และ มนุษย์หมาป่าผู้จริงใจ กับหนึ่งหญิงสาวมนุษย์ธรรมดาๆ (จึงเป็นที่ถูกใจของบรรดาวัยรุ่นโดยเฉพาะสาวๆต่างอินกับเนื้อเรื่อง ด้วยนางเอกเป็นผู้หญิงธรรมดาอันเสมือนตัวแทนของผู้หญิงทั่วๆ แต่กลับมีชายแสนดีในฝัน-เท่ห์ๆ-พิเศษๆ 2 คนมารุมแย่งกันรักเธอ ข้อนี้ต่างจากละครไทยที่ส่วนใหญ่ ผู้หญิงต้องตบตีแย่งผู้ชายคนเดียวกัน :)

- มนุษย์หมาป่า ตีความมุมมองใหม่ : แปลงร่างได้ โดยไม่ต้องรอพระจันทร์เต็มดวงแบบเก่า -

ภาคหนังสือนิยาย ออกมารวมทั้งหมด 4 ภาค โดยได้ตั้งชื่อภาคตามปรากฏการณ์ของท้องฟ้าช่วงเวลาต่างๆ ซึ่งเป็นลูกเล่นทางวรรณกรรมที่ฉลาดหลักแหลม ได้แก่... 1.Twilight (แรกรัตติกาล) : 2.New Moon (นวจันทรา) : 3.Eclipse (คราสสยุมพร) : และสุดท้าย 4.Breaking Dawn (รุ่งอรุโณทัย)

ทุกเล่มก็ได้รับเสียงตอบรับเป็นอย่างดีจากแฟนๆ หนังสือทั่วโลก (และปัจจุบันมีแปลภาคไทยครบทุกเล่มแล้ว โดย ภาค 4 Breaking Dawn (รุ่งอรุโณทัย) แบ่งเป็น 2 Part เช่นเดียวกับภาพยนตร์ หนังสือจึงมี 5 เล่มจบ)
แต่ Twilight ก็ตกเป็นที่วิจารณ์ในทางลบอย่างมากเช่นกัน อาทิ "สตีเฟน คิง" นักเขียนนิยายชื่อดังอีกคน เป็นหนึ่งในผู้ต่อว่านิยายชุดนี้อย่างรุนแรง คิงกล่าวว่า "เมเยอร์ (ผู้แต่ง Twilight) และ เจ. เค. โรว์ลิ่ง (ผู้แต่ง Harry Potter) พยายามเขียนหนังสือให้เด็กวัยรุ่นชื่นชอบ แต่ทั้งคู่ต่างกันก็คือโรว์ลิ่งเป็นนักเขียนที่เก่งมาก เธอสามารถแทรกข้อคิดที่ดีไว้อย่างมากมายพร้อมกับความสนุกตื่นเต้น ส่วนเมเยอร์เธอเป็นนักเขียนที่ไม่ได้เรื่องเลย หนังสือของเธอมีการแฝงเรื่องการมีเพศสัมพันธ์ทางอ้อมและมีข้อคิดในทางแย่ๆอีกด้วย เช่น การให้ความสำคัญกับคนรักมากกว่าพ่อมากมายหลายเท่าตัว และการเอาชนะความตาย ซึ่งต่างกับโรว์ลิ่งที่พยายามให้รู้จักยอมรับความตาย"อันเป็นความจริงของชีวิต
..................................................

เมื่อแวมไพร์ครองโลก!


และที่น่าสนใจอีกเรื่องกรณีตีความ แวมไพร์ มุมมองใหม่ ก็คือ ภาพยนตร์เรื่อง "Daybreakers วันแวมไพร์ครองโลก" (2009) เมื่อพันธุ์แวมไพร์ครองโลก มีระบบเศรษฐกิจ(ทุนนิยม)-มีสังคมแบบมนุษย์ทุกประการ เผ่าพันธุ์มนุษย์กับกลายเป็นแค่สัตว์เศรษฐกิจ!ชนิดหนึ่ง เป็นเพียงอาหารเลี้ยงแวมไพร์ แต่เมื่ออาหาร คือเลือดมนุษย์กำลังจะหมดลง เพราะแวมไพร์บริโภคนิยม ผนวกกับประชากรที่เพิ่มมากขึ้น จึงกินเลือดมนุษย์เสียจวนจะหมดโลกแล้ว ทางออกคือ การโคลนนิ่งมนุษย์เพื่อได้เลือดมาเป็นอาหารให้พอกับความตัองการ ทั้งระหว่างนั้นต้องเสริมสร้างเลือดเทียมมาผนวกด้วย...หนังสะท้อน มนุษย์ กับ แวมไพร์ ไม่มีอะไรแตกต่างกัน ในเมื่อต่างก็เป็นผู้ล่า เลี้ยง-กินฆ่า เอาเลือดเนื้อสัตว์อื่นอาหาร!



สิ่งที่น่าสนใจอีกแง่มุมในหนังเรื่องนี้คือ...เผ่าแวมไพร์ มีอำนาจ-ครองโลก มนุษย์บางคนจึงฝันอยากเป็นแวมไพร์บ้าง เหตุสำคัญคือ แวมไพร์ มีชีวิตเป็นอมตะ(หมายถึงไม่แก่ตายแบบมนุษย์ แต่ก็ตายดับสูญได้หากขาดอาหารคือเลือดนานๆ หรือโดนแดดเผา หรือโดนฆ่าให้ตายด้วยพลังพิเศษ)

และอีกปมหนึ่งของหนัง หลังจากที่พระเอก(เป็นแวมไพร์) ได้มาเจอกับมนุษย์ผู้เคยมีชีวิตเป็นแวมไพร์มาก่อน แต่กลับกลายมาเป็นมนุษย์โดยบังเอิญ โดยหลังจากประสบอุบัติเหตุรถยนต์ จนต้องเจอกับแสงแดดเผาไหม้ ก่อนที่จะตกลงในน้ำ จึงเกิดปฏิกิริยาส่งผลให้กลับกลายมาเป็นมนุษย์คนธรรมดาได้ พระเอกเลยต้องทบทวนคิดหนักว่าจะเลือกเป็นอะไรดี ระหว่างการเป็นมนุษย์ กับการเป็นแวมไพร์อันมีเชื้ัอผีดิบกินเลือด มีชีวิตอมตะก็จริง แต่ต้องใช้ชีวิตอยู่ในที่มืดๆ หลบแดด หลบแสงสว่าง...คำถามคือ ชีวิตควรเป็นอย่างไร? - อะไรคือ ความสุขที่แท้จริงของชีวิต?