เปิด Com หรือ เห็นเครื่อง Com ทีไร นึกถึงหนังเรื่องนี้ตลอด
"PIRATES OF SILICON VALLEY"
!! โจรสลัดแห่งหุบเขาซิลิกอน !!
(สนใจรายละเอียดเกี่ยวกับ Silicon Valley คลิกเข้าไปอ่านบล็อคเรื่อง Silicon Valley หุบเข้าปีศาจ)
ในหนังเรื่องนี้ มีประโยค คมๆที่น่าสนใจอยู่ประโยคหนึ่ง คำอาจฟังดูเป็นด้านมืดหน่อยแต่ก็เป็นความจริงโดยแท้ นั้นคือ...
“ศิลปินชั้นดีลอกเลียน ศิลปินผู้ยิ่งใหญ่ขโมย”
เดิมเป็นประโยคคำคมที่กล่าวโดยจิตรกรนามอุโฆษ "Pablo Picasso" อันสื่อให้เห็นว่า...ศิลปินชั้นดีธรรมดาทั่วๆไป นำสิ่งดีๆหลายๆสิ่งจากผลงานของศิลปินคนอื่นมาดัดแปลง-ปรับปรุงให้เป็นผลงานของตน แต่แล้วคนทั่วไปยังคงมองออกว่าผลงานนั้นได้รับอิทธิพลหรือลอกเลียนมาจากศิลปินผู้ใด
PIRATES OF SILICON VALLEY สร้างจากชีวิตจริงของผู้ยิ่งใหญ่แห่งวงการคอมพิวเตอร์และนวัตกรรมเทคโนโลยีสารสนเทศในยุคโลกาภิวัตน์ นั้นคือ... Steve Jobs ผู้ก่อตั้งบริษัท Apple เจ้าของผลงานที่เป็นปรากฏการณ์อันลือลั่นอย่าง เครื่องคอมพิวเตอร์ Mac, Mac OS, ipod, iphone ฯลฯ และ Bill Gates อภิมหาเศรษฐีที่รวยที่สุดในโลก ผู้ก่อตั้งบริษัท Microsoft เจ้าของผลงานที่ทุกคนบนโลกต้องใช้ นั้นคือ ระบบปฏิบัติการ Windows, MS-Office(Word,Excel) , MSM, Hotmail ฯลฯ
ในหนัง Jobs และ Gates ต่างพูดประโยค “ศิลปินชั้นดีลอกเลียน ศิลปินผู้ยิ่งใหญ่ขโมย” และยึดถือเป็นแนวทางในการสร้างนวัตกรรมและประกอบธุรกิจ!!
Jobs เอ่ยประโยคนี้ก่อนที่จะเข้าไปที่ Palo Alto Research Center หรือ PARC ในปี 1979...PARC เป็นศูนย์วิจัยนวัตกรรมของบริษัท XEROX ได้คิดค้น "Graphical User Interface" หรือ "GUI(กุย)" ที่คนใช้คอมยุคเราๆคุ้นเคยกันดีคือ รูปแบบการใช้งานติดต่อประสานสั่งการคอมพิวเตอร์ด้วยรูปภาพกราฟฟิคสวยงามแทนการใช้งานแบบเก่าด้วยการพิมพ์บนหน้าจอเขียวหรือจอดำอย่างเดียว อันได้แก่ การสั่งงานด้วยภาพ Icon, ชุดคำสั่งที่ดึงลงเป็นรายการให้เลือกได้(Pull down menu), การเปิดโปรแกรมหลายโปรแกรมพร้อมกันในลักษณะหน้าต่าง(Windows) การเคลื่อนย้ายหน้าต่างต่างๆได้(Moveable Windows), ปฏิบัติการที่เรียกว่า WYSIWYG (วิสซี่วิก) ซึ่งย่อมาจาก what you see is what you get อันหมายถึงเมื่อใช้ร่วมกับเครื่องพิมพ์แล้วสิ่งที่คุณเห็นในหน้าจออย่างไรจะเป็นไปตามนั้นเมื่อถูกพิมพ์ออกมา ฯลฯ...
...และ PARC ยังได้คิดค้นอุปกรณ์แปลกใหม่ในยุคนั้นที่เรียกว่า "Mouse" (สมัยนั้นมีแต่ KeyBoard) นวัตกรรมที่เรียกว่า GUI และ Mouse นี้ ศูนย์วิจัย PARC คิดได้ตั้งแต่ ปี 1960 แล้ว(ย้ำอีกที 1960) แต่ไม่มีผู้บริหาร Xerox คนใดสนใจ มองราวกับว่าเป็นเรื่องตลกเพ้อพกไป แต่สำหรับผู้มีสายตาแหลมคมอย่าง Jobs แล้ว นี้คือ นวัตกรรมอนาคต! ... Jobs นำแนวคิดสองอย่างนี้มาดัดแปลงต่อยอด ใช้กับเครื่องคอมพิวเตอร์ของบริษัท Apple ที่มีชื่อว่า "Lisa" และพัฒนาเป็น "Macintosh"หรือ "Mac" ในเวลาต่อมา...
"Gates" และ "Jobs" วัยหนุ่มยุคบุกเบิก บนหน้าปกนิตยสารดัง
...ส่วน Gates พูดประโยค “ศิลปินชั้นดีลอกเลียน ศิลปินผู้ยิ่งใหญ่ขโมย” นี้กับทีมงาน ก่อนที่จะเข้าไปร่วมงานกับบริษัท Apple ของ Jobs และด้วยชั้นเชิง(เล่ห์เหลี่ยม)ของ Gates ทำให้ Microsoft ได้เครื่องต้นแบบเครื่อง Macintosh(เพชรเม็ดเอกที่เป็นความลับสุดยอดของ Apple ขณะนั้น) มาศึกษา จึงได้นำระบบ GUI ที่มีอยู่ในเครื่อง Mac ไปดัดแปลงต่อยอด ออกมาเป็นระบบปฏิบัติการ(OS)ของ Microsoft ที่มีชื่อว่า "Microsoft Windows" ซึ่งพัฒนาเพื่อใช้งานกับเครื่อง PC และได้พัฒนาต่อเนื่องจนมาเป็น Windows 95 ซึ่งจัดว่าเป็นระบบปฏิบัติการแบบ GUI ตัวแรกที่สมบูรณ์แบบและน่าใช้งานที่สุด ณ เวลานั้น Windows95-98 และWindows รุ่นต่อๆมาก็โด่งดังเป็นที่นิยมของผู้ใช้งานคอมพิวเตอร์และนักพัฒนาโปรแกรมเสริมทั่วโลก ผนวกกับฐานผู้ใช้เครื่อง PC มีจำนวนมากอยู่แล้ว ส่งผลให้ Gates ค่อยๆกลายเป็นมหาเศรษฐีอันดับหนึ่งของโลกนับแต่บัดนั้นเป็นต้นมา
(รูปซ้าย) "Lisa" เครื่องคอมเครื่องแรกของโลกที่ใช้ ระบบ GUI และ Mouse ในขณะที่เครื่อง PC ทั่วไปอันมี IBM เป็นพี่ใหญ่ ยังใช้คำสั่งแบบพิมพ์ผ่านคีย์บอร์ด(Command Line)บน DOS ของ Microsoft แต่เครื่อง PCและ MS-DOS ก็เป็นที่นิยมมากและเป็นมาตรฐานของคอมพิวเตอร์ไปแล้วในขณะนั้น Lisa กลับล้มเหลวถึงแม้จะล้ำสมัยด้วยระบบ GUI เนื่องจากราคาแสนแพง! บวกกับเข้ากับอุปกรณ์ผลิตภัณฑ์ค่ายอื่นๆ(Compatible)ได้น้อยมาก
(รูปขวา) เครื่อง "Macintosh 128k" เป็น Mac ยุคแรก พัฒนาต่อจาก Lisa เป็นที่นิยมใช้ในหมู่สำนักพิมพ์, โรงพิมพ์, บริษัทออกแบบกราฟฟิคและบริษัทโฆษณา Macintosh พลิกวงการพิมพ์และออกแบบโดยการพัฒนาระบบปฏิบัติการแบบ GUI ต่อยอดจาก Lisa ให้มีความฉลาด เป็นระเบียบสวยงาม ใช้งานง่ายขึ้น แต่เนื่องจากราคายังแพงอยู่จึงยังไม่แพร่หลายเท่าเครื่อง PC และในขณะนั้น Microsoft ก็ได้สร้าง Windows 1.0 ที่เป็น GUI ออกมา Windowsเป็นที่นิยมแพร่หลายมากขึ้นเรื่อยๆและได้กลายเป็นระบบปฏิบัติการมาตรฐานของคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลทั่วไปเช่นเดียวกับ MS-DOS ที่เคยเป็นมา
กรณี GUI นี้เองทำให้ Jobs ช้ำใจและหัวเสียอย่างมาก ไม่คิดว่า Gates-Microsoft จะมาไม้นี้ เป็นกรณีพิพาทอันเป็นประวัติศาสตร์ที่ยิ่งใหญ่ ระหว่าง JobsกับGates ระหว่างPCกับMac และระหว่างAppleกับMicrosoft ...เรียกว่าเป็นประเด็นให้ถกเถียง-เหน็บแนบ-กล่าวขวัญกันเรื่อยมาไม่จบไม่สิ้นจนถึงปัจจุบัน...ณ ช่วงเวลานั้น Apple ได้ฟ้องร้อง Microsoft ต่อศาลข้อหา ละเมิดสิทธิบัตร GUI ในWindows แต่ก็ไม่ชนะ (เหมือนกับอตีดที่ Xerox ได้ฟ้อง Apple กรณี GUI ในเครื่อง Lisa ซึ่ง Xerox ก็ไม่ชนะเช่นกัน!)...
จาก Windows1.0 สู่ Windows 95 ปรากฏการณ์ GUI อันสมบูรณ์แบบของยุคนั้นและที่ถือว่าเป็นระบบปฏิบัติการที่ประสบความสำเร็จ-ยอดขายสูงสุดเท่าที่เคยมีมานับแต่อดีต-ปัจจุบัน
...ในหนัง(ในชีวิตจริงก็เหมือนกัน ฮึๆๆ) Jobs ได้ตำหนิ Gates และ Microsoft อย่างรุนแรงว่า เป็นพวกหัวขโมยไร้จรรยาบรรณ, ไร้หัวคิด, ไร้รสนิยม, ปล้น! GUI ของ Apple-Macintosh ไปเป็นผลงานของตัวเองอย่างหน้าด้านๆ ส่วนก็ Gates ก็ได้แก้ต่างอย่างมีเหตุผลที่เหนือชั้นว่า... " ไม่หรอก Steve ผมคิดว่ามันเหมือนกับเราทั้งคู่ต่างมีเพื่อนบ้านที่ร่ำรวยคนเดียวกันชื่อ Xerox คุณตั้งใจจะงัดเข้าไปบ้านเขาเพื่อนจะขโมยโทรทัศน์ แต่พบว่า ผมอยู่ในบ้านนั้นก่อนคุณ และคุณก็กลับมาพูดว่า "นี่คุณ มันไม่ยุติธรรมแลย! ผมต้องการจะขโมยโทรทัศน์เครื่องนั้นก่อนนะ" ...ก็คุณมันช้าเอง!!" เจอมุขนี้ Jobs ก็พูดอะไรไม่ออกอยู่พักใหญ่...(***คำพูดสำคัญๆที่ปรากฏในหนังเป็นคำพูดที่เอามาจากชีวิตจริงทั้งสิ้น)...
ผลิตภัณฑ์บางส่วนของ Microsoft ยุคหลังๆ
...และด้วยความคับแค้นใจ Jobs ก็ตบท้ายด้วยคำพูดทำนองท้าทายว่า "เอาเหอะเพื่อน ข้ายังมีอะไรดีๆกว่านี้ ที่นายยังไม่รู้อีกเยอะ!!" และก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ ดังเราได้เห็นกันแล้วในปัจจุบัน นั้นคือนวัตกรรมชั้นเลิศอันเป็นไม้เด็ดของ Apple ผลิตภัณฑ์ตระกูล i ทั้งหลายได้แก่ "คอมพิวเตอร์ iMac", "เครื่องเล่นเพลง iPod", ร้านหนังเพลงออนไลน์ iTunes", และ "โทรศัพท์มือถือระบบสัมผัส iPhone" ฯลฯ เป็นปรากฏการณ์ใหม่ที่ยังไม่มีนวัตกรรมของคู่แข่งรายใดจะมาเทียบรัศมีได้เลยแม้แต่นิดเดียว ณ ขณะนี้!
ผลิตภัณฑ์ตระกูล i ของ Apple : ปรากฏการณ์นวัตกรรมล้ำสมัย+ดีไซน์เท่ห์
Jobsตัวปลอม,นักแสดงในภาพยนตร์ กับ Jobsตัวจริง บนเวทีงาน MacWorld
...ในท้ายที่สุด เรื่องก็ Happy Ending... Jobs และ Gate , Apple กับ Microsoft กลับมาจับมือร่วมงานเป็นพันธมิตรทางธุรกิจกันได้ เรียกว่าเป็น Big Brother เป็นพี่เป็นน้องครอบครัวเดียวกัน (แต่ก็ยังมีแขวะกันบ้างเป็นบางโอกาส โดยฝ่ายที่โจมตีเป็นฝ่าย Jobs-Apple โดยเฉพาะเรื่องที่ Microsoft ชอบลอกเลียน Apple... ส่วน Gates เนื่องจากรวยเละเทะแล้ว ก็ทำเป็นนิ่งๆเฉยๆไม่สนใจซ้ำจะทำเป็นตลกกลบเกลื่อนขำๆไปเสียอีก เรียกว่าเป็นพวกเขี้ยวลากดินชั้นเซียนจริงๆ ฮึๆๆ) และ Gates ยังได้เข้าซื้อหุ้นของบริษัท Apple อีกด้วยเรียกว่า รวย 2 เด้ง!
อย่างไรก็ตาม เรื่องที่ปฏิเสธไม่ได้และเห็นๆกันอยู่ คือ นวัตกรรมของ The Great Artists! ทั้งสองท่านนี้ได้สร้างคุณูปการและส่งผลกระทบต่อวิถีชีวิตมนุษยชาติในยุคปัจจุบันอย่างใหญ่หลวง(อย่าลืม ยกความดีความชอบนี้ให้ Xerox ด้วยเด้อ...) เหมือนดั่งคำพูดของ Jobs ในหนังที่ว่า "ดูเหมือนว่าเราสองคนทำให้โลกสะดวกสบายขึ้นเยอะเลยนะ"
"Jobs" และ "Gates" ในวัยหนุ่มใหญ่ บนเวทีเดียวกัน ชื่นมื่น-เฮฮา
.............................................................................
*** ส่งท้าย แถม ***
ยังมีประโยคเด็ดๆคมๆอื่นๆในหนังที่น่าสนใจอีกหลายประโยค อาทิ “เราจะอยู่รอดได้เพราะทำตัวให้เป็นที่ต้องการคนอื่น" Gates พูดก่อนที่จะเข้าไปเจรจาเสนอ MS-DOS กับ IBM ยักษ์ใหญ่แห่งวงการคอมพิวเตอร์ยุคนั้น
และ Gates ก็ได้พูดกับทีมงานต่อจากประโยคนี้อีกว่า... “รู้จักคติของมาเฟียไหม? จงใกล้ชิดเพื่อนไว้ แต่ใกล้ชิดศัตรูให้มากกว่า” คำพูดประโยคนี้เป็นที่มาของการที่ Microsoft บริษัทเล็กๆกระจอกๆในขณะนั้น กล้าเดินเข้าไปเจรจาต่อรองกับยักษ์อย่าง IBM ผลก็คือ ทุกๆคอมพิวเตอร์ PC ที่ IBM ผลิตจะมีระบบปฏิบัติการ DOS ติดพ่วงอยู่ด้วย และ Microsoft ก็กินส่วนต่างกำไรไปพร้อมกับเครื่อง IBM แบบง่ายๆชนิดจับเสือมือเปล่า!! และเป็นที่มาของการที่Microsoft ไม่เก้อเขินที่จะทำตัวเป็นลูกมือรับจ้างเขียนโปรแกรมให้กับ Apple ยังผลทำให้ Microsoft ได้(ปล้น!! 55)ไอเดียเด็ด "GUI" นำมาสร้างนวัตกรรมของตนเองอย่าง Windows ออกมาในที่สุด!! ส่งผลให้ Microsoft ร่ำรวยดิดลมบนมาจนถึงทุกวันนี้
นอกจากพระเอกในหนังอย่าง Bill Gates และ Steve Jobs แล้ว ก็ยังมีเพื่อนคู่หูผู้ร่วมก่อตั้งและสร้างธุรกิจของพระเอกทั้งคู่ ซึ่งก็เป็น The Great Artists! ที่น่าทึ่งมากไม่แพ้กัน นั้นคือ Steve Ballmer และ Steve Wozniak (ชื่อ "Steve" ทั้งนั้นเลย) Steve Ballmer ร่วมงานกับ Gates ตั้งแต่ยุคก่อตั้งจวบจนถึงปัจจุบัน โดยปัจจุบันทำหน้าที่เป็น CEO ของ Microsoft แต่ Steve Wozniak ได้ถอดตัวออกจาก Apple ตั้งแต่ยุคต้นๆ เลยไม่ค่อยได้ยินชื่อเสียงและบทบาทของเขาเท่าไรนักในช่วงหลังๆ
"สตีฟ วอสนีค"ตัวจริง หรือ "วอส"
Steve Ballmer , Super CEO ??? โหด-มัน-ฮา CEO หนึ่งเดียวในโลก ลีลาไม่เหมือนใครและไม่มีใครเหมือน (หน้าตาคล้าย "ปิกัสโซ" เหมือนกันนะ 555)
"บิล เกตส์" และ "สตีฟ บอลเมอร์" คู่หูคู่ฮา! อภิมหาเศรษฐีและผู้บริหารระดับสูงระดับโลก ไม่จำเป็นต้องวางมาดขรึม+ขี้เก็กเสมอไป...นะครับ 555 :)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น