วันจันทร์ที่ 28 กันยายน พ.ศ. 2552

OmniZero.9 ทรานฟอร์เมอร์!

อย่าเพิ่งดูเบาว่า สิ่งที่มนุษย์จินตนาการ เป็นแค่ความฝันเฟื่อง ลมๆแล้งๆไร้สาระ...จริงๆแล้วทุกจินตนาการสามารถสร้างให้เป็นจริงได้ทั้งหมด! เพียงแต่อาจต้องใช้ระยะเวลาในการพัฒนา...คำกล่าวที่ว่า "จินตนาการ สำคัญกว่าความรู้" ของ อัลเบิร์ต ไอสไตน์ เป็นสัจธรรมโดยแท้ (แต่ดูเหมือนสังคมไทยไม่ค่อยให้ความสำคัญกับสิ่งนี้เท่าไหร่...เนอะ)

OmniZero.9 หุ่นแปลงร่าง ของนาย "ทาเคชิ มาเอดะ" สามารถแปลงร่างนอนราบกับพื้น เพื่อใช้ล้อขนาดใหญ่ที่หัวไหล่ทั้งสองและล้อขนาดเล็กที่หัวเข่าในการเคลื่อนที่ไปข้างหน้าได้แบบรถยนต์ นอกจากนี้มันยังสามารถอุ้มคนพร้อมทั้งเดินได้(แม้จะยังดูไม่ค่อยลงตัวและการใช้งานยังไม่สะดวกสบายนัก แต่นี้ก็เป็นการเริ่มต้นที่ยิ่งใหญ่) สำหรับ OmniZero.9 นอกจากจะสาธิตความสามารถดังกล่าวแล้ว มันยังมีภารกิจที่ต้องต่อสู้กับหุ่นยนต์ต่างๆ ในงาน ROBO-ONE ที่จัดขึ้นในญี่ปุ่นอีกด้วย

ก่อนหน้านี้ในงาน ROBO-ONE ที่จัดขึ้นเมื่อปี 2007 ทาเคชิได้เคยพัฒนาหุ่นยนต์ OmniZero.4 ที่มีขนาดตัวเล็กกว่า แต่มีมือก้ามปูที่ทรงพลัง สามารถปีนไดลิง การกระโดดเชือก และพยายามตอกไข่ใส่ขันให้อึ้งไปตามๆ

วันศุกร์ที่ 25 กันยายน พ.ศ. 2552

เมื่อยักษ์ไมโครซอฟท์ ตื่น!

หลังจากผิดหวังกับ Windows Vista จนต้องกลับหลังหันไปใช้ Windows XP (และเพื่อนฝูงพี่ๆน้องๆที่นิยมใช้ PC หลายคนเริ่มเทใจให้ OS และเครื่อง Mac ของค่าย Apple )...เนื่องจาก Vista กินทรัพยากรเครื่องมากเกินไป อีกทั้งในแง่การใช้งานทั่วไปก็ไม่ได้ช่วยให้สะดวกสบายเพิ่มขึ้นเท่าไร ด้านหน้าตาก็สวยงามกว่า XP แค่นิดหน่อย...แต่ไม่นานมานี้ได้ทดลองใช้ Windows 7 Professional Beta ที่ทาง Microsoft ปล่อยออกมาให้โหลดไปทดลองชั่วคราว...ระบบ Taskbar แบบใหม่ - การจัดการหน้าต่างด้วยระบบ Aero Snap - ลูกเล่นAero Peek, Aero Shake - Thumbnail Previews ฯลฯ...ส่วนตัวแล้ว ในเบื้องต้นต้องบอกว่า 7 โดยรวมแจ่มทีเดียว คิดว่าคงสามารถตัดใจจาก XP ไปเป็น 7 ได้อย่างไม่ต้องลังเลใดๆ :)

แต่ล่าสุดได้ข่าว Microsoft มีนวัตกรรมลับ! ที่สุดยอดและเร้าใจกว่านั้น!

นั้นคือข่าว ต้นแบบนวัตกรรม " Tablet " ที่ชื่อ "Courier" ของ Microsoft ถูกเผยแพร่บนเว็บไซต์ Gizmodo ...เป็นที่รู้ๆกันในวงการอุปกรณ์ IT ถ้าหากกล่าวถึงนวัตกรรมใหม่ๆแล้ว ค่าย Apple มาแรงมาก ณ ขณะนี้ เป็นที่กล่าวขวัญและจับตามองมากที่สุดโลกก็ว่าได้ ยักษ์อย่างไมโครซอฟท์ยังต้องถูกเบียด และได้ข่าวว่า Apple ก็กำลังซุ่มพัฒนานวัตกรรมทำนอง Tablet อยู่เช่นกัน(iPad ?) แต่ถ้าดูจากตัวแท็บเล็ตต้นแบบที่ Microsoft เผยโฉมออกมาตัวนี้ Apple คงต้องทำงานหนักขึ้นอีกหน่อย และ Kindle เครื่องอ่านหนังสือดิจิตอลของ Amazon ที่เพิ่งโด่งดัง เจอแบบนี้คง คงเสียวสันหลัง หนาวๆร้อนๆ... ยักษ์ไมโครซอฟท์ กำลังตื่น!

คลิปวิดีโอที่มีการเผยแพร่ออกมาบนเว็บไซต์ Gizmodo แสดงให้เห็นว่า รูปลักษณ์อินเตอร์เฟซของเจ้าTablet Courier ตัวนี้ดูลื่นไหลน่าใช้มาก และคงไม่ใช่เพียงแค่ไว้เข้าเน็ต อ่านหนังสือดิจิตอล เป็นสมุดบันทึก หรือเป็นกระดานวาดรูปเท่านั้น คาดว่าคงพัฒนาให้สามารถลง Apps หรือSoftware เพิ่มเติมทำให้ใช้งานเป็นอะไรๆได้อีกมากมายเฉกเช่นเดียวกับคอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะ... Tablet(ไม่เฉพาะของ Microsoft) มันอาจจะทำให้ Notebook หรือ Netbook สูญพันธุ์ไปเลยก็เป็นได้! อย่าทำเป็นเล่นไป!... ซึ่งทางเว็บ Gizmodo ก็ไม่แน่ใจว่า หากมีการผลิต Tablet "Courier" ออกมาจริงๆ มันจะใช้ระบบปฏิบัติการ Windows 7 หรือ Windows Mobile หรือ ระบบอะไรกันแน่...


...ในอนาคตไมโครซอฟท์จะเป็นยักษ์ใหญ่จ้าวตลาด Tablet เช่นเดียวกับการเป็นยักษ์ในวงการระบบปฏิบัติการคอมพิวเตอร์อย่าง Windows OS กับชุด Software สามัญประจำบ้านอย่าง Office อันมีคนนิยมใช้มากที่สุดในโลกหรือเปล่า...แล้วผู้นำนวัตกรรมIT-Cyberค่ายชั้นนำอื่นๆ (Apple, Google, HP, Nokia, Acer, Dell, IBM ฯลฯ) จะลงมาเล่นในตลาด Tablet กันดุเดือดเลือดพล่านแค่ไหน... จับตาดูกันต่อไป!

นวัตกรรมประเภท Tablet นี้อาจจะเป็นนวัตกรรมใหม่ที่จะมาปฏิวัติวิถีชีวิตมนุษย์อีกระลอกหนึ่ง อันจะต้องจารึกลงในหน้าประวัติศาสตร์โลกเลยทีเดียว!

ประธานาธิปดี Andriod


หลายคนคงเคยไปพิพิธภัณฑ์ หุ่นขี้ผึ้งไทย จังหวัดนครปฐม...ในอนาคต? คาดว่าหุ่นเหล่านี้นอกจากจะเหมือนจริงแล้ว จะสามารถพูดได้-ขยับท่าทางได้ด้วย ?

...Walt Disney World ได้ลงทุนเปลี่ยนลุคของ Hall of Presidents ให้ดูน่าสนใจยิ่งขึ้น โดยได้เพิ่มหุ่นยนต์ตัวใหม่เข้าไปคือ หุ่นประธานาธิบดี "บารัค โอบาม่า"! ไม่เพียงแต่เหมือนเท่านั้น แต่ยังสามารถกล่าวสุนทรพจน์ได้และมีการเคลื่อนไหวท่าที่ใกล้เคียงตัวจริง...

สำหรับเทคโนโลยีที่ใช้ทำให้หุ่นยนต์ประธานาธิบดีนี้ เรียกว่า Audio-Animatronics ซึ่งเป็นการผสานความเชี่ยวชาญในเรื่องของการทำการ์ตูนแอนิเมชั่นของวอลท์ดิสนี่ย์เข้ากับระบบอิเล็กทรอนิสก์ของหุ่นยนต์ นอกจากโอบาม่าแล้ว ยังมีหุ่นยนต์ของประธานาธิบดีคนอื่นๆในอดีตอีก 42 คนด้วย และดิสนีย์ยังได้ลงทุนอัพเกรดระบบเสียงเป็นดิจิตอล และแสงสีที่ทำให้ดูอลังการขึ้น

เบื้องหลังการลงเสียงของท่านประธานาธิบดีโอบาม่าตัวจริง

วันพุธที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2552

เขตหวงห้าม!

จินตนาการเกี่ยวกับมนุษย์ต่างดาวส่วนใหญ่จะเป็นผู้ทรงภูมิปัญญาไฮเทคล้ำสมัยและมักมาในฐานะผู้บุกรุกหรือศัตรู(ที่มนุษย์คิดเช่นนี้ก็ด้วยใช้นิสัยตัวเองเป็นบรรทัดฐานในการประเมินคนอื่น :) แต่ใน District 9 มองต่างออกไป มนุษย์ต่างดาวล้ำก็จริงแต่ยานอวกาศก็เกิดปัญหาขัดข้องทางเทคนิคได้ จึงจำต้องลงมาติดอยู่บนโลกมนุษย์แถวๆ โจฮันเนสเบิร์ก แอฟริกาใต้ โดยแต่เดิมก็ไม่มีเจตนาที่จะบุกรุกหรือแวะโลกแต่ประการใด ถึงมนุษย์โลกจะจัดพื้นที่สำหรับเป็นที่พักอาศัยให้ แต่กลับได้รับการต้อนรับและถูกกระทำเยี่ยงเชลยชนกลุ่มน้อยผู้ลี้ภัยโดยถูกจำกัดให้อยู่แต่เฉพาะพื้นที่ที่เรียก "เขตหวงห้าม" ที่จัดไว้ให้(District)เท่านั้น ซึ่งค่อนข้างคับแคบเสื่อมโทรมและขาดแคลน

หนังได้ใช้กรณีมนุษย์ต่างดาวเป็น Symbolic เสียดสีสะท้อนสังคมแบบอ้อมๆในเชิงประเด็นของการแบ่งพรรคแบ่งพวก การเหยียดสีผิว เชื้อชาติเผ่าพันธุ์ ฯลฯ โดยมนุษย์ต่างดาวเป็นภาพแทนของของชนกลุ่มน้อยที่โดนกฏหมายกีดกันต่างๆนานา อีกทั้งยังเป็นที่รังเกียจเดียจฉันท์

จุดที่น่าสนใจของโครงเรื่องอยู่ที่ ถ้าชะตาชีวิตพลิกผันผู้มีอำนาจสั่งการหรือผู้กระทำที่เดิมเป็นพวกของคนของชนส่วนใหญ่ กลับมีเหตุสุดวิสัยให้กลายเป็นพวกเดียวกันกับผู้ถูกกระทำอันเป็นชนส่วนน้อยเสียเองบ้าง มันจะเป็นอย่างไร? คงเข้าใจหัวอกผู้อื่นขึ้นมาบ้างกระมัง...รายละเอียดลองไปดูในหนังนะครับ ฮึ ๆ...

...และที่น่าสนใจอีกอย่างของหนังเรื่องนี้คือ วิธีการนำเสนออันแตกต่างไปจากหนังทั่วไป โดยนำเสนอคล้ายๆหนังสารคดี ก็นับเป็นมุขที่เจ๋งดีเหมือนกันนะ ส่วนตัวไม่ชอบหนังเรื่องนี้อยู่อย่างเดียวคือ รูปลักษณ์มนุษย์ต่างดาวสร้างออกมาเป็นสัตว์ประหลาดดูพิกลพิการเกินไปหน่อย น่าจะออกแบบให้ดูเป็นสิ่งมีชีวิตที่ทรงภูมิปัญญากว่านี้อีกนิด...แต่ยังไงภาพโดยรวมก็ถือว่าค่อนข้าง OK ทีเดียว แม้จะเป็นหนังทุนต่ำ ก็สามารถสะกดให้ติดตามด้วยความสนใจไปจนจบเรื่อง

...ดูหนังเรื่อง District 9 แล้วทำให้นึกถึงหนัง "The boy in the striped pajamas" ซึ่งมีเนื้อหาทำนองกีดกันจำกัดสิทธิเช่นกัน แต่รุนแรงกว่าเพราะนอกจากกีดกัดแล้วยังฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ นั้นคือ เรื่องอันเกี่ยวกับชะตากรรมของชาวยิวในเยอรมันช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2

หนังเรื่องนี้หักมุมได้เจ็บปวด ให้แง่คิดกับสังคมได้ถึงกึ๋น...ผู้นำทหารนาซีผู้ได้รับมอบหมายให้รับผิดชอบการฆ่าชาวยิวจำนวนามากที่ถูกจำกัดอยู่ในเขตหวงห้ามแห่งหนึ่ง โดยการบังคับต้อนให้เข้าไปในห้องพ่นแก็ซพิษวันละชุด ละชุด ซึ่ง ณ ที่นั่นชาวยิวทุกคนถูกจัดให้แต่งชุดลายทางคล้ายชุดนอนหรือที่เรียก Striped pajamas (มีจริงในประวัติศาสตร์)...แต่เดชะบุญบังเอิญลูกชายของตนแอบไปเป็นเพื่อนเล่นกับเด็กชาวยิวที่อยู่ในเขตหวงห้ามนั้น และด้วยความไร้เดียงสาของทั้งคู่ วันหนึ่งด้วยความอยากรู้อยากเห็น ลูกชายแอบข้ามเข้าไปในเขตหวงห้ามของเพื่อนชาวยิวโดยการแต่งชุดลายทาง(ที่เพื่อนยิวจัดมาให้) และ ณ เวลานั้นก็เป็นเวลาที่มีการกวาดต้อนเข้าห้องพ่นก๊าซพิษพอดิบพอดี! กว่านายทหารผู้เป็นพ่อจะตามหาลูกเจอก็เป็นอันเรียบร้อยโรงเรียนนาซีไปแล้ว!

วันเสาร์ที่ 12 กันยายน พ.ศ. 2552

นวัตกรรมลับของศาสดา Jobs!

Video clip ล่าง นี้คือ นวัตกรรมลับของ ศาสดา สตีฟ จ็อบส์ ??? แห่ง ศาสนาApple ที่ยังไม่เปิดเผยที่ใดมาก่อน! ฮา!

..............................

เพิ่งผ่านพ้นไป การปรากฏตัวของศาสดานวัตกรรมแห่งยุค สตีฟ จ็อบส์ (Steve Jobs) ในงาน Media Event หลังจากบอกลาเวทีเปิดตัวผลิตภัณฑ์ของแอปเปิลไปร่วมปี ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่จ็อบส์ลางานไปนานกว่า 6 เดือนเพื่อรับการปลูกถ่ายตับใหม่ จากการเป็นโรคมะเร็งตับอ่อน ศาสดาจ็อบส์ยังคงแต่งตัวด้วยยีนและเสื้อคอเต่าสีดำคุ้นตา สิ่งเดียวที่ผิดหูผิดตาคือความผอมบางแบบ Nano จนน่าเป็นห่วง

จ็อบส์ ตัวจริงเสียงจริง 2009 วัย 54

รู้สึกช่วงหลัง ศาสนา Apple! เริ่มเปลี่ยนหลักคำสอนและข้อวัตรปฏิบัติโดยเฉพาะกับผลิตภัณฑ์ iPod-iPhone จากปรัชญาเดิม Think Different คิดแตกต่างไม่ตามกระแส...ที่เน้นผลิตภัณฑ์ใช้งานเฉพาะอย่าง แบบขอให้เจ๋งอย่างเดียวสุดๆไปเลย ไม่ต้องใส่การใช้งานอะไรเพิ่มเติมให้ยุ่งยากรำคาญ ดังที่ครั้งหนึ่งศาสดา Jobs ได้ตรัสกับสาวกไว้ว่า...

"การตัดสินใจที่สำคัญที่สุดของคุณนั้น ไม่ใช่สิ่งที่คุณตัดสินใจทำ แต่คือสิ่งที่คุณตัดสินใจไม่ทำ"

ซึ่งก็ได้ปรากฏเป็นรูปธรรมชัดเจนในผลิตภัณฑ์ iPod ยุคแรกๆ ที่เป็นเครื่องเล่น mp3 อย่างเดียว ในรูปลักษณ์ดีไซน์เรียบเท่ห์ ไม่มีหน้าที่ใช้งานอย่างอื่นเจือปนให้รกรุงรัง แตกต่างจากผลิตภัณฑ์กระแสหลักอย่างสิ้นเชิงอันมีลักษณะยำใหญ่ใส่ทุกอย่างสากกะเบือยันเรือรบ ประเภทเป็นทั้งเป็นมือถือ ทั้งเครื่องเล่น mp3 อีกทั้งยังมีทีวี มีกล้อง มีบันทึกเสียง หรือแม้แต่ไฟฉาย ฯลฯ อยู่ในผลิตภัณฑ์ตัวเดียว

แต่จนแล้วจนรอดในที่สุด อาจเป็นเพราะศาสดาต้านพลังกระแสนิยมในตลาดไม่ไหว ช่วงหลังนโยบาย Apple จึงต้อง !! Change !! โดยเริ่มเห็นเค้าลางเมื่อครั้งมือถือปฏิวัติบันลือโลกอย่าง iPhone ได้ถือกำเนิดขึ้น ไอโฟน เป็นมือถือที่ใช้ระบบ Touch screen เครื่องแรกของโลก! ที่สามารถใช้เป็นเครื่องเล่น mp3 และเป็นคอมพิวเตอร์พกพาสามารถลงโปรแกรมต่างๆเพิ่มเติมเป็นอะไรได้อีกสารพัด และล่าสุด 2009 นี้ ก็ชัดเจนปราศจากข้อสังสัย เมื่อเครื่องเล่น Mp3 iPod Nano มีทั้งวิทยุ กล้องวิดิโอ รวมไปถึงไมโครโฟนในตัวแล้วนับเป็นการเปลี่ยนปรัชญาแนวคิดอย่างสิ้นเชิง!...จากเดิมนิยมแบบน้อยๆทำอะไรอย่างเดียว กลายเป็นนิยมแบบเยอะๆมากๆเข้าไว้(จึงมีการล้อเล่นกันพอหอมปากหอมคอ อย่างที่เห็นในวิดีโอคลิปด้านบน :) ฉะนั้น ศาสดา Jobs จึงต้องบัญญัติคำสอนเสียใหม่ว่า...

"การตัดสินใจที่สำคัญที่สุดของคุณนั้น คือสิ่งที่คุณตัดสินใจทำให้มากยิ่งๆขึ้นไปกว่าที่เป็นอยู่เดิม"...แต่มีข้อแม้ว่าทำออกมาแล้วต้องดูเท่ห์ล้ำกว่าคนอื่นนะ :)

คุณสมบัติ iPod Nano ล่าสุด(2009) เป็นมากกว่าเครื่องเล่น mp3

คาดว่าต่อไปผลิตภัณฑ์ต่างๆของ Apple ไม่ว่าจะเป็น มือถือ เครื่องเล่น Mp3 Notbook OS ฯลฯ คงเป็นผลิตภัณฑ์ที่มีการใช้งานได้แบบสากกะเบือยันเรือรบทำนองเดียวกับผลิตภัณฑ์ทั่วๆไปในท้องตลาด นโยบายใหม่ของ Apple จึงไม่ได้อยู่ที่การเป็นอุปกรณ์ที่เชี่ยวชาญชำนาญเฉพาะทางอย่างใดอย่างหนึ่งอีกต่อไป แต่ต้องเป็นอุปกรณ์สารพัดประโยชน์ครอบจักรวาลตามกระแสตลาด...จุดแข็งหรือเอกลักษณ์หลักของของ Apple จึงมิอาจอยู่ที่หน้าที่ใช้สอยเพราะเจ้าอื่นๆก็พัฒนาทำได้ไม่แพ้กัน แต่ต้องอยู่ที่ "Design" หมดจนทั้งตัวรูปลักษณ์ผลิตภัณฑ์ และรูปแบบหน้าตากราฟฟิค ที่เรียกว่า UI อันสอดคล้องลงตัวกับความลื่นไหลในการใช้งานแง่มุมต่างๆ...ปัจจุบัน Apple ยังคงมีจุดแข็งล้ำนำเจ้าอื่นในด้านนี้...ส่วนในอนาคตจะเป็นยังไงต่อ คงต้องจับตาดู เพราะทุกวันนี้การแข่งขันทวีความร้อนแรงยิ่งกว่าไฟในนรก! หลายค่ายเริ่มมีการพัฒนาผลิตภัณฑ์ของตนอย่างขึงขังโดยเฉพาะผลิตภัณฑ์ประเภท Smart Phone (บางเจ้าก็ Copy! หน้าตาและระบบ iPhone อย่างโจ๊งครึ้ม! ) ..แน่นอนงานนี้ Apple ในฐานะผู้นำนวัตกรรมคงต้องสู้สุดฝีมือ ล่าสุดหลังจากงาน Media Event...ได้ข่าวว่าตอนนี้ จ็อบส์ กำลังตั้งใจทำนวัตกรรมใหม่บางอย่างอยู่(คงไม่ใช่ iRack นะ) และแอปเปิลกำลังจะปล่อยของดีออกมาในไม่ช้านี้!

..............................

*** ปล. ถึงศาสนามีการเปลี่ยนปรัชญาหลักคำสอนไปบ้าง แต่ยังไงข้าพเจ้าก็ยังคงเป็นสาวก ศรัทธา ศาสดา Steve Jobs แห่งศาสนา Apple ไม่เสื่อมคลาย และจะปฏิบัติตามหลักคำสอนของ ศาสดา สตีฟ จ๊อบส์ อย่างเคร่งครัดต่อไป :D

วันอังคารที่ 8 กันยายน พ.ศ. 2552

อวตารปางมนุษย์ต่างดาว

"Avatar" หรือ "อวตาร" มาจากคติความเชื่อฮินดูว่าด้วยพระเจ้าโดยเฉพาะ "พระนารายณ์" ทำการแบ่งภาค ส่งจิตมาเกิดเป็นสิ่งมีชีวิตธรรมดาบนพื้นพิภพเพื่อวัตถุประสงค์บางประการ...อาจมาในรูปสัตว์ เช่น เต่า ปลา ฯลฯ แต่โดยส่วนใหญ่จะลงมาในร่างมนุษย์ เชื่อกันว่าในยุคนี้ พระนารายณ์อวตารมาแล้ว 9 ครั้ง เหลือครั้งสุดท้ายไม่รู้จะมาเมื่อไร(คงเร็วๆนี้ เผลอๆอาจ วนเวียนอยู่ในโลกเรียบร้อยแล้ว :) เรียกชื่อปางว่า "กัลกยาวตาร" หรือ "อวตารปางอัศวินขี่ม้าขาว" เพื่อปราบยุคเข็ญบนโลก... (ถ้าสนใจลองดูเรื่องเก่าหัวข้อ นารายณ์อวตารครั้งสุดท้าย )

"Avatar" หนังใหม่เคยสร้างเป็นฉบับ Game มาก่อน และนำมาทำเป็นฉบับ Film ด้วยทุนสร้างสูงมหาศาล ที่กำหนดเข้าฉายในเดือน ธันวา 2009 นี้ ผู้กำกับคนเดียวกับภาพยนตร์โด่งดังระดับตำนานอย่าง Aliens, Terminator 2, และTitanic นั้นคือ "James Cameron-เจมส์ คาเมรอน"

เมื่อมนุษย์โลกต้องการบุกรุกยึดครองดาวชื่อ "Pandora-แพนโดรา" อันเป็นดาวประเภทดวงจันทร์อันไกลโพ้นดวงหนึ่ง อุดมไปด้วยป่าไม้เขียวขจี สิ่งมีชีวิตแปลกตานานาพันธุ์ และทรัพยากรอุดมสมบูรณ์...ดาวแพนโดรา มีสิ่งมีชีวิตที่ใกล้เคียงกับมนุษย์อาศัยอยู่คือ ชาว"เนวี่" ...พิจารณาจากกายภาพแล้ว ชาวเนวี่ คงมีศักยภาพ-สมรรถนะหลายอย่างดีกว่ามนุษย์เรามาก สูงประมาณ 3 เมตร ตาเป็นประกาย ผิวสีฟ้า มีหาง ใช้ชีวิตพออยู่พอกินกลมกลืนกับธรรมชาติ แต่ศักยภาพของสมองในการคิดค้นเทคโนโลยี-นวัตกรรมและโดยเฉพาะด้านจิตใจในแง่ความโหดเถื่อน-ละโมบ-ความเล่ห์กระเท่เห็นแก่ตัว ฯลฯ คงอ่อนด้อยล้าหลังห่างชั้นกว่ามนุษย์เราอยู่หลายขุม(กระมัง :)

และเมื่อมนุษย์ทดลองโปรเจคสุดล้ำที่ชื่อ "Avatar Project" ไม่ใช่การทดลองกับการอวตารของพระเจ้าอย่างในคติฮินดู แต่เป็นการอวตารของมนุษย์เสียเอง! นั้นคือการย้ายจิตมนุษย์ไปอยู่ในกายอื่น เสมือนการได้เกิดใหม่!...นายทหารนาวิกโยธินผ่านศึกที่เคยได้รับบาดเจ็บจากสงครามจนเกิดเป็นอัมพาตครึ่งตัวเดินไม่ได้ นามว่า "Jake Sully-เจค ซัลลี่" ได้เข้าร่วมโครงการ Avatar นี้ แล้วก็ประสบผลสำเร็จ สามารถย้ายจิตไปอยู่ในร่าง ชาวเนวี่! มันจึงเหมือนการมีชีวิตใหม่ ทำให้เขากลับมาเดินได้อีกครั้งและสามารถอยู่ในสภาพแวดล้อม-สภาพอากาศของดาวแพนโดราได้อย่างสบาย จึงได้รับมอบหมายให้ประกอบภาระกิจสำคัญ คือเป็น Spyสอดแนม-รับหน้าที่บุกนำร่อง-สำรวจดาวแพนโดรา เพื่อมนุษย์จะได้ทำการยึดครองต่อไป ส่วนชาวเนวี่ ก็ตระหนักถึงภัยของเผ่ามนุษย์โลกที่ทำกำลังย่างกรายเข้ามานี้และก็พยายามตระเตรียมรับมือรับต่อสู้เต็มความสามารถ แต่ก็หารู้ไม่ว่า เจค คือ หนอนบ่อนไส้! ที่พรางตัวมา!

แต่เมื่อ เจค ซัลลี่ อันมีกายเป็นชาวเนวี่แล้วนั้นได้คลุกคลีเป็นแคลนเดียวกับชาวเนวี่ นานวันเข้าจึงรู้สึกผูกพันและเห็นใจมนุษย์ต่างดาวเผ่านี้ และที่เป็นปมเขื่องใหญ่สุดคือ... เจค เกิดพบรักกับ สาวชาวเนวี่ นางหนึ่ง!

จากข้อมูลเบื้องต้นเท่าที่มี (Wikipedia และ เว็บต่างๆ) +ตัวอย่างหนัง ถึงพล็อตโครงเรื่องจะดูเป็นมุขเดิมๆที่ใช้กันเกร่อแล้วในหนังทั่วไป แต่ดูจากหนังตัวอย่าง VFX คงอลังการตื่นตาตื่นใจไม่น้อย น่าจะคุ้มกับเงินค่าตั๋ว???...นอกจากความบันเทิงแล้ว ในรายละเอียดคิดว่าหนังคงแฝงหรือสะท้อนนัยยะอะไรบางอย่างเป็นเครื่องบรรณาการทางปัญญาแด่ท่านผู้ชมอีกบ้างด้วย ก็ขึ้นอยู่กับแต่ละคนจะตีความในมุมไหน...เท่าที่คิดเองเออเองไปก่อนส่วนตัว ณ ตอนนี้ ก็อาทิ

- หนังเรื่องนี้ได้สะท้อนสัจธรรมอันโหดร้ายของวิถีชีวิตสปีซีส์ต่างๆในเชิงทฤษฎีวิวัฒนาการ"สปีชีส์ที่แข่งแกร่งกว่าย่อมครอบงำ-ทำลายผู้อ่อนแอเสมอ"

- สะท้อนความเป็นจริงทางประวัติศาสตร์มนุษยชาติยุคใกล้อันสืบเนื่องจากความเชื่อมั่นในหลักการอันชอบธรรมในทฤษฏีวิวัฒนาการของดาร์วิน มนุษย์โลกบุกรุกดาวแพนโดราในเรื่อง Avatar ก็เป็นไปในทำนองเดียวกับ เมื่อชาวยุโรปค้นพบเทคโนโลยีนวัตกรรมใหม่คือปืนไฟ-เรือกลไฟและเครื่องจักรไอน้ำโดยเฉพาะเผ่าอังกฤษ-ฝรั่งเศส ด้วยเห็นว่าตนแข็งแกร่งแล้วจึงฮึกเหิมออกล่าอาณานิคมปล้นฆ่าชิงแผ่นดินสูบทรัพยากรคนอื่นไปทั่วโลก!ในนามของพระเจ้า ความศิวิไลซ์ และการค้าเสรี และขยายวงไปจนถึงปฏิบัติการบุกรุกยึดแผ่นดินอเมริกาปล้นฆ่าล้างโคตรเผ่าอินเดียแดง! รวมไปถึงเผ่าอะบอริจิ้นในทวีปออสเตรเรีย, ทั้งกวาดต้อนนิโกรในทวีปแอฟริกามาใช้เป็นทาส ฯลฯ จนพวกฝรั่งตะวันตกกลายเป็นใหญ่เป็นโต เป็นเจ้าโลกสืบเนื่องเรื่อยมาจนถึงทุกวันนี้ (มองในกรอบ ทฤษฎีวิวัฒนาการแบบตะวันตก การที่ผู้แข็งแกร่งจะบุกยึดทำลายข่มเหงใครนั้นก็เป็นความชอบธรรมตามธรรมชาติอยู่แล้ว แต่ถ้ามองในกรอบ "กฏแห่งกรรม" หรือ ธรรมะแบบโลกตะวันออก พวกฝรั่งเจ้าโลก หรือ พวกมนุษ์โลกในหนัง นับว่าชั่วช้าสามานย์ป่าเถื่อนเป็นอย่างยิ่ง คงต้องได้รับผลกรรมที่ตนได้ก่อไว้ย้อนกลับอย่างแน่นอนในภายภาคหน้า จะช้าหรือเร็วเท่านั้นเอง!!)

- ตัวเอกที่ชื่อ นายเจค สะท้อนถึงผู้ที่มีความขัดแย้งของการมีใจอย่างแต่กายเป็นอีกอย่าง - รวมทั้งสะท้อนสถานะการณ์อันแสนพะอืดพะอมกลืนไม่เข้าคายไม่ออก เมื่อต้องตัดสินใจเลือกข้างหรือการจำต้องเลือกบางอย่างโดยการทิ้งอีกอย่าง ก่อให้เกิดคำถามเกี่ยวเนื่องต่อมาว่า กายเป็นายเหนือจิต? หรือจิตเป็นนายเหนือกายกันแน่?

ท้ายที่สุด...งานนี้ นายเจค ตัวเอกในเรื่องผู้มีจิตเป็นมนุษย์แต่กายเป็นมนุษย์ต่างดาว จะคลี่คลายปมในใจออกมารูปแบบใด-จะเลือกข้างไหน? เนื้อเรื่องเต็มๆจะมี Surprise หักมุมอะไรหรือไม่? จะลงเอยอย่างไร?...และถ้า เจค ช่วยรักษาเผ่าพันธุ์ชาวเนวี่เอาไว้ให้ปลอดภัยจากเงื้อมมือมนุษย์ผู้ละโมบได้ เขาก็สมกับได้ชื่อว่า เป็น Avatar ผู้อวตาร มาเพื่อต่อสู้กับฝ่ายอธรรม ช่วยปราบยุคเข็ญปกป้องคุ้มภัยผู้บริสุทธิ์! ตามคติฮินดู

...หลังจากประสบความสำเร็จถล่มทลายจากเรื่องล่าสุด Titanic ที่ออกฉายในปี1997 ผู้กำกับ คาเมรอน ก็หายหน้าหายตาไปเงียบๆเป็นเวลานับ 10 กว่าปี กลับมาเรื่องนี้ "Avatar" เป็นแนว Sci-Fi อีกครั้ง...ผู้ชมคาดหวังสูงสุดขีดเดิมพันด้วยชีวิตและชื่อเสียงที่ผ่านมาของผู้กำกับ!(ผมเองที่คาดหวัง 55) เพราะได้ข่าวผู้กำกับคาเมรอน กะไว้ว่าจะให้หนังเรื่องนี้เป็นที่ประทับใจกล่าวขวัญไปอีกนานนับสิบสิบปี ให้เป็นตำนานไม่แพ้ Terminator 2 และ Titanic เรียกว่า ท่านให้ความหวัง(โม้)ไว้มาก ฮา!... ในหนังจะมีอะไรที่น่าสนใจคุ้มค่าแก่การรอคอย ควรค่าแก่การจดจำและกล่าวขวัญไปถึงอีกเป็นสิบสิบปีหรือ?...คงต้องไปติดตามดูในหนังฉบับเต็มๆสมบูรณ์แบบ ส่วนในที่สุดผู้ชมจะสมหวังหรือผิดหวัง เดี๋ยวจะได้รู้กัน :)

วันเสาร์ที่ 5 กันยายน พ.ศ. 2552

กุฏิกลมๆ?บนต้นไม้

"Free Spirit Spheres Treehouses"

ไอเดียของบ้านลูกกลมๆ "Free Spirit Sphere" นี้ เกิดจากนักประดิษฐ์ ชาวแคนาดานามว่า "Tom Chudleigh" เพื่อที่จะใช้เป็น กุฏิพักผ่อน-ปลีกวิเวก-ทำสมาธิส่วนตัว(ทำสมาธิจริงๆ ไม่ได้ล้อเล่น) แล้วต่อมาจึงมีการพัฒนาทำเป็นธุรกิจให้เช่าพักผ่อนและขายเป็นสินค้า

โครงสร้างถอดประกอบขนย้ายได้ การติดตั้งโดยผูกเชือกแขวนกับต้นไม้ มีการคำนวณความมั่นคงและความปลอดภัยไว้เป็นอย่างดี แกว่งเพียงเล็กน้อยเฉพาะเมื่อมีการแกล้งกระโดนหรือขย่ม...

บ้านกลมๆ Free Spirit Sphere มี 2 ขนาด คือ

1.เส้นผ่าศูนย์กลาง 9ฟุต หรือ 2.7เมตร เรียกว่า "Eve" สำหรับพัก 1 คน ประกอบด้วย 1 เตียงนอน พร้อมด้วยพื้นที่นั้งเล่น เคาท์เตอร์ มุมครัวเล็กๆและตู้เก็บของ

2.เส้นผ่าศูนย์กลาง 10.5ฟุต หรือ 3.2 เมตร หนักประมาณ 500 กิโล เรียกว่า "Eryn" สำหรับพัก 3 คน คือ มี เตียงคู่ 1 เตียง กับที่นอนแบบบนชั้นลอย 1 พร้อมด้วย พื้นที่นั้งเล่น เคาท์เตอร์ มุมครัวเล็กๆและตู้เก็บของ เช่นเดียวกับขนาดแรก

ทั้ง 2 แบบนี้ สามารถติดตั้งเสร็จภายใน 1 วันโดยใช้คน 3 คน และเมื่อรื้อถอนก็ปราศจากร่องรอยใดๆ(เพราะใช้เชือกผูกล้วนๆ) มีจัดให้เช่าพัก ในพื่นที่ป่าแหล่งท่องเที่ยวบนเกาะแวนคูเวอร์ ประเทศแคนาดา สนนราคาค่าบริการที่ $125 หรือ 4 พันกว่าบาทต่อคืน และหากต้องการเป็นเจ้าของไปติดตั้งเป็นส่วนตัวก็สามารถซื้อได้...โดยแบบวัสดุไฟเบอร์กลาส ราคาที่ $45,000 หรือประมาณ 1ล้าน5แสนบาท!!!...และถ้าเป็นแบบไม้ราคาที่ $150,000 หรือแค่ 5 ล้าน2แสนกว่าๆ เองนะ...+_+

การขนย้ายบ้านกลมๆ+อุปกรณ์ประกอบทั้งใหม่ ใช้รถกระบะ 1 คัน ขนเที่ยวเดียวหมด

สนใจรายละเอียดเพิ่มเติมไปที่ http://www.freespiritspheres.com/

วันพุธที่ 2 กันยายน พ.ศ. 2552

มาท-ติส-ยา-ฮู้


ใหม่ล่าสุด 2009 ของ Matisyahu อัลบั้ม "Light"


"all my live I've been waiting for ตลอดช่วงชีวิต ฉันรอคอย

I've been praying for ฉันสวดมนต์

for the people to say เพื่อมวลชนได้พูดว่า

that we dont wanna fight no more เราจะไม่สู้รบกันอีก

they'll be no more wars มันจะไม่เกิดเป็นสงครามอีกต่อไป

and our children will play...One Day" และเด็กๆของเราจะได้เล่นกัน...สักวันหนึ่ง

จากเพลง "One day" บางตอน

Matisyahu หรือ มาท-ติส-ยา-ฮู้ (ภาษาฮิบรู) ศิลปินยิวอเมริกัน หน้าตาออกไปทาง บิน ลาเดน! ฮึๆๆ...เป็น Hasidic Judaism??? ศาสนายูดายลัทธินี้เป็นยังไงก็ไม่รู้เหมือนกัน...รู้แต่ว่าศาสนายูดาย (Judaism) เกิดก่อนคริสต์ศาสนาที่ดินแดนปาเลสไตน์ในประเทศอิสราเอล เป็นหนึ่งในศาสนาที่เก่าแก่ที่สุดในโลก ที่ยังคงดำรงอยู่จนถึงทุกวันนี้ มีพระเจ้าองค์เดียวกับ ศาสนาคริสต์และ ศาสนาอิสลาม คือ พระยาเวห์ มีศาสดา คือ โมเสส และคัมภีร์ทางศาสนา คือ โตราห์ หรือ คัมภีร์พระธรรมเก่า...เพลงของ Matisyahu เป็นแนว Reggae และเพิ่งออกอัลบั้มใหม่ล่าสุด 2009 อัลบั้มที่ชื่อว่า "Light"

ได้ลองฟังหมดทุกเพลงแล้ว..ส่วนตัวคิดว่า สู้ชุดที่แล้ว อัลบั้ม"Youth" ไม่ได้ แต่โดยภาพรวมก็ยังโอเคนะ ยังพอได้อยู่ อย่างเพลง "One love" เนื้อหาดี-ทำนองเท่ห์-เพลินๆ(วิดิโอคลิปข้างบน)... และหากถ้าย้อนกลับไปกล่าวถึงอัลบั้มที่แล้ว"Youth"นั้น ต้องบอกว่า ชุดนี้สุดยอดยกอัลบั้ม โดยเฉพาะ เพลง "King Without a Crown", เพลง"Time of Your Song" และ เพลง"Jerusalem"...หากชอบฟังเพลงแนว Reggae แต่ยังไม่รู้จัก Matisyahu ลองหามาฟังเล่นๆดู เนื้อหาอาจมีเกี่ยวกับพระเจ้า การเมืองอิสราเอล-ปาเลสไตล์ บ้าง ก็ให้แง่มุมการแต่งเนื้อหาเพลงอีกมุม, ส่วนท่วงทำนองจังหวะจะโคนนั้นบันเทิงไม่ใช่น้อย เรกเก้แบบโมเดิ้ลโมเดิ้ล... :)

อัลบั้ม "Youth" (2006) เจ๋งยกอัลบั้ม :)