Heal The World Make It A Better Place
For You And For Me And The Entire Human Race
There Are People Dying
If You Care Enough For The Living
Make A Better Place For You And For Me
เยี่ยวยาโลกของเรา ทำให้มันน่าอยู่ยิ่งขึ้น
เพื่อคุณและเพื่อผม และเพื่อเพื่อนมนุษย์ทั้งมวล
มีผู้คนมากมายที่กำลังจะตายจากไป
แต่ถ้าคุณใส่ใจต่อการอยู่ร่วมกันมากพอ
ทำให้มันน่าอยู่ยิ่งขึ้น เพื่อคุณและเพื่อผม
เนื้อหาท่อนท้ายๆของเพลง "Heal the world"
โดย "Michael Jackson"
.......
ในอนาคตจะมีศิลปิน ราชันย์เพลงป็อบคนใหม่! ที่สร้างสรรค์ผลงานดนตรี-เนื้อร้อง-มิวสิควิดีโอและการแสดงท่าเต้นบนเวทีคอนเสิร์ตได้เลิศเฉียบขาด-สุดขีดได้เทียบเท่าหรือได้สุดยอดไปกว่าที่ ไมเคิล แจ็คสัน ได้ทำไว้หรือไม่...ถ้ามีก็แสดงว่า...คนนั้นต้องเป็นคนที่พระเจ้าส่งมา!! ;]
ไมเคิล แจ็คสัน เยือนกรุงเทพ ปี1993 เพื่อแสดงคอนเสิร์ต "Dangerous"
...................................................
- บทสัมภาษณ์พิเศษ -
Ophra Winfrey สัมภาษณ์ Michael Jackson
ค.ศ.1993
(ตัดตอนมาเฉพาะบางช่วง) หากสนใจฉบับเต็ม(ภาษาอังกฤษ) ไปที่ http://www.allmichaeljackson.com/interviews/oprahinterview.html
Episode 1 : idol ของ idol
Oprah: I saw you laugh when you saw yourself singing "Baby, Baby, Baby"
โอปราห์ : ฉันเห็นคุณหัวเราะเมื่อคุณเห็นตัวเองร้อง... "เบบี้ เบบี้ เบบี้"(ดูวิดีโอคอนเสิร์ตเก่าของตัวเองตอนเด็กร้องเพลง I GOT THE FEELIN ของเจมส์ บราวน์)
Michael: Yeah, I think James Brown is a genius, you know, when he's with the Famous Flames, unbelievable. I used to watch him on the television and I used to get angry at the camera-man because whenever he would really start to dance they would be on a close-up so I couldn't see his feet. I'd shout "show him, show him", so I could watch and learn.
ไมเคิล : ผมว่า "เจมส์ บราวน์" คืออัจฉริยะ เมื่อเขาโด่งดังร้อนแรงสุดขีด มันเหลือเชื่อมาก ผมเคยดูเขาในทีวี(ตอนยังเด็ก)และเคยรู้สึกโกรธตากล้อง เพราะเมื่อเขาเริ่มเต้น กล้องถ่ายซูมเข้าไปใกล้ตัวเขา ผมเลยไม่เห็นสเต็ปเท้า(การเคลื่อนไหว) ผมตะโกน โชว์เขา โชว์เขา เพื่อผมจะได้เห็นและได้เรียนรู้(วิธีเต้นแบบนนั้น)
"GodFather of Soul" หรือ "เจ้าพ่อเพลงโซล-เจมส์ บราวน์" แรงบัลดาลใจ-ต้นแบบของ ราชันย์เพลงป็อป
เจ้าพ่อเพลงโซล - ราชันย์เพลงป็อบ บนเวทีเดียวกัน
Oprah: So he was a big mentor for you?
โอปราห์ : เรียกว่าเขาเป็นครูพี่เลี้ยงของคุณเลยใช่ไหม?
Michael: Phenomenal, phenomenal.
ไมเคิล : ที่สุดของที่สุด ยื่งใหญ่ครับ
Oprah: Who else was?
โอปราห์ : มีคนอื่นอีกไหม?
Michael: Jackie Wilson, who I adore as an entertainer, and of course music, Motown. The Bee Gees who are brilliant, I just love great music.
ไมเคิล : "แจ็คกี้ วิลสัน" ผมเทิดทูนเขาในฐานะศิลปินผู้สร้างความบันเทิง และแนวดนตรีในโมทาวน์(ค่ายเพลงยุคนั้น) และก็มี วง "บีจี" เขาแจ่มมาก ผมชอบดนตรียิ่งใหญ่
...................................................
Episode 2 : กรณีสีผิว
Oprah: OK, then let's go to the thing that is most discussed about you, that is, the color of your skin...is most obviously different than when you were younger, and so I think it has caused a great deal of speculation and controversy as to what you have done or are doing, are you bleaching your skin, and is your skin getting lighter because you don't like being black
โอปราห์ : โอเค ไปเรื่องที่มีการกล่าวถึงกันมากเกี่ยวกับตัวคุณ, เรื่องสีผิว...มันแตกต่างอย่างชัดเจนมากเมื่อเทียบกับเมื่อก่อน, มีการถกเถียง-คาดเดากันไปต่างๆนานาเกี่ยวกับเรื่องนี้ว่าคุณไปทำอะไรมา, คุณไปฟอกผิวมาใช่ไหม คุณจึงขาวขนาดนี้ เหตุเพราะคุณไม่ชอบการเป็นคนดำใช่หรือไม่
Michael: Number one, as far as I know of there is no such thing as skin bleaching. I have never seen it, I don't know what it is
ไมเคิล : ประการแรก ผมไม่มีอะไรเกี่ยวกับการฟอกผิวเลย ผมไม่เคยเห็นไม่รู้ว่ามันคืออะไร
Oprah: Well they used to have those products, I remember growing up always hearing "always use bleach and glow", but you have to have about 300,000 gallons
โอปราห์ : ได้ยินมาตลอดว่า มีผลิตภัณฑ์ ใช้ฟอกให้ขาวขึ้น และคุณต้องใช้ถึงสามแสนแกลลอน.
Michael: OK, but number one, this is the situation. I have a skin disorder that destroys the pigmentation of my skin, it's something that I cannot help, OK? But when people make up stories that I don't want to be what I am it hurts me.
ไมเคิล : โอเค ประการแรก สถานะการณ์นี้ก็คือ ผมมีโรคผิวหนัง มันทำลายเซลล์เม็ดสีผิว(โรคชนิดหนึ่งที่ทำให้มีสีผิวไม่สม่ำเสมอบางส่วนขาวเป็นด่างคล้ายๆเกลื้อน) มันเป็นอะไรที่สุดวิสัย แต่เมื่อได้ยินคนพูดกันว่า ผมไม่ต้องการเป็นคนดำอย่างที่ผมเป็น...มันเป็นเรื่องทำร้ายจิตใจผมอย่างมาก
โรคผิวหนังชนิดหนึ่งที่ทำให้มีสีผิวไม่สม่ำเสมอบางส่วนขาวเป็นด่างคล้ายเป็นเกลื้อน! คล้ายผิวที่โดนไฟ้ไหม้น้ำร้อนลวก!...ไมเคิลอ้างว่าเขาเคยเป็นโรคทำนองนี้ !! ประวัตศาสตร์การเปลี่ยนแปลงใบหน้าของ ไมเคิล แจ็คสัน!!
Oprah: So it is... โอปราห์ : แล้วมัน...
Michael: It's a problem for me that I can't control...but what about all the millions of people who sit out in the sun, to become darker, to become other than what they are. No one says nothing about that.
ไมเคิล : มันเป็นปัญหาที่ผมไม่สามารถควบคุมได้ แล้วเรื่องที่หลายล้านคนไปนั้งตากแดดเพื่อให้เข้มขึ้นล่ะ เขากลายเป็นอย่างอื่นที่ไม่ใช่ตัวเขา ไม่เห็นมีใครวิจารณ์เรื่องนี้เลย
Oprah: So when did this start? When did your...when did the color of your skin start to change?
โอปราห์ : นี้เริ่มขึ้นเมื่อไร ที่สีผิวของคุณเริ่มเปลี่ยน?
Michael: Oh boy, I don't....sometime after Thriller, around Off The Wall, Thriller, sometime around then.
ไมเคิล : โอ้! น้อง, ผมไม่...ประมาณช่วงหลังอัลบั้ม Thriller หรือ Off The Wall ประมาณช่วงนั้น
Oprah: But what did you think? โอปราห์ : แต่คุณคิดอะไร?
Michael: It's in my family, my father said it's on his side. I can't control it, I don't understand. I mean it makes me very sad. I don't want to go into my medical history because that is private, but that's the situation here.
มันอยู่ในครอบครัวของผม(เป็นกรรมพันธุ์) พ่อผมเคยบอกว่าเขาก็เป็น ผมไม่สามารถควบคุมมัน ผมไม่เข้าใจ ผมหมายถึงมันทำให้ผมเศร้ามาก ผมไม่อยากไปคุยในเรื่องที่ผ่านมาเกี่ยวกับการรักษาของผม เพราะมันเป็นเรื่องส่วนตัว แต่สถานะการณ์ก็เป็นอย่างนี้แหละ
ไมเคิล กับ พ่อ
โอปราห์ : โอเค...ฉันแค่อยากจะเข้าใจมันแบบตรงไปตรงมา คุณไม่ได้ทำอะไรเกี่ยวกับการเปลี่ยนสีผิวของคุณเลยกระนั้นหรือ?
...................................................
โอปราห์ : ฉันจำเป็นต้องถามคุณ, บรรดาตัวแม่ท่านผู้ชมขอให้ถามคำถามนี้ ทำไมคุณต้อง(เต้น)ลูบเป้า?
Michael: (giggels) Why do I grab my crotch?
ไมเคิล : คิ๊กๆๆๆ(หัวเราะ) ทำไมผมลูบเป้า?
Oprah: You've got a thing with your crotch going on there.
โอปราห์ : เกี่ยวอะไรกับเป้าของคุณ
Michael: I think it happens subliminally. When you're dancing, you know, you are just interpreting the music and the sounds and the accompaniment. If there's a driving base, if there's a chello, if there's a string, you become the emotion of what the sound is. So if I'm doing a movement and I go "Bam" and I grab myself it's...it's the music that compels me to do it. It's not that I'm saying that I'm dying to grab down there and it's not in a great place, you don't think about it, it just happens. Sometimes I'll look back at the footage and I go...and I go, "Did I do that?", so I'm a slave to the rhythm,...yeah, OK
ไมเคิล : ผมว่ามันเกิดขึ้นแบบบริสุทธิ์ เมื่อคุณกำลังเต้น คุณกำลังแปลความของดนตรีและเสียงและได้คล้อยตามไป มีเสียงเบส มีเชลโล มีเครื่องสาย คุณก็จะกลายเป็นอารมณ์ที่เสียงนั้นเป็น ดังนั้นเมื่อผมกำลังเต้นและไปที่จุด "แบ้มมมม"(ทำเสียงดนตรี) ผมก็คว้าจับตัวผมเอง มันเป็น...มันเป็นเพราะดนตรีทำให้ผมทำเช่นนั้น มันไม่ได้หมายความว่า ผมคลั่งใคร่ชอบที่จะลูบคลำลงไปที่นั้น และมันก็ไม่ใช่จุดสำคัญอะไร, คุณอย่าไปคิดอะไรเกี่ยวกับมันให้มากเลย, มันแค่เกิดขึ้นมา บางครั้งผมก็กลับมาดูวิดีโอและผมเห็นผมไป...และผมไปกันใหญ่แล้ว ผมทำอย่างนั้นได้ไง, นั้นคือผมเป็นทาสของจังหวะดนตรีนะ..เย้,โอเค๊นะครับ
...................................................
Episode 4 : ที่มาท่าเต้นMoonwalk
ที่สุดของที่สุด! ตำนาน MoonWalker บันลือโลก!
Oprah: how you conceive the dance. Where did the moonwalk come from?
โอปราห์ : คุณคิดท่าเต้นยังไง...คุณได้ท่าMoonwalkมาจากไหน?
Michael: Well, the moonwalk came from these beautiful children, the black kids who live in the ghettos, the inner cities, who are brilliant, they just have that natural talent for dancing. Any of these new - the running man - any of these dances, theycome up with these dances, all I did was enhance the dance.
ไมเคิล : Moonwalker มาจากเด็กๆน่ารักเหล่านี้แหละ(ขณะสัมภาษณ์มีเด็กๆวิ่งเล่นอยู่รอบๆ) เป็นเด็กๆผิวดำอยู่ในภายในเมืองย่านชนกลุ่มน้อย(คนดำ) พวกเขาเจ๋งจริง พวกเขามีพรสวรรค์ในการเต้นออกมาตามธรรมชาติ เป็นอะไรที่สดใหม่มาก มันมาจากการเต้นเหล่านี้แหละ ผมเอามาพัฒนาต่อยอดอีกที
...................................................
Episode 5 : สูญเสียชีวิตในวัยเด็ก!
Michael: Well, especially now I come to realize - and then - I would do my schooling which was three hours with a tutor and right after that I would go to the recording studio and record, and I'd record for hours and hours until it's time to go to sleep. And I remember going to the record studio and there was a park across the street and I'd see all the children playing and I would cry because it would make me sad that I would have to work instead.
ไมเคิล : ครับโดยเฉพาะ ตอนนี้เมื่อผมย้อนนึกถึงเมื่อก่อน ผมจะต้องทำการบ้านประมาณ 3 ชั่วโมงกับติวเตอร์ และหลังจากนั้นผมจะไปที่ห้องบันทึกเสียง และจะต้องอัดเสียงเป็นเวลาหลายชั่วโมงไปจนถึงเวลาเข้านอน และผมจำได้ว่าที่ห้องบันทึกเสียงจะมีสวนอยู่ตรงข้ามอีกฟากของถนน และผมก็เห็นเด็กๆเล่นกัน ผมร้องไห้เพราะมันเศร้าจริงๆที่ผมกลับจะต้องมาทำงานแทน
Oprah: losing your childhood or having this kind of life?
โอปราห์ : เป็นการสูญเสียความเป็นเด็กหรือการมีชีวิตแบบนั้นหรือ?
ไมเคิลกับพี่น้องในวัยเยาว์ ในนาม "Jackson 5"
Michael: Well, you don't get to do things that other children get to do, having friends and slumber parties and buddies.There were none of that for me. I didn't have friends when I was little. My brothers were my friends.
ไมเคิล : ครับ กรณีคุณไม่เคยทำสิ่งที่เด็กๆเขาได้ทำกัน การมีเพื่อน การพักผ่อนการมีงานปาร์ตี้และมีคู่หู ผมไม่มีใครเลย ผมไม่มีเพื่อน มีแค่พี่น้องเท่านั้นที่เป็นเพื่อนผมเมื่อตอนยังเด็ก
Michael: ...because I didn't have it then, I compensate for that. People wonder why I always have children around, becasue I find the thing that I never had through them, you know Disneyland, amusement parks, arcade games. I adore all that stuff because when I was little it was always work, work, work from one concert to the next. If it wasn't a concert it was the recording studio, if it wasn't that it was TV shows or picture sessions. There was always something to do.
ไมเคิล : ผมไม่เคยมีชีวิตแบบนั้นเลย ผมชดเชยสิ่งที่ขาดหายไป คนทั่วไปคงประหลาดใจว่าทำไมผมจึงมักมีเด็กๆห้อมล้อมเสมอๆเพราะว่าชีวิตผมไม่เคยผ่านสิ่งเหล่านั้น คุณรู้จักดิสนีย์แลนด์ สวนสนุก ตู้เกมส์ ผมบูชาสิ่งเหล่านี้ เพราะเมื่อผมยังเด็ก ผมต้องทำงาน ทำงาน ทำงาน จากคอนเสิร์ตหนึ่งไปอีกคนเสิร์ตหนึ่ง ถ้าไม่มีคอนเสิร์ต ก็เข้าห้องอัดเสียง ถ้าไม่มีอะไรทำนองนั้นก็ไปออกรายการทีวี-ถ่ายภาพ มีภาระต้องทำตลอด...
ทำงานเป็นศิลปินนักร้องร่วมกับพี่น้องตั้งแต่เด็ก
Oprah: so I mean to all of us we thought this was the most wonderful thing in the world, who wouldn't have wanted that life?
โอปราห์ : ฉันว่า เราทุกคนคิดว่านี้เป็นสิ่งที่เป็นที่สุดแล้วในโลก ใครบ้างไม่ต้องการชีวิตแบบนั้น(หมายถึงการมีชื่อเสียงโด่งดัง)
Michael: It was wonderful, there's a lot of wonderment in being famous. I mean you travel the world, you meet people, you go places, it's great. But then there's the other side, which I'm not complaining about. There is lots of rehearsal and you have to put in a lot of your time, give a lot of yourself.
ไมเคิล : ครับมันน่าอัศจรรย์ มีหลายสิ่งที่น่าตื่นเต้นในการมีชื่อเสียงโด่งดัง ผมหมายถึงการได้ทัวร์ท่องโลก ได้เจอผู้คน ได้ไปที่ต่างๆมากมาย มันสุดยอดมากครับ แต่อีกด้านหนึ่งซึ่งผมไม่เคยโอดครวญให้ใครรู้ นั้นคือ คุณต้องมีการซ้อมอย่างมาก คุณต้องอุทิศเวลาของคุณ ต้องทุ่มเทตัวคุณลงไปอย่างหนัก.
...................................................
.......