วันศุกร์ที่ 20 มีนาคม พ.ศ. 2552

ศาสนาเศรษฐกิจ


"เศรษฐกิจ" คำนี้ครอบคลุมความหมายกว้างขวางมาก พูดให้ฟังง่ายๆก็ประมาณ
กิจกรรมอันเกี่ยวกับ การบริหาร-การแบ่งปัน-การแลกเปลี่ยนทรัพยากร, การค้า, การซื้อ, การขาย, การลงทุน, การผลิต, การจ้าง, เงินตรา, การส่งออก-นำเข้า, การกระจายรายได้ เป็นต้น สรุปสั้นๆว่าคือ "การทำมาหากิน" ก็ได้

ยุคปัจจุบันดูเหมือนว่า "เศรษฐกิจ" จะเป็นกิจกรรมสำคัญที่สุดในชีวิตมนุษย์ไปแล้ว!! สำคัญยิ่งกว่าอะไรทั้งหมด สำคัญกว่าแม้แต่ ศาสนา!! อาจจะมองถึงขั้นที่ว่า ศีลธรรม ศาสนา หรือกิจกรรมใดๆก็ตามล้วนแต่มีจุดมุ่งหมายไปรับใช้ เศรษฐกิจ ทั้งสิ้น เศรษฐกิจต้องมาก่อน ถ้าเศรษฐกิจไปได้ราบรื่น ทุกอย่างก็จะดีไปเอง ??? (คนที่คิดเช่นนี้มักถูกเรียกแกมด่าว่า เป็นพวก "Homo Economicus" หรือ "!! พวกสัตว์เศรษฐกิจ !!" นั้นคือ นิดๆหน่อยก็คิดเป็นเงินเป็นทองกำไรขาดทุนไปหมด น้ำจิตน้ำใจ การเอื้อเฝื้อแบ่งปัน ไม่มีเลย) อาจพูดเล่นลิ้นได้ว่า เศรษฐกิจ เป็น ศาสนาที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกก็ว่าได้ โดยผู้ที่รับบทพระเจ้าในศาสนานี้ก็คือ "เงิน" ทุกคนต้องนับถือ "ศาสนาเศรษฐกิจ" จะโดยรู้ตัวหรือไม่รู้ตัว หรือโดยเต็มใจหรือไม่เต็มใจก็ตาม เพราะหากไม่มี เศรษฐกิจ กิจกรรมของชีวิตมนุษย์ทั้งหมดจะหยุดชะงักทันทีและส่งผลให้เกิดอาการ ขาดแคลนทรัพยากร ไม่มีกินมีใช้หรือไม่พอกินพอใช้ ทั้งในระดับส่วนบุคคล จนถึงระดับชาติ ที่เรียกกันทั่วไปว่าเกิดภาวะ"เศรษฐกิจตกต่ำหรือถดถอย"หรือถึงขั้น เศรษฐกิจล่มสลาย!!

และแม้แต่ผู้ที่ได้ชื่อว่า สมถะ สละโลกแล้วอย่าง พระ-บาทหลวง-ฤาษีชีไพร ก็ต้องมีระบบเศรษฐกิจอย่างใดอย่างหนึ่ง เพื่อหล่อเลี้ยงให้ตน วัด หรือคณะของตนอยู่ได้ อย่างน้อยก็ให้มีกินมีใช้เพียงพอกับความต้องการที่จำเป็นในแต่ละวันแต่ละเดือน อาจจะอยู่ในรูปแบบทางตรงคือ ขอบิณฑบาต เรี่ยไรชาวบ้านให้ช่วยบริจาค หรือทางอ้อมเช่น การที่พระต้องทำการใบ้หวย ดูโชคชะตา ปลุกเสกวัตถุมงคล ประกอบพิธีกรรม หรือทำหน้าที่สืบทอดพระศาสนา เทศนาสั่งสอนธรรมช่วยใช้ชาวบ้านจิตใจสงบอยู่ในศีลธรรมอันดีงาม และชาวบ้านที่ศรัทธาก็ถวายข้าวปลาอาหารปัจจัยเป็นการตอบแทน ฯลฯ

สังเกตดูดีๆแล้วจะพบว่า มนุษย์เราส่วนใหญ่...ใช้เวลาเกือบทั้งหมดของชีวิตหมดไปกับ การทำมาหากิน หรือ "เศรษฐกิจ" ขึ้นอยู่กับว่าระบบเศรษฐกิจที่ตนใช้หรือมีส่วนเกี่ยวข้องด้วยนั้น เป็นแบบใด อย่างสังคมเมือง คนส่วนใหญ่ก็ทำงานอยู่ในระบบเศรษฐกิจลูกจ้างกินเงินเดือน ทำงานในออฟฟิตเอกชน, ราชการ หรือในโรงงานต่างๆ สัปดาห์หนึ่งมี 7 วัน ให้เวลาไปกับการทำมาหากิน 5-6 วัน เหลือ 1 วันพักผ่อนหรือไปวัด ไปโบสถ์ บางคนอาจทำมาหากินทั้ง 7 วันเลย ขยันทำมาหากินกันขนาดนี้แล้วยังเกิดปัญหาเศรษฐกิจได้ยังไง...???

อันปัญหาทางเศรษฐกิจนั้น(ทั้งในระดับส่วนบุคคลจนถึงระดับประเทศชาติ) มีที่มาจากหลายสาเหตุ ต่างกรรมต่างวาระ ทั้งเหตุที่เข้าใจง่ายๆจนถึงซับซ้อนจนจบต้นชนปลายไม่ถูก...อาทิ ขี้เกียจไม่ขวนขวาย, ไม่มีความรู้ความสามารถ, ขาดภูมิปัญญา-ขาดเทคโนโลยี, โลภไม่รู้จักพอ ใช้ทรัพยากร-ใช้เงินเกินตัว, การฟุ่มเฟือยเป็นหนี้เป็นสินจนไม่สามารถที่จะหามาชดใช้ได้, แข่งดีแข่งเด่นเห็นเขามีก็จะมีแข่งกับเขาโดยไม่คำนึงถึงความเหมาะสม ความจำเป็น และไม่ประเมินสถานะของตัว, การมีภาระจำเป็นที่ต้องรับผิดชอบล้นพ้นเกินรายได้ อาทิต้องส่งเสีย เลี้ยงดูพ่อแม่ เลี้ยงลูก เลี้ยงญาติ ผ่อนบ้าน ผ่อนรถ ฯลฯ ไปพร้อมๆกันในคราวเดียว, การโดนเบียดเบียนกลั่นแกล้ง-ลักขโมย, ถูกทำร้ายหรืออาญชญากรรม, การอยู่ในระบบเศรษฐกิจที่กระจายรายได้ไม่เป็นธรรมหรือไม่เหมาะสมกับวิถีชีวิตของตนเช่น ชาวนา-เกตษตรกรโดนผูกขาดบังคับให้ขายข้าว-ผลผลิตในราคาถูกเกินไปจนขาดทุน จนมีรายได้ไม่พอเลี้ยงชีพ (ลักษณะนี้ภาคสังคมต้องมีส่วนร่วมรับรู้และช่วยเหลือโดยการปรับเปลี่ยนระบบให้เป็นธรรมมากขึ้น) หรือคนที่รสนิยมสูงแต่ทำงานในระบบที่มีรายได้ต่ำไม่เพียงพอกับความต้องการ (อาจจำเป็นต้องเปลี่ยนรูปแบบเศรษฐกิจของตน โดยการหางานใหม่ หรือ หารายได้เสริม) หรือมีระบบเศรษฐกิจไม่เหมาะกับประเทศชาติ(เช่นบางประเทศอาจไม่เหมาะที่จะปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตย เหมาะที่จะเป็นระบบสังคมนิยม หรือ สมบูรณาญาสิทธิราชย์มากกว่า) , เกิดศึกสงคราม, หรือเหตุสุดวิสัยอย่างการเกิดอยู่ในภูมิประเทศแห้งแล้งขาดแคลนทรัพยากร, ภัยธรรมชาติแผ่นดินไหว ภูเขาไฟระเบิด น้ำท่วม, โรคภัยไข้เจ็บ-โรคระบาด เป็นต้น

ในโลกแห่งความเป็นจริงใครๆก็อยากมีเศรษฐกิจดีกันทั้งนั้น แต่บางคนใจร้อน(และบางประเทศ)อยากได้เงิน-ทรัพยากรมาแบบเร็วๆง่ายๆเกินไป (บางทีก็มีพอกินพอใช้สบายพอสมควรแล้ว แต่ต้องการให้ได้มากยิ่งๆขึ้นไปอีก) จึงทำทุกวิถีทางโดยไม่คำนึงถึงศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ ไม่คำนึงถึงวัฒนธรรม-ศีลธรรม-จริยธรรมอันดีงามของสังคม อาทิ ปล้นชิงวิ่งราว, เล่นการพนัน, หลอกลวงต้มตุ๋นชาวบ้าน, คอรัปชั่นโกงบ้านกินเมือง, ปั่นหุ้น, โจมตีค่าเงิน หรือแม้แต่การหาเรื่องทำสงครามปล้นทรัพยากรประเทศอื่น ก็นับว่าเป็นความจริงอันแสน กระอักกระอ่วน!! เรื่องทำนองนี้เป็นปัญหาสังคมที่แก้ไม่ตกนับแต่อดีตถึงปัจจุบันและยังคงดำเนินเรื่อยไปในอนาดต ตราบใดที่มนุษย์ ไม่รู้จักควบคุม-บริหารความอยาก!

ช่วงนี้ ไปทางไหนก็เห็นแต่ข่าวเกี่ยวกับ...วิกฤติเศรษฐกิจ ข้าวของสินค้าขายได้น้อยลงทั้งในระดับรากหญ้าไปจนถึงบรรษัทข้ามชาติ, บริษัท-โรงงานหลายๆแห่งทั่วโลกเริ่มอยู่ไม่ได้, ขายสภาพคล่อง, ประสบภาวะขาดทุน, ลดเงินนเดือน, ปลดคนงาน, คนตกงาน, สถาบันการเงินเกิดภาวะ "หนี้เสียไม่สามารถชดใช้หรือหนี้ไม่ก่อให้เกิดรายได้(NPL)"จำนวนมหาศาล บ้างก็วิจารณ์ว่าระบบเศรษฐกิจกระแสหลักที่เป็นอยู่ในประเทศส่วนใหญ่ทั่วโลกนั้นคือ ระบบเศรษฐกิจทุนนิยม-การค้าเสรี เป็นระบบที่มีปัญหากำลังจะถึงจุดจบ !! โลกอาจจะต้องปรับเปลี่ยนรูปแบบระบบเศรษฐกิจขนานใหญ่กันเลยทีเดียว

ไม่ว่าระบบเศรษฐกิจจะเป็นอย่างไรต่อไป อยากเสนอ "วจีอมตะ" ชุดหนึ่ง น่าจะเป็นข้อคิดเตือนใจ และเป็นแรงบันดาลใจที่ดี เกี่ยวกับเรื่องเศรษฐกิจทั้งระดับส่วนตัวบุคคล และระดับชาติบ้านเมือง...

“โลกมีทรัพยากรเพียงพอที่จะเเบ่งปันให้เเก่มนุษย์ทุกคนตามที่จำเป็น เเต่มีไม่เพียงพอที่จะสนองความโลภของคนแม้เพียงคนเดียว” มหาตมะ คานธี กล่าว... " Earth provides enough to satisfy every man’s need, but not any man’s greed." Mahatma Gandhi said.

.......................................................

- ของแถม -

เข้าใจระบบเศรษฐกิจจาก "วัว" Understand the economic system : Perspective from a cow


เศรษฐกิจ จัดเป็นสาขาวิชาหนึ่งที่เรียกว่า "เศรษฐศาสตร์" ซึ่งเรียนกันได้ถึงระดับ ด็อกเตอร์ ระบบเศรษฐกิจมีรูปแบบหลากหลาย แล้วแต่สำนัก แล้วแต่ท้องที่ แล้วแต่สังคม แล้วแต่ประเทศ เศรษฐกิจหรือเศรษฐศาสตร์อาจเป็นเรื่องเข้าใจยากสำหรับคนทั่วไปที่ไม่ได้เรียนมาสายนี้โดยตรงหรือได้อ่านหนังสือเกี่ยวกับเศรษฐศาสตร์พื้นฐานผ่านหูผ่านตามาบ้าง แต่คำอธิบายชุดนี้จะทำให้ทุกคนเข้าใจได้ในทันทีว่า ภาพรวมกว้างๆของระบบเศรษฐกิจแต่ละระบบ-แต่ละประเทศในปัจจุบันว่ามีรูปแบบอย่างไร โดยใช้ตัวอย่างง่ายๆอย่าง "วัว" มาอธิบายให้เห็นภาพ อาจฟังดูขำๆเชิงล้อเลียนบ้าง แต่ก็มีส่วนจริงอยู่ไม่น้อย! ลองดู...

เข้าใจระบบเศรษฐกิจจาก "วัว" Understand the economic system : Perspective from a cow

(- ที่มา ข้อความทั้งหมดข้างล่างนี้ได้จาก : Forward mail -)(โปรดใช้วิจารณญาณด้วยนะครับ...)

ระบบเศรษฐกิจ สังคมนิยม Socialist
คุณมีวัว 2 ตัว และคุณให้เพื่อนบ้าน 1 ตัว
You have two cows and you give one to your neighbor

ระบบเศรษฐกิจ คอมมิวนิสต์ Communist
คุณมีวัว 2 ตัว รัฐเอาไปหมดทั้ง 2 ตัว และให้นมวัวคุณบ้าง
You have two cows.The state takes both cows from you and gives you some milk in return.

ระบบเศรษฐกิจ ฟาสซิสต์ Fascist
คุณมีวัว 2 ตัว รัฐเอาไปหมด และขายนมให้คุณบ้าง
You have two cows. The state takes both cows from you and sells some milk to you.

ระบบเศรษฐกิจ นาซี Nazi
คุณมีวัว 2 ตัว รัฐเอาไปทั้ง 2 ตัว และยิงคุณ
You have two cows. The state takes both cows from you and shoots you.

ระบบเศรษฐกิจ บูโรแครต (ราชการศักดินา) Bureaucrat
คุณมีวัว 2 ตัว รัฐเอาไปทั้ง 2 ตัว ยิงตายไปหนึ่งรีดนมตัวที่เหลือและก็ละเลยไม่หาประโยน์จากนมที่ได้มา
You have two cows. The state takes both ows, kills one, takes milk from the remaining cow but neglect to make use of the milk.

ระบบเศรษฐกิจ ทุนนิยม Capitalist
คุณมีวัว 2 ตัว คุณขายไปหนึ่งตัว และเอาเงินซื้อพ่อวัวมา ฝูงวัวเพิ่มขึ้นเศรษฐกิจขยายตัว คุณขายฝูงวัว ได้เงินมา แล้วก็เกษียณอายุตัวเอง
You have two cows, sell one for cash and use cash to buy a male breedingcow. Number of cows increase and multiply into herd, economic expands so you sell the whole cow herd for cash (at good price) and then retire.

ระบบเศรษฐกิจ อเมริกัน American economy
คุณมีวัว 2 ตัว ขายไป 1 ตัวและบังคับให้ตัวที่เหลือผลิตนมในปริมาณเท่ากับ 4 ตัวผลิต ต่อมาก็จ้างที่ปรึกษามาวิเคราะห์ว่าทำไมวัวจึงตาย
You have two cows. You sell one and force the remaining one to produce the milk at the volume of production from four cows. The cow dies. Later on you hire the consultant to analyze the cause of death of the cow.

ระบบเศรษฐกิจ ฝรั่งเศส French economy
คุณมีวัว 2 ตัว คุณนัดให้มีประท้วงปิดทางจราจลกีดขวางถนน เพราะว่าคุณต้องการวัว 3 ตัว
You have two cows. You vote for a protest, block the traffic because you want three cows.

ระบบเศรษฐกิจ ญี่ปุ่น Japanese economy
คุณมีวัว 2 ตัว คุณออกแบบและปรับแต่ง จนมันมีขนาดเท่ากับ 1 ใน 10 ของวัวขนาดธรรมดา แต่ผลิตนมได้ 20 เท่าของวัวปรกติ แล้วคุณก็สร้างตัวละครการ์ตูนชื่อว่า "Cowkimon" ขายไปทั่วโลก
You have two cows. You design and develop the cow until it has a size of one tenth but can produce milk 20 times of normal cow. After that you create a cartoon character call " Cowkimon" and sell it worldwide.

ระบบเศรษฐกิจ เยอรมัน German economy
คุณมีวัว 2 ตัว คุณรีเอ็นจิเนียร์มันจนมีอายุ 100 ปี กินอาหารเดือนละครั้งและรีดนมด้วยตัวเองได้
You have two cows. You reengineer the cow so that it has 100 years lifespan, eat once a month and can feed itself with its own milk.

ระบบเศรษฐกิจ รัสเซีย Russian economy
คุณมีวัว 2 ตัว คุณนับมันและพบว่ามี 5 ตัว คุณก็นับมันอีกครั้งพบว่ามี 42 ตัว และคุณก็นับมันอีกจนพบว่ามี 2 ตัว คราวนี้คุณหยุดนับและเปิดเหล้าวอดก้าอีกขวด
You have two cows and count the number of the cow. It is five. You recount it and it is 42. Then you recount again, it is two. You stop counting and open another bottle of vodka.

ระบบเศรษฐกิจ สวิส Swiss economy
คุณมีวัว 5,000 ตัว ไม่มีตัวใดเป็นของคุณเลย แต่คุณเก็บเงินจากเจ้าของเป็นค่าดูแล
You have 5,000 cows. None of them are yours but you earn fromcharging the fee from cows owner for cow care.

ระบบเศรษฐกิจ จีน Chinese economy
คุณมีวัว 2 ตัว มี 300 คนรุมรีดนม คุณประกาศว่าคุณมีการจ้างงานเต็มที่แถมวัวของคุณมีผลิตผลสุดยอดและจับผู้สื่อข่าวที่รายงานสถานการณ์จริงเข้าคุก
You have two cows. Three hundred people take milk from the two cows. You announce the 100%employment rate and that your cows are the most productive/efficient. You also put the reporters who report the real situation into jail.

ระบบเศรษฐกิจ อินเดีย Indian economy
คุณมีวัว 2 ตัว เพื่อเอาไว้เทิดทูนบูชา
You have two cows for worship.

ระบบเศรษฐกิจ อังกฤษ British economy
คุณมีวัว 2 ตัว ทั้ง 2 ตัวบ้าหมด (โรควัวบ้าเป็นที่รู้จักกันครั้งแรกในอังกฤษ)
You have two cows. Both of them are mad.
( Mad cow diseases was first known in the UK )

ระบบเศรษฐกิจ อิรัก Iraq Economy
ทุกคนคิดว่าคุณมีวัวหลายตัว คุณบอกว่าคุณไม่มี แต่ไม่มีใครเชื่อคุณดังนั้นจึงถูกบอมบ์แหลกยับเยิน ถูกบุกยึดประเทศ ถึงกระนั้นคุณก็ยังไม่มีวัวแต่อย่างน้อยที่สุด ปัจจุบันคุณก็เป็นส่วนหนึ่งของระบอบประชาธิปไตย
Everyone think you have a lot of cows. You deny but no one believestherefore your country is devastated by a bomb and conquered. Still you have no cow but at least the country is now part of the democracy.
........

วันอังคารที่ 17 มีนาคม พ.ศ. 2552

สถาปนาหุ่นยนต์ภาค 2 "HRP-4C"

ก่อนเข้าเรื่อง "HRP-4C" ดู Video Clip นวัตกรรมประหลาดนี้ก่อน

Snake Robot! หุ่นยนต์ "งู" สร้างสรรค์โดย Dr. Gavin Miller สนใจรายละเอียดเพิ่มเติมไปที่ http://www.snakerobots.com/

Robot Fish - ปลาหุ่นยนต์ !!

ได้เคยเขียนเรื่อง "หุ่นยนต์" ไปครั้งหนึ่งแล้ว ในหัวข้อ "สถาปนาหุ่นยนต์" และแล้วก็ต้องกลับมาว่าถึงหุ่นยนต์อีกครั้ง เป็น ภาค2 (และคาดว่าคงมีภาคต่อๆไป :) เมื่อได้เจอข่าวนี้ "HRP-4C" ตัวจริง เสียงจริง ไม่ใช่แค่ในนิยายวิทยาศาสตร์หรือหนัง Sci-fi ดูเหมือนว่า Android(หุ่นยนต์ประเภทภายนอกเหมือนคนทุกประการ) เริ่มใกล้เคียงคนจริงเข้าไปทุกที เคยอ่านนิยายวิทยาศาสตร์หลายเรื่องพรรณนาเกี่ยวกับหุ่นยนต์... "หุ่นยนต์เดินเพ่นพ่านปะปนกับมนษุย์โดยแยกไม่ออกว่าอันไหนคนอันไหนหุ่นยนต์" "คนแต่งงานกับหุ่นยนต์" "หุ่นยนต์แอร์โฮสเตส" "อาจารย์หุ่นยนต์" "ตำรวจหุ่นยนต์" "หุ่นยนต์แม่บ้าน" หุ่นยนต์โสเภณี" " หุ่นยนต์รวมกลุ่มประท้วงมนุษย์" หรือแม้แต่ "สงครามระหว่างมนุษย์กับหุ่นยนต์"ฯลฯ อาจไม่ใช่แค่นิยายฝันเฟื่องเพ้อพกเป็นไปไม่ได้อีกต่อไป!! มันอาจเกิดขึ้นอีกไม่กี่ปี ข้างหน้านี้!!

ตัวล่างนี้ Android Version ปี2006 ถึงเดินไม่ได้ แต่การแสดงหน้าตา การพูดจา กริยาท่าท่าง ก็ใกล้เคียงคนมากทีเดียว

นักวิจัยญี่ปุ่นเปิดตัวหุ่นยนต์ซูเปอร์โมเดลปากนิดจมูกหน่อยสำหรับขึ้นเวทีแฟชั่นโชว์ที่โตเกียววันที่ 23 มีนาคม 2009 นี้ มาพร้อมส่วนสูง 158 ซม.แต่น้ำหนักเพียง 43 กิโลกรัมรวมแบตเตอรี่แล้ว ทุนการพัฒนาอยู่ที่ 200 ล้านเยนหรือประมาณ 70 ล้านบาท

หุ่นยนต์ซูเปอร์โมเดลนี้มีชื่อว่า "HRP-4C" ถูกเปิดตัวต่อสื่อมวลชนที่สถาบันอุตสาหกรรมวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติญี่ปุ่น (National Institute of Advanced Industrial Science and Technology : AIST) ด้วยการแสดงความสามารถในการเคลื่อนไหวเลียนแบบท่าทางของนางแบบตัวจริง ทีมวิจัยระบุว่าการแสดงท่าทางเหล่านี้เป็นผลงานของมอเตอร์ควบคุมการเคลื่อนไหวจำนวน 42 ตัว ซึ่งติดตั้งภายในหุ่นซึ่งสร้างให้มีใบหน้าสไตล์ภาพในการ์ตูนญี่ปุ่น"มังงะ (manga)" แต่มีช่วงตัวเป็นโลหะสีเงิน

ชูจิ คาจิตะ (Shuji Kajita) ผู้นำทีมการวิจัย HRP-4C ระบุสาเหตุที่พัฒนาช่วงตัวโลหะสีเงินและใบหน้าสไตล์การ์ตูนให้หุ่นยนต์นางแบบสาว ว่าหากหุ่นยนต์มีลักษณะเหมือนมนุษย์เกินไปก็อาจจะสร้างความรู้สึกแง่ลบต่อหุ่นยนต์ได้(แสดงว่าจริงๆแล้วสามารถทำให้เหมือนจริงได้ยิ่งกว่านี้ ???) สำหรับเหตุผลที่พัฒนาให้ HRP-4C มีส่วนสูง 158 เซนติเมตรหรือ 5 ฟุต 2 นิ้ว เพราะตัวเลขดังกล่าวคือความสูงเฉลี่ยของหญิงชาวญี่ปุ่นชาวอายุ 19-29 ปี

ทีมวิจัยระบุว่า HRP-4C นั้นมีเป้าหมายในการพัฒนาเพื่อใช้ในอุตสาหกรรมความบันเทิงเป็นหลัก โดยยังไม่มีแผนการจำหน่ายในขณะนี้

ระหว่างการเปิดตัว HRP-4C สามารถทำหน้าที่นางแบบท่ามกลางเสียงแฟลชจากกล้องถ่ายภาพได้ดีระดับหนึ่ง สามารถยิ้มและโพสต์ท่าตามคำขอของตากล้องได้เพราะเซ็นเซอร์วิเคราะห์เสียงไร้สายเทคโนโลยีบลูธูท แต่พบการทำงานผิดพลาดเล็กน้อยเพราะหุ่นยนต์สับสนระหว่างเสียงแฟลชและเสียงพูด

HRP-4C มีกำหนดการขึ้นเวทีแฟชั่นโชว์ในกรุงโตเกียววันที่ 23 มีนาคมนี้ คาดว่าจะสามารถเรียกเสียงฮือฮาจากผู้ชมงานได้มากเป็นพิเศษ

..................................................

- ส่งท้าย แถมอีกนิด -

โครงการวิจัยนวัตกรรมหุ่นยนต์ของ RobotCub Project อำนวยการวิจัย โดย The European Commission

BigDog : โดยวิศวกรกลุ่ม Boston Dynamics สหรัฐอเมริกา

วันอังคารที่ 3 มีนาคม พ.ศ. 2552

ศิลปินผู้ยิ่งใหญ่ปล้น!!

เปิด Com หรือ เห็นเครื่อง Com ทีไร นึกถึงหนังเรื่องนี้ตลอด

"PIRATES OF SILICON VALLEY"
!! โจรสลัดแห่งหุบเขาซิลิกอน !!

(สนใจรายละเอียดเกี่ยวกับ Silicon Valley คลิกเข้าไปอ่านบล็อคเรื่อง Silicon Valley หุบเข้าปีศาจ)
ในหนังเรื่องนี้ มีประโยค คมๆที่น่าสนใจอยู่ประโยคหนึ่ง คำอาจฟังดูเป็นด้านมืดหน่อยแต่ก็เป็นความจริงโดยแท้ นั้นคือ...


"Good artists copy. Great artists steal."
“ศิลปินชั้นดีลอกเลียน ศิลปินผู้ยิ่งใหญ่ขโมย”


เดิมเป็นประโยคคำคมที่กล่าวโดยจิตรกรนามอุโฆษ "Pablo Picasso" อันสื่อให้เห็นว่า...ศิลปินชั้นดีธรรมดาทั่วๆไป นำสิ่งดีๆหลายๆสิ่งจากผลงานของศิลปินคนอื่นมาดัดแปลง-ปรับปรุงให้เป็นผลงานของตน แต่แล้วคนทั่วไปยังคงมองออกว่าผลงานนั้นได้รับอิทธิพลหรือลอกเลียนมาจากศิลปินผู้ใด
ส่วนศิลปินผู้ยิ่งใหญ่นั้น นำสิ่งที่ดีที่ได้พบเห็น-ได้แรงบัลดาลใจนั้น มาพัฒนาต่อยอดและทำให้ดีกว่า จนได้เป็นผลงานออกมาราวกับว่างานนั้นสดใหม่ไม่เคยปรากฏที่ใดมาก่อน เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวของศิลปินผู้นั้นจริงๆ

"ปิกัสโซ"

PIRATES OF SILICON VALLEY สร้างจากชีวิตจริงของผู้ยิ่งใหญ่แห่งวงการคอมพิวเตอร์และนวัตกรรมเทคโนโลยีสารสนเทศในยุคโลกาภิวัตน์ นั้นคือ... Steve Jobs ผู้ก่อตั้งบริษัท Apple เจ้าของผลงานที่เป็นปรากฏการณ์อันลือลั่นอย่าง เครื่องคอมพิวเตอร์ Mac, Mac OS, ipod, iphone ฯลฯ และ Bill Gates อภิมหาเศรษฐีที่รวยที่สุดในโลก ผู้ก่อตั้งบริษัท Microsoft เจ้าของผลงานที่ทุกคนบนโลกต้องใช้ นั้นคือ ระบบปฏิบัติการ Windows, MS-Office(Word,Excel) , MSM, Hotmail ฯลฯ

ในหนัง Jobs และ Gates ต่างพูดประโยค “ศิลปินชั้นดีลอกเลียน ศิลปินผู้ยิ่งใหญ่ขโมย” และยึดถือเป็นแนวทางในการสร้างนวัตกรรมและประกอบธุรกิจ!!

Jobs เอ่ยประโยคนี้ก่อนที่จะเข้าไปที่ Palo Alto Research Center หรือ PARC ในปี 1979...PARC เป็นศูนย์วิจัยนวัตกรรมของบริษัท XEROX ได้คิดค้น "Graphical User Interface" หรือ "GUI(กุย)" ที่คนใช้คอมยุคเราๆคุ้นเคยกันดีคือ รูปแบบการใช้งานติดต่อประสานสั่งการคอมพิวเตอร์ด้วยรูปภาพกราฟฟิคสวยงามแทนการใช้งานแบบเก่าด้วยการพิมพ์บนหน้าจอเขียวหรือจอดำอย่างเดียว อันได้แก่ การสั่งงานด้วยภาพ Icon, ชุดคำสั่งที่ดึงลงเป็นรายการให้เลือกได้(Pull down menu), การเปิดโปรแกรมหลายโปรแกรมพร้อมกันในลักษณะหน้าต่าง(Windows) การเคลื่อนย้ายหน้าต่างต่างๆได้(Moveable Windows), ปฏิบัติการที่เรียกว่า WYSIWYG (วิสซี่วิก) ซึ่งย่อมาจาก what you see is what you get อันหมายถึงเมื่อใช้ร่วมกับเครื่องพิมพ์แล้วสิ่งที่คุณเห็นในหน้าจออย่างไรจะเป็นไปตามนั้นเมื่อถูกพิมพ์ออกมา ฯลฯ...

...และ PARC ยังได้คิดค้นอุปกรณ์แปลกใหม่ในยุคนั้นที่เรียกว่า "Mouse" (สมัยนั้นมีแต่ KeyBoard) นวัตกรรมที่เรียกว่า GUI และ Mouse นี้ ศูนย์วิจัย PARC คิดได้ตั้งแต่ ปี 1960 แล้ว(ย้ำอีกที 1960) แต่ไม่มีผู้บริหาร Xerox คนใดสนใจ มองราวกับว่าเป็นเรื่องตลกเพ้อพกไป แต่สำหรับผู้มีสายตาแหลมคมอย่าง Jobs แล้ว นี้คือ นวัตกรรมอนาคต! ... Jobs นำแนวคิดสองอย่างนี้มาดัดแปลงต่อยอด ใช้กับเครื่องคอมพิวเตอร์ของบริษัท Apple ที่มีชื่อว่า "Lisa" และพัฒนาเป็น "Macintosh"หรือ "Mac" ในเวลาต่อมา...

"Gates" และ "Jobs" วัยหนุ่มยุคบุกเบิก บนหน้าปกนิตยสารดัง

...ส่วน Gates พูดประโยค “ศิลปินชั้นดีลอกเลียน ศิลปินผู้ยิ่งใหญ่ขโมย” นี้กับทีมงาน ก่อนที่จะเข้าไปร่วมงานกับบริษัท Apple ของ Jobs และด้วยชั้นเชิง(เล่ห์เหลี่ยม)ของ Gates ทำให้ Microsoft ได้เครื่องต้นแบบเครื่อง Macintosh(เพชรเม็ดเอกที่เป็นความลับสุดยอดของ Apple ขณะนั้น) มาศึกษา จึงได้นำระบบ GUI ที่มีอยู่ในเครื่อง Mac ไปดัดแปลงต่อยอด ออกมาเป็นระบบปฏิบัติการ(OS)ของ Microsoft ที่มีชื่อว่า "Microsoft Windows" ซึ่งพัฒนาเพื่อใช้งานกับเครื่อง PC และได้พัฒนาต่อเนื่องจนมาเป็น Windows 95 ซึ่งจัดว่าเป็นระบบปฏิบัติการแบบ GUI ตัวแรกที่สมบูรณ์แบบและน่าใช้งานที่สุด ณ เวลานั้น Windows95-98 และWindows รุ่นต่อๆมาก็โด่งดังเป็นที่นิยมของผู้ใช้งานคอมพิวเตอร์และนักพัฒนาโปรแกรมเสริมทั่วโลก ผนวกกับฐานผู้ใช้เครื่อง PC มีจำนวนมากอยู่แล้ว ส่งผลให้ Gates ค่อยๆกลายเป็นมหาเศรษฐีอันดับหนึ่งของโลกนับแต่บัดนั้นเป็นต้นมา

(รูปซ้าย) "Lisa" เครื่องคอมเครื่องแรกของโลกที่ใช้ ระบบ GUI และ Mouse ในขณะที่เครื่อง PC ทั่วไปอันมี IBM เป็นพี่ใหญ่ ยังใช้คำสั่งแบบพิมพ์ผ่านคีย์บอร์ด(Command Line)บน DOS ของ Microsoft แต่เครื่อง PCและ MS-DOS ก็เป็นที่นิยมมากและเป็นมาตรฐานของคอมพิวเตอร์ไปแล้วในขณะนั้น Lisa กลับล้มเหลวถึงแม้จะล้ำสมัยด้วยระบบ GUI เนื่องจากราคาแสนแพง! บวกกับเข้ากับอุปกรณ์ผลิตภัณฑ์ค่ายอื่นๆ(Compatible)ได้น้อยมาก

(รูปขวา) เครื่อง "Macintosh 128k" เป็น Mac ยุคแรก พัฒนาต่อจาก Lisa เป็นที่นิยมใช้ในหมู่สำนักพิมพ์, โรงพิมพ์, บริษัทออกแบบกราฟฟิคและบริษัทโฆษณา Macintosh พลิกวงการพิมพ์และออกแบบโดยการพัฒนาระบบปฏิบัติการแบบ GUI ต่อยอดจาก Lisa ให้มีความฉลาด เป็นระเบียบสวยงาม ใช้งานง่ายขึ้น แต่เนื่องจากราคายังแพงอยู่จึงยังไม่แพร่หลายเท่าเครื่อง PC และในขณะนั้น Microsoft ก็ได้สร้าง Windows 1.0 ที่เป็น GUI ออกมา Windowsเป็นที่นิยมแพร่หลายมากขึ้นเรื่อยๆและได้กลายเป็นระบบปฏิบัติการมาตรฐานของคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลทั่วไปเช่นเดียวกับ MS-DOS ที่เคยเป็นมา

กรณี GUI นี้เองทำให้ Jobs ช้ำใจและหัวเสียอย่างมาก ไม่คิดว่า Gates-Microsoft จะมาไม้นี้ เป็นกรณีพิพาทอันเป็นประวัติศาสตร์ที่ยิ่งใหญ่ ระหว่าง JobsกับGates ระหว่างPCกับMac และระหว่างAppleกับMicrosoft ...เรียกว่าเป็นประเด็นให้ถกเถียง-เหน็บแนบ-กล่าวขวัญกันเรื่อยมาไม่จบไม่สิ้นจนถึงปัจจุบัน...ณ ช่วงเวลานั้น Apple ได้ฟ้องร้อง Microsoft ต่อศาลข้อหา ละเมิดสิทธิบัตร GUI ในWindows แต่ก็ไม่ชนะ (เหมือนกับอตีดที่ Xerox ได้ฟ้อง Apple กรณี GUI ในเครื่อง Lisa ซึ่ง Xerox ก็ไม่ชนะเช่นกัน!)...

จาก Windows1.0 สู่ Windows 95 ปรากฏการณ์ GUI อันสมบูรณ์แบบของยุคนั้นและที่ถือว่าเป็นระบบปฏิบัติการที่ประสบความสำเร็จ-ยอดขายสูงสุดเท่าที่เคยมีมานับแต่อดีต-ปัจจุบัน

...ในหนัง(ในชีวิตจริงก็เหมือนกัน ฮึๆๆ) Jobs ได้ตำหนิ Gates และ Microsoft อย่างรุนแรงว่า เป็นพวกหัวขโมยไร้จรรยาบรรณ, ไร้หัวคิด, ไร้รสนิยม, ปล้น! GUI ของ Apple-Macintosh ไปเป็นผลงานของตัวเองอย่างหน้าด้านๆ ส่วนก็ Gates ก็ได้แก้ต่างอย่างมีเหตุผลที่เหนือชั้นว่า... " ไม่หรอก Steve ผมคิดว่ามันเหมือนกับเราทั้งคู่ต่างมีเพื่อนบ้านที่ร่ำรวยคนเดียวกันชื่อ Xerox คุณตั้งใจจะงัดเข้าไปบ้านเขาเพื่อนจะขโมยโทรทัศน์ แต่พบว่า ผมอยู่ในบ้านนั้นก่อนคุณ และคุณก็กลับมาพูดว่า "นี่คุณ มันไม่ยุติธรรมแลย! ผมต้องการจะขโมยโทรทัศน์เครื่องนั้นก่อนนะ" ...ก็คุณมันช้าเอง!!" เจอมุขนี้ Jobs ก็พูดอะไรไม่ออกอยู่พักใหญ่...(***คำพูดสำคัญๆที่ปรากฏในหนังเป็นคำพูดที่เอามาจากชีวิตจริงทั้งสิ้น)...


บรรยากาศการโต้เถียงกันระหว่าง "Jobs" กับ "Gates" ในหนังกรณีขโมย GUI (หัวล้านๆหลังฉากนั้นคือ "Steve Ballmer" คู่หูคู่ฮาของ Gates ดูตัวจริงในคลิป ภาคส่งท้าย-แถม ท้ายบล็อค จะพบว่าเขาคนนี้ไม่ธรรมดาจริงๆ ฮา!)

ผลิตภัณฑ์บางส่วนของ Microsoft ยุคหลังๆ

...และด้วยความคับแค้นใจ Jobs ก็ตบท้ายด้วยคำพูดทำนองท้าทายว่า "เอาเหอะเพื่อน ข้ายังมีอะไรดีๆกว่านี้ ที่นายยังไม่รู้อีกเยอะ!!" และก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ ดังเราได้เห็นกันแล้วในปัจจุบัน นั้นคือนวัตกรรมชั้นเลิศอันเป็นไม้เด็ดของ Apple ผลิตภัณฑ์ตระกูล i ทั้งหลายได้แก่ "คอมพิวเตอร์ iMac", "เครื่องเล่นเพลง iPod", ร้านหนังเพลงออนไลน์ iTunes", และ "โทรศัพท์มือถือระบบสัมผัส iPhone" ฯลฯ เป็นปรากฏการณ์ใหม่ที่ยังไม่มีนวัตกรรมของคู่แข่งรายใดจะมาเทียบรัศมีได้เลยแม้แต่นิดเดียว ณ ขณะนี้!

ผลิตภัณฑ์ตระกูล i ของ Apple : ปรากฏการณ์นวัตกรรมล้ำสมัย+ดีไซน์เท่ห์



Jobsตัวปลอม,นักแสดงในภาพยนตร์ กับ Jobsตัวจริง บนเวทีงาน MacWorld

...ในท้ายที่สุด เรื่องก็ Happy Ending... Jobs และ Gate , Apple กับ Microsoft กลับมาจับมือร่วมงานเป็นพันธมิตรทางธุรกิจกันได้ เรียกว่าเป็น Big Brother เป็นพี่เป็นน้องครอบครัวเดียวกัน (แต่ก็ยังมีแขวะกันบ้างเป็นบางโอกาส โดยฝ่ายที่โจมตีเป็นฝ่าย Jobs-Apple โดยเฉพาะเรื่องที่ Microsoft ชอบลอกเลียน Apple... ส่วน Gates เนื่องจากรวยเละเทะแล้ว ก็ทำเป็นนิ่งๆเฉยๆไม่สนใจซ้ำจะทำเป็นตลกกลบเกลื่อนขำๆไปเสียอีก เรียกว่าเป็นพวกเขี้ยวลากดินชั้นเซียนจริงๆ ฮึๆๆ) และ Gates ยังได้เข้าซื้อหุ้นของบริษัท Apple อีกด้วยเรียกว่า รวย 2 เด้ง!

อย่างไรก็ตาม เรื่องที่ปฏิเสธไม่ได้และเห็นๆกันอยู่ คือ นวัตกรรมของ The Great Artists! ทั้งสองท่านนี้ได้สร้างคุณูปการและส่งผลกระทบต่อวิถีชีวิตมนุษยชาติในยุคปัจจุบันอย่างใหญ่หลวง(อย่าลืม ยกความดีความชอบนี้ให้ Xerox ด้วยเด้อ...) เหมือนดั่งคำพูดของ Jobs ในหนังที่ว่า "ดูเหมือนว่าเราสองคนทำให้โลกสะดวกสบายขึ้นเยอะเลยนะ"

"Jobs" และ "Gates" ในวัยหนุ่มใหญ่ บนเวทีเดียวกัน ชื่นมื่น-เฮฮา

.............................................................................

*** ส่งท้าย แถม ***


ยังมีประโยคเด็ดๆคมๆอื่นๆในหนังที่น่าสนใจอีกหลายประโยค อาทิ “เราจะอยู่รอดได้เพราะทำตัวให้เป็นที่ต้องการคนอื่น" Gates พูดก่อนที่จะเข้าไปเจรจาเสนอ MS-DOS กับ IBM ยักษ์ใหญ่แห่งวงการคอมพิวเตอร์ยุคนั้น

และ Gates ก็ได้พูดกับทีมงานต่อจากประโยคนี้อีกว่า... “รู้จักคติของมาเฟียไหม? จงใกล้ชิดเพื่อนไว้ แต่ใกล้ชิดศัตรูให้มากกว่า” คำพูดประโยคนี้เป็นที่มาของการที่ Microsoft บริษัทเล็กๆกระจอกๆในขณะนั้น กล้าเดินเข้าไปเจรจาต่อรองกับยักษ์อย่าง IBM ผลก็คือ ทุกๆคอมพิวเตอร์ PC ที่ IBM ผลิตจะมีระบบปฏิบัติการ DOS ติดพ่วงอยู่ด้วย และ Microsoft ก็กินส่วนต่างกำไรไปพร้อมกับเครื่อง IBM แบบง่ายๆชนิดจับเสือมือเปล่า!! และเป็นที่มาของการที่Microsoft ไม่เก้อเขินที่จะทำตัวเป็นลูกมือรับจ้างเขียนโปรแกรมให้กับ Apple ยังผลทำให้ Microsoft ได้(ปล้น!! 55)ไอเดียเด็ด "GUI" นำมาสร้างนวัตกรรมของตนเองอย่าง Windows ออกมาในที่สุด!! ส่งผลให้ Microsoft ร่ำรวยดิดลมบนมาจนถึงทุกวันนี้

นอกจากพระเอกในหนังอย่าง Bill Gates และ Steve Jobs แล้ว ก็ยังมีเพื่อนคู่หูผู้ร่วมก่อตั้งและสร้างธุรกิจของพระเอกทั้งคู่ ซึ่งก็เป็น The Great Artists! ที่น่าทึ่งมากไม่แพ้กัน นั้นคือ Steve Ballmer และ Steve Wozniak (ชื่อ "Steve" ทั้งนั้นเลย) Steve Ballmer ร่วมงานกับ Gates ตั้งแต่ยุคก่อตั้งจวบจนถึงปัจจุบัน โดยปัจจุบันทำหน้าที่เป็น CEO ของ Microsoft แต่ Steve Wozniak ได้ถอดตัวออกจาก Apple ตั้งแต่ยุคต้นๆ เลยไม่ค่อยได้ยินชื่อเสียงและบทบาทของเขาเท่าไรนักในช่วงหลังๆ

"สตีฟ วอสนีค"ตัวจริง หรือ "วอส"



Steve Ballmer , Super CEO ??? โหด-มัน-ฮา CEO หนึ่งเดียวในโลก ลีลาไม่เหมือนใครและไม่มีใครเหมือน (หน้าตาคล้าย "ปิกัสโซ" เหมือนกันนะ 555)



"บิล เกตส์" และ "สตีฟ บอลเมอร์" คู่หูคู่ฮา! อภิมหาเศรษฐีและผู้บริหารระดับสูงระดับโลก ไม่จำเป็นต้องวางมาดขรึม+ขี้เก็กเสมอไป...นะครับ 555 :)