วันเสาร์ที่ 27 สิงหาคม พ.ศ. 2554

คาวบอย VS เอเลี่ยน "มนุษย์ต่างดาว" มีจริง? ต้องการอะไรกันแน่...


"มนุษย์ต่างดาว" มีจริง ?...ต้องการอะไรกันแน่ ?...มิตรหรือศัตรู
?

- คลิป UFO ในจีนชัดที่สุดที่พบกัน! ล่าสุดมีผู้อ้างว่าถ่ายได้เมื่อวันอังคารที่ 30 สิงหา 2011 ในเฉินชุน ก่วงโจว และกลายเป็นประเด็นร้อนปรากฎการณ์ปริศนาต่อเนื่องนี้ -


..............................................................................


ตัวอย่างหนัง
Cowboys & Aliens (2011)
(เหมือนได้ดู เจมส์ บอนด์ พยัคฆ์ร้าย 007 ผสมกับ ฮาน โซโล-indiana jones ฮึ ๆ...มนุษย์ต่างดาวในเรื่องนี้ ดูจะเป็นสัตว์ประหลาด-เลื้อยคลานไปหน่อย ผ้าผ่อนก็ไม่นุ่ง ฮา...น่าจะออกแบบให้ดูทรงภูมิปัญญา-หล่อสง่างามกว่านี้อีกนิ๊ดดด :)

ระยะหลังๆมานี้ กระแสการพบเห็นยานบินลึกลับมนุษย์ต่างดาว หรือที่นิยมเรียกกันว่า “ยูเอฟโอ” มีถี่ขึ้นเรื่อยๆ(ภาพยนตร์ก็มีแนวมนุษย์ต่างดาวเยอะขึ้นเรื่อยๆด้วยเช่นกัน) ทำให้เริ่มมีผู้ตั้งข้อสังเกตว่า อาจจะใกล้เวลาแล้วที่ “มนุษย์ต่างดาว” จะเปิดหน้าเปิดตามาพบกับคนบนโลกเราอย่างเป็นทางการเสียที แต่จะมาดี หรือมาร้าย เป็นมิตร หรือศัตรู ยังเป็นเรื่องน่ากังขา

แต่หากถามนักวิทยาศาสตร์ที่ได้รับการยกย่องว่าฉลาดล้ำที่สุดในโลกปัจจุบัน คือ สตีเฟ่น ฮอว์กิ้ง อัจฉริยะผู้เชี่ยวชาญด้านจักรวาลวิทยา ก็จะได้คำตอบที่ชัดเจนจากมุมมองของผู้ชายที่ถูกเรียกว่า ไอน์สไตน์ 2 ว่า “มาร้าย” แน่ๆ

สตีเฟ่น ฮอว์กิ้ง ผู้เชี่ยวชาญด้านจักรวาลวิทยา

ฮอว์กิ้งเชื่อเหมือนที่หลายๆคนเชื่อว่า ในจักรวาลอันกว้างใหญ่นี้ ไม่ได้มีเราอยู่เพียงลำพัง แต่มีภูมิปัญญาอื่นจากโลกอื่น และถึงวันหนึ่ง พวกมนุษย์ต่างดาวเหล่านี้ อาจจะบุกโลกเรา เปิดฉากสงครามเพื่อแย่งชิงทรัพยากรอันอุดมสมบูรณ์ ดังนั้น ฮอว์กิ้งจึงแนะนำแบบจริงจังว่า ต้องเตรียมการป้องกัน และอย่าพยายามหาทาง “ติดต่อ” กับมนุษย์ต่างดาว เพราะสิ่งที่จะตามมา อาจจะเป็น “หายนะ” มากกว่ามิตรภาพ

ฮอว์กิ้งบอกว่า...เราเคยมีประวัติศาสตร์ให้เห็นมาแล้ว ในยุคที่พวกผิวขาวจากยุโรปเดินทางล่าอาณานิคม ไม่ว่าจะเป็นทวีปอเมริกา หรือเอเชีย ต่างก็ถูกรุกราน ขับไล่ จากผู้ที่เรียกตัวเองว่าผู้เจริญกว่า โดยเฉพาะในอเมริกา ที่ผู้มาเยือนถึงกับยึดดินแดนจากผู้อยู่ก่อน จนชนเผ่าอินเดียนแดงแทบไม่มีที่ยืน แล้วมนุษย์ต่างดาวที่ไม่ต่างจากนักล่าอาณานิคมในหน้าประวัติศาสตร์ของเรา จะปรานีเราละหรือ ฮอว์กิ้งจึงมั่นอกมั่นใจมากว่า เมื่อไหร่ที่ “พวกเขา” เปิดตัวออกมา คือการเปิดฉากของความรุนแรงที่ยากจะหยุดยั้ง นั่นอาจจะหมายถึงสงครามครั้งใหญ่ที่มนุษย์ทุกชนชาติต้องร่วมมือกันต่อสู้

สตีเวน สปีลเบิร์ก
และแม้เราจะพูดถึงมนุษย์ต่างดาวกันจนเหมือนเป็นเรื่องธรรมดาไปแล้ว แต่หากถามว่า มนุษย์ต่างดาวมีหน้าตายังไงกันแน่ ก็คงยากจะตอบ แต่ก็คงต้องยอมรับว่า คนมากมายหลายล้านคนทั่วโลกมองเห็นและเข้าใจภาพลักษณ์ของมนุษย์ต่างดาวผ่านทางหน้าจอโทรทัศน์ หรือภาพยนตร์ “ฮอลลีวูด” จึงเป็นเครือข่ายขนาดใหญ่ที่สุดในโลก ที่ช่วยสร้างภาพมนุษย์ต่างดาวให้กระจ่างมากขึ้นในจินตนาการของคนเรา

พ่อมดแห่งฮอลลีวูดที่ทำให้ภาพของมนุษย์ต่างดาวกลายเป็นภาพชินตาเรามากที่สุด เห็นจะเป็นสตีเวน สปีลเบิร์ก ยอดผู้กำกับผู้ทำให้คนทั้งโลกหลงรัก อี.ที. จากภาพยนตร์เรื่อง E.T., The Extra Terrestrial ซึ่งสื่อออกมาว่า แม้หน้าตาจะดูอัปลักษณ์ แต่มนุษย์ต่างดาวมีอุปนิสัยเป็นมิตรและอบอุ่น

มนุษย์ต่างดาวล้างโลกใน นิยายวิทยาศาสตร์ War of the Worlds

และตั้งแต่นั้น คำว่า อี.ที.ก็กลายเป็นเหมือนตัวแทนของคำว่ามนุษย์ต่างดาวไปด้วย แต่ดูเหมือนว่า เมื่อเวลาผ่านไป และสปีลเบิร์กผ่านวันผ่านคืนมากขึ้น มุมมองที่มีต่อมนุษย์ต่างดาวของพ่อมดฮอลลีวูดก็เปลี่ยนไปด้วย ผู้มาเยือนจากนอกโลกในยุคใหม่ๆ ผ่านการสร้างสรรค์ของสปีลเบิร์กไม่ใช่ อี.ที.ที่น่ารักอีกต่อไป แต่ออกแนวโหด และตั้งหน้า ตั้งตาเป็นศัตรูผู้รุกรานเสมอๆ เช่น ภาพยนตร์เรื่อง War of the Worlds หรืออภิมหาสงครามล้างโลก ที่สื่อออกมาให้เห็นภาพชัดๆว่า จู่ๆ โดยไม่ทันได้ตั้งตัว มนุษย์ต่างดาวก็บุกจู่โจมโลกเสียแล้ว

มนุษย์ต่างดาวบุกโลก ในภาพยนตร์ Cowboys & Aliens (2011)

หรือภาพยนตร์เรื่องที่สปีลเบิร์กช่วยเป็นผู้อำนวยการสร้างอย่าง Super 8 ก็แสดงภาพชัดเจนว่า มนุษย์ต่างดาวช่างเป็นตัวร้ายเหลือทน จนมาถึงภาพยนตร์เรื่องล่าสุด(2011) คือ Cowboys & Aliens หรือ “สงครามพันธุ์เดือด คาวบอยปะทะเอเลี่ยน” ที่นำเสนอเรื่องราวของชายแปลกหน้าที่ผ่านเข้ามาในย่านทะเลทรายอริโซนา หลังการมาเยือนของเขา เหล่าสัตว์ประหลาดต่างดาวก็ตามมาทำร้าย ลักพาตัวชาวเมืองไปทีละคน จนทำให้ทุกคนในเมืองต้องลุกขึ้นมาร่วมกันสู้ ร่วมกับหนุ่มนิรนามที่กุมความลับในการต่อกรกับมนุษย์ต่างดาวลึกลับเหล่านี้

ก็ถือเป็นการตอกย้ำภาพที่หนักมากขึ้นไปว่า มนุษย์ต่างดาวอาจจะไม่ใช่มิตร และหากวันนั้นมาถึง วันที่ เราต้องเผชิญหน้า ก็อาจจะกลายเป็นสงครามขึ้นมาจริงๆก็เป็นได้

Cowboys & Aliens ภาคหนังสือการ์ตูน
*สนใจดาวน์โหลดหนังสือการ์ตูนอีบุ๊คได้ที่ : ที่ลิงค์นี่เลย

อันที่จริงเรื่องนี้ก็ไม่ใช่แนวคิดดั้งเดิมของสปีลเบิร์ก แต่เป็นการดัดแปลงมาจากหนังสือการ์ตูนชื่อเดียวกันนี้ ซึ่งเป็นผลงานของสก็อตต์ มิเชลล์ โรเซนเบิร์ก ที่ออกวางแผงในปี ค.ศ.2006 และได้ รับการยกย่องว่าเป็นเรื่องราวที่โดดเด่น ในการสามารถผสมผสานเนื้อหาสไตล์คาวบอยตะวันตก เข้ากันกับเนื้อหาแบบไซไฟได้เป็นอย่างดี จนแทบไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นไปได้ ทำให้ Cowboys & Aliens กลายเป็นการ์ตูนฮิต และถูกสปีลเบิร์กหยิบมาเป็นภาพยนตร์ภายใต้การอำนวยการสร้างของเขาในที่สุด

เนื้อหาในการ์ตูนเล่าเรื่องในยุคคาวบอยเฟื่องฟูช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 19 ซึ่งในตอนนั้น ฝรั่งผิวขาวและอินเดียนแดงยังรบรากันเพื่อแย่งดินแดนอยู่ แต่จู่ๆ การมีมนุษย์ต่างดาวมาบุกก็ทำให้คนทั้งผองต้องหันหน้าเข้าหากัน คาวบอยและอินเดียนแดงต้องเปลี่ยนจากศัตรูมาเป็นเพื่อนร่วมรบ ซึ่งจะว่าไป เหตุการณ์อย่างนี้ อาจจะเกิดขึ้นกับโลกของเรา โลกที่ทุกวันนี้มัว แก่งแย่งแข่งขันฆ่าฟันกันเอง แต่หากวันหนึ่ง ถ้ามีภัยนอกโลกมาเยือน เราทุกคนก็ล้วนต้องหันหน้ามาหากัน ในฐานะ “เพื่อนมนุษย์” เรื่องนี้จึงถือเป็นเรื่องราวที่แฝงด้วยคติสอนใจให้ได้คิดอย่างลึกซึ้งว่า ในขณะที่เรามัวโกรธเกลียดกันเอง เราอาจจะพลาดโอกาสใน การเตรียมตัวเพื่อรับมือกับสิ่งเลวร้ายกว่าที่รออยู่ ...พูดถึงอริโซนาที่เป็นฉากหลังของหนังเรื่องนี้แล้ว ก็อดไม่ได้ที่จะขอเล่าถึงเหตุการณ์จริงที่เคยเกิดขึ้น และกลายเป็นเรื่องสุดฮือฮาตลอดกาลของเมืองคาวบอยแห่งนี้ ย้อนหลังไปในปี ค.ศ.1975 ชายหนุ่มนามทราวิส วอลตัน เกิดหายไปอย่างลึกลับ ทำให้ตำรวจทั้งเมืองต้องออกตามหากันให้ควั่ก

"ทราวิส วอลตัน" ผู้เคยถูกเอเลี่ยนจับตัวไป...?

ทีแรก วอลตันนั่งรถบรรทุกเล็กกลับจากที่ทำงานร่วมกับเพื่อนๆอีก 5 คน และระหว่างนั่งกันมาดีๆ ก็เจอแสงสว่างจ้ามาจากเนินเตี้ยๆ เมื่อรถเข้าไปใกล้ ทุกคนก็ได้เห็นยานอวกาศขนาดใหญ่ลอยตัวอยู่ ในขณะที่ทุกคนมัวตะลึง ทำอะไรไม่ถูก วอลตันกลับใจกล้า กระโดดลงจากรถ วิ่งเข้าไปหายานประหลาดนี้ จากนั้น เพื่อนทุกคนก็เห็นว่า มีลำแสงพุ่งออกจากยานมากระแทกวอลตันจนกระเด็นไปนอนแผ่สามสลึงอยู่ไม่ห่าง

เพื่อนๆคิดว่างานนี้วอลตัน “ม่องเท่ง” แน่แล้ว และน่าจะกังวลว่าตัวเองจะเป็นรายต่อไป เลยรีบซิ่งรถหนีแบบห้อสุดเหยียด ทิ้งเพื่อนเกลอเอาไว้แบบไม่ดูดำดูดีกันล่ะ (จะว่าก็ไม่ได้ เป็นใครก็คงกลัวทั้งนั้น) จากนั้นก็มีการแจ้งความ จนเกิดการตามหาตัวกันอุตลุด แต่ก็ไม่มีใครหาร่างของวอลตันพบ ตำรวจเชื่อว่าวอลตันอาจจะถูกฆาตกรรมอำพรางศพ เพื่อนๆจึงถูกเค้นอย่างหนัก แต่ก็ไม่ได้อะไรมาก แต่หลังจากหายไปได้ 5 วัน วอลตันที่หายไปอย่างไร้ร่องรอยก็โผล่กลับมาแบบไร้หลักฐาน ทรุดกายแน่นิ่งอยู่หน้าปั๊มน้ำมันแห่งหนึ่งและเต็มไปด้วยความหวาดกลัว

ภาพจำลองการลักพาของพวกต่างดาว

จากการสอบปากคำภายหลัง วอลตันให้การว่า เขาถูกมนุษย์ต่างดาวจับตัวไปทดสอบ โดยพวกที่สูงประมาณไม่ถึง 5 ฟุตหัวโตโล้นเลี่ยน ดวงตาใหญ่ แต่พวกมันจะทำอะไรกับเขาบ้างก็ยากจะบอกได้ เพราะวอลตันถูกทำให้หมดสติไปก่อน แต่จากการตรวจร่างกายของเขา พบร่องรอยเหมือนถูกเข็มแทง ก็อาจจะเป็นไปได้ว่าวอลตันถูกจับไปทดลองนานถึง 5 วัน ทำให้อริโซนากลายเป็นที่ถูกกล่าวขานว่า เป็นพื้นที่ที่มีความชัดเจนที่สุดแห่งหนึ่งที่เคยถูกมนุษย์ต่างดาวมาเยือนและจับมนุษย์โลกไป แต่ยังโชคดีที่วอลตันได้กลับคืนมา และเราไม่รู้เลยว่ามีสักกี่คนบนโลกที่ถูกเอาตัวไปโดยไม่ได้หวนคืน เพราะจำนวนคนหายในโลกนี้มีมากมายทุกวี่ทุกวัน

เราไม่อาจรู้ได้เลยว่า พวกมนุษย์ต่างดาวทำอะไรอยู่และเตรียมจะทำอะไรต่อไป ในอนาคตอันใกล้พวกเขาจะเปิดตัวออกมาเป็นมิตรหรือเป็นศัตรู ที่รู้ก็คือ เราคงต้องพร้อมรับมือก็เท่านั้น.

*เครดิตข้อมูล ทีมงานนิตยสารต่วย'ตูน


วันจันทร์ที่ 15 สิงหาคม พ.ศ. 2554

เสื่อผืนหมอนใบ ใกล้สูญพันธุ์ - American Dream is over ?


" เสื่อผืนหมอนใบ "

บทความดีๆ จาก www.winbookclub.com
(เว็บสุดยอดแรงบันดาลใจ-มุมมองดีๆ ที่คนไทย-เยาวชนไทยควรเข้าชมศึกษา)
โดย วินทร์ เลียววาริณ


เทียม โชควัฒนา เกิดเมื่อปี 2459 ในครอบครัวใหญ่ มีพี่น้องมาก ทุกคนต้องช่วยกันทำงาน เมื่ออายุสิบห้าปี ฐานะทางบ้านไม่ดี จึงต้องออกจากโรงเรียนมาช่วยทางบ้านค้าขาย ทำงานทุกอย่างด้วยความอดทน เริ่มจากระดับล่างสุด เป็นตั้งแต่เด็กรับใช้ กรรมกรยกของหนัก แบกน้ำตาลหนัก 100 กิโลกรัม ไปจนถึงขายสินค้า

แม้จะออกจากโรงเรียนแล้ว เขาก็ยังหาโอกาสศึกษาหาความรู้ใส่ตัวตลอดเวลา เรียนหนังสือภาคค่ำ และศึกษาเรื่องธุรกิจจากคนรอบตัวที่มีประสบการณ์แบบครูพักลักจำ สิ่งหนึ่งที่เทียมเรียนรู้จากพ่อคือการรักษาสัจจะ รับปากอะไรใครแล้ว ก็ต้องทำให้ได้ดังคำพูด นอกจากนี้ยังไม่ผิดนัดเป็นอันขาด ในทางธุรกิจสองสิ่งนี้เป็นเครดิตที่ดีที่สุด

ปรัชญาของเขาคือ ทำงานหนัก เขาถามตัวเองเสมอว่า “วันนี้เราทำงานเต็มที่แล้วหรือไม่?” ด้วยสองมือเปล่า เขาสร้างตัวเป็นผู้ร่ำรวยที่สุดคนหนึ่งในเมืองไทย


ชิน โสภณพนิช
เกิดเมื่อปี 2453 เริ่มต้นชีวิตทำงานเป็นลูกจ้างเรือโยงบรรทุกสินค้าเกษตร ล่องระหว่างกรุงเทพ - อยุธยา เป็นเสมียนของโรงไม้แห่งหนึ่ง เมื่อโรงไม้ไฟไหม้ปิดกิจการ ก็เปลี่ยนสายงาน ไปทำกิจการการเดินเรือในเมืองจีน ก็ไม่ประสบความสำเร็จ เขาไม่ยอมแพ้ ลองทำธุรกิจอื่นๆ ในที่สุดก็ประสบความสำเร็จในวงการค้าขายวัสดุก่อสร้าง แล้วแตกหน่อเป็นธุรกิจอื่นๆ เช่น การก่อสร้าง ค้าทองคำ ค้าข้าว ธุรกิจห้างสรรพสินค้า และธนาคาร

ปรัชญาของเขาคือ ทำงานหนัก ไม่ยอมแพ้ ล้มแล้วลุกขึ้นมาเสมอ ด้วยสองมือเปล่า เขาสลัดพ้นความยากจนเป็นผู้มีฐานะดีที่สุดคนหนึ่งในเมืองไทย


นี่เป็นเพียงสองตัวอย่างในจำนวนคนจำนวนมากที่สร้างตัวจากศูนย์ จากเสื่อผืนหมอนใบจนลืมตาอ้าปากได้ บางคนก็ไปไกลถึงขั้นมหาเศรษฐี โดยมีความขยันเป็นยาบำรุง ความอดทนเป็นวิตามินชีวิต

คนรุ่นก่อนคุ้นกับวลี ‘เสื่อผืนหมอนใบ’ เป็นอย่างดี หมายถึงคนที่ตั้งตัวจากศูนย์ ไต่เต้าขึ้นมาจนมีฐานะดีหรืออย่างน้อยก็ข้ามพ้นความยากจน ตัวอย่างส่วนมากเป็นคนจีนที่อพยพมาหาโอกาสใหม่ในเมืองไทย ตั้งแต่ต้นสมัยรัตนโกสินทร์ถึงกลางศตวรรษที่ 20 โดยสารเรือสำเภาจากท่าเรือในมณฑลกวางตุ้ง ข้ามน้ำข้ามทะเลมาเมืองไทย สองมือกับเสื่อหนึ่งผืน หมอนหนึ่งใบ เป็นที่มาของสำนวนนี้

ปรัชญา ‘เสื่อผืนหมอนใบ’ อาจจะเชยไปแล้วในสายตาคนรุ่นใหม่ที่สามารถรวยพันล้านในเวลาสั้นๆ ตั้งแต่ยังหนุ่มสาว ไม่ต้องแบกของหนัก ไม่ต้องทำงานหามรุ่งหามค่ำ ใช้สมองและการหาจังหวะอย่างเดียวก็พอ สามารถ ‘เออร์ลี รีไทร์’ ตั้งแต่อายุยังน้อยถือเป็นสุดยอด

แน่ละ การใช้สมองและการหาจังหวะในธุรกิจมิใช่เรื่องผิดหรือน่าดูหมิ่น ธุรกิจก็คือการรู้จักมองหาโอกาสอยู่แล้ว และมันก็เป็นเพียงอีกหนทางหนึ่งในการสร้างตัว ในเมื่อมีฝีมือและวิสัยทัศน์ที่สามารถมองหาช่องว่างของโอกาส และทำเงินได้มากๆ ก็ไม่ใช่เรื่องผิด

อย่างไรก็ตาม ภาพความสำเร็จโดยการรวยลัดรวยง่ายรวยเร็วอาจปูทางให้เกิดบรรทัดฐานและค่านิยมใหม่ของการทำงานที่ทำให้เกิดความเชื่อว่าการประสบความสำเร็จคือ ‘ความเร็ว’ และ ‘ปริมาณ’ มันยังมีส่วนเสริมค่านิยม ‘เท่าไรก็ไม่พอเพียง’ ปรัชญา ‘ลัด-ง่าย-เร็ว’ นี้เป็นที่นิยมมากขึ้นเรื่อยๆ ตั้งแต่คนสวมสูทบนหอคอยงาช้างลามไปถึงคนเดินดินข้างล่าง

ภาพคนเรียนจบสูงๆ ใช้เวลาในตลาดหุ้นแทนที่จะทำงานในวิชาชีพที่ร่ำเรียนมา หรือคนขับแท็กซี่จอดรถรอล่าผู้โดยสารต่างชาติเพื่อฟันราคาค่าโดยสารแบบปิดประตูตีแมว บอกเราว่านี่เป็นโลกใหม่ที่คนรุ่น ‘เสื่อผืนหมอนใบ’ ใกล้สูญพันธุ์หรืออาจสูญพันธุ์ไปแล้ว

คนทำงานหนักเพราะไม่มีทางเลือก ไม่ใช่เพราะเชื่อปรัชญาการทำงานแบบนี้ ขณะที่ความสามารถและโอกาส ‘ลัด-ง่าย-เร็ว’ มิได้เกิดขึ้นกับทุกคน ปรัชญา ‘เสื่อผืนหมอนใบ’ กลับเป็นสูตรสำเร็จที่ใช้การได้เสมอกับทุกคนทุกเวลา หากไม่กลัวความลำบากเสียอย่าง อุปสรรคก็เป็นแค่ความขรุขระเล็กน้อยของเส้นทางท่อนหนึ่งของชีวิต

‘เสื่อผืนหมอนใบ’ มิได้แปลว่าทุกคนต้องแบกของหนัก แต่หมายถึงให้เป็นคนที่หนักเอาเบาสู้ ไม่เหยาะแหยะ ไม่เหยียบขี้ไก่ไม่ฝ่อ และที่สำคัญที่สุดคือไม่เอาเปรียบสังคมโดย ‘แซงคิว’ หรือเล่นนอกกติกาเพื่อบรรลุเป้าหมายของตน ทำให้สังคมวิบัติในระยะยาว

คนที่คิดแบบ ‘เสื่อผืนหมอนใบ’ อาจจะก้าวถึงจุดหมายช้าไปบ้าง แต่มันมั่นคงกว่า และมีศักดิ์ศรีกว่า เพราะเงินทุกบาทแลกมาด้วยหยาดเหงื่อ การทำงานไปทีละขั้นก็มีประโยชน์ของมัน มันหล่อหลอมจิตวิญญาณของคนคนหนึ่งให้ไม่กลัวล้ม ไม่กลัวความลำบาก คุณสมบัติที่ปรัชญารวยทางลัดไม่สามารถให้ได้

วัฒนธรรมอเมริกามีวลีหนึ่งว่า "American dream" หมายความว่า ทุกคนมีโอกาสประสบความสำเร็จเท่าเทียมกัน ผู้ที่รวยมหาศาลจากการทำงานหนักเป็นคนที่สังคมนับถือ ไม่มีใครอิจฉาริษยาคนทำงานหนักแล้วรวย เพราะเป็นสถานะที่เขาคนนั้นสมควรได้รับ สมควรได้รับการยกย่อง ตรงกันข้าม ผู้คนมักดูหมิ่นผู้ที่ร่ำรวยเพราะสืบทอดมรดกมา เพราะดวงดี ไม่ใช่ฝีมือดี


เพราะชีวิตคนเรามิได้มีค่าที่เงินในกระเป๋า มันยังมีคุณค่าอีกตัวหนึ่งที่เรียกว่า ศักดิ์ศรีของมนุษย์ และศักดิ์ศรีของมนุษย์มาจากพฤติปฏิบัติที่เห็นความสำคัญของวิธีการเดินมากกว่าจุดหมายปลายทาง

ลูกจ้างจำนวนมากในโลกทำงานตามที่เขาหรือเธอคิดว่าเหมาะสมกับเงินเดือนที่ได้รับ ไม่ยอมทำงานมากไปเป็นอันขาด เพราะ “มันไม่แฟร์” คนไม่น้อยไม่กระดิกตัวหากเข็มนาฬิกายังไม่ชี้ที่เวลาทำงาน ประหนึ่งถือฤกษ์เอาชัย

ลองมองอีกมุมหนึ่ง การทำงานมากทำให้มีประสบการณ์และทักษะมาก มันติดตัวเราไปตลอดชีวิต

ในมุมมองของปรัชญา ‘เสื่อผืนหมอนใบ’ ทุกคนมีสิทธิ์ร่ำรวยเท่าเทียมกัน แต่หากอยากไปถึงวันนั้น ถามตัวเองเสมอว่า “วันนี้เราทำงานเต็มที่แล้วหรือไม่?”

วินทร์ เลียววาริณ


วันจันทร์ที่ 8 สิงหาคม พ.ศ. 2554

อะนิเมะ : โตจนป่านนี้ยังดูการ์ตูนอยู่อีกหรือ?


ว่าด้วย Anime - อะนิเมะ


"โตจนป่านนี้ยังดูการ์ตูนอยู่อีกหรือ"
คำประชด กรณีเด็กโตหรือผู้ใหญ่ดูหนังการ์ตูน ไม่สมวัย (ก็อาจจะจริง :)

ถ้าพูดถึง การ์ตูน อนิเมชั่น(Animation) บ้านเราส่วนใหญ่ก็จะต้องนึกถึงการ์ตูนสายพันธุ์ฝรั่ง...อาทิ การ์ตูนค่าย Disney-Pixar, Dreamworks เป็นต้น ซึ่งเป็นการ์ตูนกระแสหลักในโรงภาพยนตร์ ที่ใช้เทคโนโลยีคอมพิวเตอร์กราฟฟิค 3D ...แน่นอนว่า ภาพ-ฉากอลังการวิจิตรตระการตาเป็นที่ชื่นชอบ แต่ในแง่ของพล็อตหรือเนื้อเรื่องจะพบว่าส่วนใหญ่แล้วยังคงเล่นอยู่กับแนวซุปเปอร์ฮีโร่กู้โลกแบบเดิมๆ หรือไม่ก็เป็นความน่ารักสดใสแบบเด็กๆ-เทพนิยายต่างๆ ซึ่งมักจะพอเดาได้ไม่ยากนักว่าเรื่องจะลงเอยยังไง...


...ส่วน อะนิเมะ(Anime) หรือภาพยนตร์การ์ตูนอนิเมชั่นสายพันธุ์ญี่ปุ่น อันเป็นการ์ตูนที่ไม่ได้สร้างเพื่อให้เด็กดูเป็นหลักเท่านั้น บางเรื่องก็ไม่เหมาะกับเด็กเลย! ..." โตจนป่านนี้ยังดูการ์ตูนอยู่อีกหรือ ! "...จึงเป็นวาทกรรม ที่ใช้ไม่ได้กับ ภาพยนตร์การ์ตูน อะนิเมะ...เนื่องจากส่วนใหญ่จะมีพล็อตเรื่องจินตนาการล้ำลึกหลุดโลก แถมยังแฝงซ่อนปรัชญาสะท้อนชีวิต-สังคม-โลกเชิงลึก ให้ได้ขบคิดตีความหลากหลายแง่มุม (ซึ่งอาจเกินกว่าเด็กๆจะรับได้) แถมบางเรื่องมาแนวหักมุม ดูรอบเดียวไม่ได้ต้องดูกันหลายๆรอบถึงจะเก็บสิ่งที่การ์ตูนอะนิเมะต้องการสื่อได้แจ่มชัด...กรณีเส้นสายสไตล์ของการ์ตูนก็แตกต่างจะฝั่งการ์ตูนฝรั่ง...อะมิเมะจะเป็นแบบ 2.5D...ก็คือเป็นการวาดระบายสีแบบ 2D ซึ่งสื่ออารมณ์ได้ดีเยี่ยมกว่า แต่ก็มีส่วนผสมเทคโนโลยี 3D ในฉากด้วยเพื่อเสริมมิติ จึงมีสไตล์เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวที่แปลกตาแหวกแนวออกไป และก็ทำออกมาได้อลังการตื่นตาตื่นใจไม่แพ้อนิเมชั่นพันธุ์ฝรั่งเลยแม้แต่น้อย

ขอคัดสรรยกตัวอย่าง Anime เด็ดๆเหมาะสำหรับผู้ใหญ่ดู เป็นตัวอย่างสักสี่ห้าเรื่องโดยสังเขป...ดังนี้ (หากยังไม่เคยดู สนใจก็ลองเสาะหา DVD มาชม แล้วจะพบกับมุมมองใหม่ๆที่หาไม่ได้จากการ์ตูนฝรั่ง..คำว่า "โตจนป่านนี้ยังดูการ์ตูนอยู่อีกหรือ" จะหายวับไปในบัดดล :)...

1.อะนิเมะ โดย Studio Ghibli การ์ตูนของค่ายนี้จัดขึ้นหิ้งได้แทบทุกเรื่อง เด็กดูได้ ผู้ใหญ่ดูสนุก เนื้อเรื่องมักส่งเสริมการคิดเชิงบวก ภาพฉากประณีตสวยงาม แถมเพลงประกอบก็ไพเราะเป็นพิเศษ...ผลิตออกมากแล้วกว่ายี่สิบเรื่องด้วยกัน คงสาธยายกันไม่ไหว ที่ชื่นชอบประทับใจเป็นการส่วนตัว ขอแนะนำซักหกเจ็ดเรื่อง อาทิเช่น Nausicaä of the Valley of the Wind, Laputa Castle in the Sky, My Neighbor Totoro, Pom Poko, Mononoke, Spirited Away, Ponyo เป็นต้น



2. Ghost in the shell มี 2 ภาค เข้มข้นทั้งสองภาค แต่เนื้อเรื่องดูยากพอควร (เรื่องนี้ยังเป็น แรงบันดาลใจของผู้กำกับหนังไตรภาค The Matrix อีกต่างหาก)

- Ghost ก็คือ จิต / วิญญาณ / สมองหรือความทรงจำของมนุษย์เรา แต่ผู้คิดโครงเรื่องได้ใช้คำว่า Ghost เพื่อแทนนิยามที่ว่ามาแล้วทั้งหมด

- Shell ก็คือ Machine เครื่องจักรกล / คอมพิวเตอร์ / หุ่นยนต์

นางเอกในเรื่องเคยเป็นตำรวจมือฉมังที่ร่างกายอันเป็นเนื้อหนังได้สูญเสียหรือถูกทำลายทิ้งไปแล้ว! แต่ด้วยมีเทคโนโลยีสุดล้ำที่สามารถแปลง จิตวิญญาณ-ความทรงจำ(Ghost) ไปเก็บไว้ในรูปของ Digital และสามารถ Upload-Download ไปอยู่ในร่างที่เป็นหุ่นยนต์ได้! เธอจึงไม่ยังไม่ตายแต่ต้องอยู่ในร่างใหม่อันเป็นหุ่นยนต์เครื่องจักร(Shell)แทน และเมื่อ Ghost เป็นดิจิตอล ก็ย่อมถูก Hack ข้อมูลได้เหมือนข้อมูลทั่วไปในคอมพิวเตอร์... ความวุ่นวายจึงเกินขึ้น!

3.Paprika
เรื่องราวของจิตแพทย์หญิงชิบะ อาซึโกะ โดยอาซึโกะสามารถเดินทางไปยังจิตใต้สำนึก-ฝันของคนไข้ ด้วย อุปกรณ์เก็บข้อมูลความฝันพิเศษที่ชื่อ “ดีซีมินิ” เพื่อค้นหาต้นตอปัญหาทางจิตของคนไข้นั้นๆ...ตัวละครที่เกี่ยวข้องในเรื่อง ทุกคนต่างเข้าใจกันว่าในจิต-ฝันของคนป่วย อาซึโกะจะกลายร่างกลายเป็นสาวน้อย dream detective โดยมีโค้ดเน้มว่า "Paprika" แต่เอาเข้าจริงทุกคนกลับสับสนรวมทั้ง อาซึโกะ เอง ว่า...แท้จริง ปาปริก้า ผู้ลึกลับเป็นใครกัน?...เนื้อเรื่องค่อนข้างซับซ้อนแบบ จิตซ้อนจิต-ฝันซ้อนฝัน ภาพ-ฉากกราฟฟิคทำออกมากได้ตื่นเต้นอลังการแนวเหนือจริง นำพาให้เราคนดูเข้าไปอยู่กับฉากความฝันสลับกับความจริงจนบางที เราต้องกลับมาถามตัวเองบ่อยครั้งว่า “นี่เราอยู่ในตอนของความฝัน หรือความจริงกันแน่" (อะนิะเมะ Paprika เรื่องนี้แหละที่เป็นแรงบันดาลใจให้ผู้สร้างหนังเรื่อง Inception จิตพิฆาตโลก)


4. Akira : เมื่อเมืองใหญ่เจริญเติบโตแออัอสุดขีด ความขัดแย้ง-ปัญหานานัปประการก็เกิดขึ้น แล้วเผอิญเกิดมีคนประหลาดที่มีพลังพิเศษเหนือมนุษย์ปกติ นามว่า "Akira" ผู้คนจึงคิดว่าเขานี้แหละคือผู้จะมาปลดปล่อยโลกและสร้างสังคมโลกใหม่ที่ สมบูรณ์กว่าที่เป็นอยู่...เรื่องนี้มีการดำเนินเรื่องที่พิลึกดี ไม่สามารถเดาถูกเลยว่าเรื่องจะลงเอยอย่างไร...

5. Appleseed สร้างออกมาก 2 ภาค (ส่วนตัวชอบภาคแรกมากกว่า เพราะภาคสองเน้น Action เอามันส์ดูเป็นฝรั่งไปนิด) : ยุคที่โลกมนุษย์มาถูกจุดวิกฤต เมื่อเกิดสงครามทำลายล้าง จนต้องก่อร่างสร้างเมืองขึ้นมาใหม่ชื่อเมือง “โอลิมปัส” ซึ่งใช้พลังงานจากแสงอาทิตย์ และยุคนั้นเองได้เกิดหุ่นยนต์สายพันธุ์ใหม่ที่เรียกว่า "Bio-driod" อันมีร่างกายภายนอกเหมือนมนุษย์ทุกประการแถมยังพัฒนาไปสู่การสืบพันธุ์ได้เองอีกต่างหาก! ความขัดแย้งระหว่าง มนุษย์และไบโอดรอยด์ จึงเกิดขึ้น แล้วจะจบยังไง ? เรื่องมันยาวต้องดูเองครับ :)

วันเสาร์ที่ 6 สิงหาคม พ.ศ. 2554

วิวัฒนาการ ก่อเกิด ปฏิวัติ!


- RISE OF THE PLANET OF THE APES 2011 -

กำเนิดพิภพวานร : วิวัฒนาการ ก่อเกิด ปฏิวัติ!


ทำไมถึงต้องดู

ถือเป็น หนังฟอร์มใหญ่อีกเรื่องที่ ไม่ควรพลาด! โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ใครก็ตามที่เป็นคอหนัง ไซไฟ แอ็คชั่น แฟนตาซี เพราะนอกจากจะอัดแน่นไปด้วยคุณภาพ Rise of the Planet of the Apes ยังมาพร้อมกับเนื้อหาที่มีประเด็นชวนคบคิดเกี่ยวกับกรณีสะท้อนชนชั้นทางสังคม - วิวัฒนาการ ก่อเกิด ปฏิวัติ!... และที่สำคัญก็คือ เทคนิคด้านภาพ ระดับสุดยอด โดยเฉพาะเหล่ากองทัพลิงที่โลดแล่นในแต่ละฉาก บอกได้คำเดียวว่า เนียน จริงๆ!


กำเนิดพิภพวานร | เรื่องย่อ
*สปอยบ้างก็ไม่ทำให้เสียอรรถรส ต้องชมเองเท่านั้น :)

ภาพยนตร์เรื่อง RISE OF THE PLANET OF THE APES 2011 : กำเนิดพิภพวานร... เป็นการผสมผสานของการบอกเล่าเรื่องราวในจินตนาการกับการก้าวกระโดดของวิชวลเอ็ฟเฟ็กต์ขั้นต่อไป สำหรับภาพยนตร์ประสบการณ์ของภาพยนตร์ที่มีอารมณ์ความรู้สึกและฉากแอ็คชั่นที่ไม่เหมือนภาพยนตร์เรื่องไหนมาก่อน โดยเป็นการเริ่มต้นจากความถือดีของมนุษย์ซึ่งเป็นชนวนเหตุการณ์ต่างๆ ที่นำไปสู่ความฉลาดของฝูงวานร และเป็นการท้าทายแห่งดินแดนของเราซึ่งเป็นสายพันธุ์ที่มีอำนาจในการครองโลก ซีซ่าเป็นวานรอัจฉริยะตัวแรกที่ถูกมนุษย์ล่อลวง และลุกขึ้นมานำเผ่าพันธุ์ของเขาเพื่อแข่งขันกับอิสรภาพอย่างน่าตื่นเต้น และเผชิญหน้ากับมนุษยชาติในท้ายที่สุด สำหรับตัวละครซีซ่าร์ บริษัท WETA ทีมวิชวลเอ็ฟเฟ็กต์เบื้องหลังภาพยนตร์เรื่อง Avatar ที่คว้ารางวัล Oscar ได้สร้างวานรขึ้นมาด้วยเทคนิค CGI ทำให้เกิดการแสดงอารมณ์และความฉลาดที่น่าตื่นเต้นอย่างไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน

วิวัฒนาการ ก่อให้เกิด การปฏิวัติ! จะเกิดอะไรขึ้น? ถ้า ลิงชิมแปนซี ถูกพัฒนาให้ฉลาด และแข็งแกร่ง กว่ามนุษย์ บางทีโลกอาจจะไม่ใช่ที่อยู่สำหรับเราอีกต่อไป! พบคำตอบได้ในหนังไซไฟ เหนือจินตนาการเรื่องนี้ อยากรู้ว่า ตื่นเต้น เร้าใจ แค่ไหน? ลองไปดูหนังฉบับเต็ม…


เมื่อมนุษย์ ถูกท้าทายอำนาจ

นอก เหนือจาก ความตื่นเต้น เร้าใจ ที่มีอย่างเต็มเปี่ยมแล้ว ธีมหลักของหนังเรื่องนี้ยังต้องการแสดงให้เห็นถึง ความทะนงตน คิดว่าตัวเองคือผู้ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของมนุษย์ และพยายามลองดีกับธรรมชาติ โดยไม่คำนึงถึงผลลัพธ์ที่จะตามมา…
โดยเรื่องราวใน Rise of the Planet of the Apes เกิดขี้นในยุคปัจจุบัน เมื่อนักวิทยาศาสตร์หนุ่มไฟแรง วิล ร็อดแมน (เจมส์ ฟรังโก้) ได้ทำการทดลองยาฟื้นฟูเซลล์ชนิดใหม่กับลิง จนทำให้ลิงมีความก้าวกระโดดทางด้านสติปัญญาเกินขีดจำกัด เมื่อบวกกับพละกำลังที่มีอยู่ สุดท้ายแล้ว พวกลิงเหล่านี้ก็คิดการใหญ่หวังปลดแอกตัวเองจากมนุษย์!

สู่ต้นกำเนิดของหนังไซไฟขึ้นหิ้ง

Planet of the Apes เวอร์ชั่นต้นฉบับซึ่งเป็นฝีมือกำกับของ แฟรงคลิน เจ แชฟฟ์เนอร์ ออกฉายปี 1968 ใช้ทุนสร้างไป $5.8 ล้านดอลล่าร์ และทำเงินไป $32.5 ล้านดอลล่าร์ ซึ่งความสำเร็จของหนังในตอนนั้นทำให้มีการสร้างหนังภาคต่อออกมาอีก 4 ภาค ตามลำดับดังนี้

Planet of the Apes (1968) ดั้งเดิมแรกสุด
ตามต่อมาด้วย
Beneath the Planet of the Apes (1970)
Escape from the Planet of the Apes (1971)
Conquest of the Planet of the Apes (1972)
Battle for the Planet of the Apes (1973)


จนกระทั่งในปี 2001 Planet of the Apes เวอร์ชั่นรีเมคของผู้กำกับ ทิม เบอร์ตัน ก็ออกฉาย โดยหนังใช้ทุนสร้าง $100 ล้านดอลล่าร์ ทำเงินไป $362 ล้านดอลล่าร์...ส่วน Rise of the Planet of the Apes 2011 กำเนิดพิภพวานร เรื่องนี้ จะไม่ใช่หนัง รีเมค หรือ ภาคต่อ แต่จะเป็น หนังรีบูทแบบ Prequel ซึ่งนำไปสู่เรื่องราวต้นกำเนิดที่ทำให้มนุษย์วานรคิดจะครองโลก!!! หนังทุนสร้าง $90 ล้านดอลล่าร์ เรื่องนี้เป็นฝีมือของ รูเพิร์ต ไวแอ็ทท์ ผู้กำกับหนุ่มอังกฤษวัย 38 ปี ที่สร้างชื่อมาจากหนังทริลเลอร์แหกคุกเรื่อง The Escapist (2008)

- THE PLANET OF THE APES 1986 -

- THE PLANET OF THE APES 2001 -

- THE PLANET OF THE APES 1970 -

สุดยอดทีมวิช่วล เอฟเฟ็กต์ เรื่องเดียวกับ Avatar

การที่ Rise of the Planet of the Apes เป็นหนังคนแสดงที่มีตัวละครเอกเป็นลิงชิมแปนซี เพื่อให้สามารถถ่ายทอดอารมณ์และความรู้สึกของเหล่าวานรออกมา สมจริง ดูเป็นธรรมชาติ ผู้สร้างได้มอบหน้าที่การผลิตงานวิช่วล เอฟเฟ็กต์ให้แก่ วีต้า ดิจิตอล ซึ่งเคยสร้างสรรค์ผลงานอันน่าทึ่งมาแล้วใน Avatar และ Lord of the Rings ไตรภาค มาดูแลงานในส่วนนี้โดยเฉพาะ ซึ่งตัวละครหลักในเรื่องที่เป็น ลิงชิมแปนซี ชื่อ ซีซาร์ ได้ แอนดี้ เซอร์กิส มาเป็นผู้รับบทบาทนี้โดยใช้เทคนิคเพอร์ฟอร์แมนซ์ แค็ปเจอร์ ซึ่งเป็นวิธีเดียวกับที่เขาสวมบทเป็น กอลลั่ม จาก Lord of the Rings และเป็นลิงยักษ์ใน King Kong
ร่วมด้วยทีมนักแสดงระดับคุณภาพทั้ง เจมส์ ฟรังโก้ (ที่เพิ่งได้รับเสนอชื่อเข้าชิงออสการ์สาขานักแสดงนำชายจาก 127 Hours) ในบท วิล ร็อดแมน, เฟรียดา พินโต้ นางเอกที่แจ้งเกิดจากหนังรางวัลออสการ์อย่าง Slumdog Millionaire โดยคราวนี้เธอรับบทเป็น แครอไลน์ หมอซึ่งเป็นผู้ดูแล ซีซ่าร์

- ภาพ Concept Art ของ Rise of The Planet of The Apes 2011 -

* เครดิคข้อมูลจาก www.majorcineplex.com