"มนุษย์ต่างดาว" มีจริง ?...ต้องการอะไรกันแน่ ?...มิตรหรือศัตรู ?
- คลิป UFO ในจีนชัดที่สุดที่พบกัน! ล่าสุดมีผู้อ้างว่าถ่ายได้เมื่อวันอังคารที่ 30 สิงหา 2011 ในเฉินชุน ก่วงโจว และกลายเป็นประเด็นร้อนปรากฎการณ์ปริศนาต่อเนื่องนี้ -
..............................................................................
ตัวอย่างหนัง Cowboys & Aliens (2011)
(เหมือนได้ดู เจมส์ บอนด์ พยัคฆ์ร้าย 007 ผสมกับ ฮาน โซโล-indiana jones ฮึ ๆ...มนุษย์ต่างดาวในเรื่องนี้ ดูจะเป็นสัตว์ประหลาด-เลื้อยคลานไปหน่อย ผ้าผ่อนก็ไม่นุ่ง ฮา...น่าจะออกแบบให้ดูทรงภูมิปัญญา-หล่อสง่างามกว่านี้อีกนิ๊ดดด :)
ระยะหลังๆมานี้ กระแสการพบเห็นยานบินลึกลับมนุษย์ต่างดาว หรือที่นิยมเรียกกันว่า “ยูเอฟโอ” มีถี่ขึ้นเรื่อยๆ(ภาพยนตร์ก็มีแนวมนุษย์ต่างดาวเยอะขึ้นเรื่อยๆด้วยเช่นกัน) ทำให้เริ่มมีผู้ตั้งข้อสังเกตว่า อาจจะใกล้เวลาแล้วที่ “มนุษย์ต่างดาว” จะเปิดหน้าเปิดตามาพบกับคนบนโลกเราอย่างเป็นทางการเสียที แต่จะมาดี หรือมาร้าย เป็นมิตร หรือศัตรู ยังเป็นเรื่องน่ากังขา
แต่หากถามนักวิทยาศาสตร์ที่ได้รับการยกย่องว่าฉลาดล้ำที่สุดในโลกปัจจุบัน คือ สตีเฟ่น ฮอว์กิ้ง อัจฉริยะผู้เชี่ยวชาญด้านจักรวาลวิทยา ก็จะได้คำตอบที่ชัดเจนจากมุมมองของผู้ชายที่ถูกเรียกว่า ไอน์สไตน์ 2 ว่า “มาร้าย” แน่ๆ
ฮอว์กิ้งเชื่อเหมือนที่หลายๆคนเชื่อว่า ในจักรวาลอันกว้างใหญ่นี้ ไม่ได้มีเราอยู่เพียงลำพัง แต่มีภูมิปัญญาอื่นจากโลกอื่น และถึงวันหนึ่ง พวกมนุษย์ต่างดาวเหล่านี้ อาจจะบุกโลกเรา เปิดฉากสงครามเพื่อแย่งชิงทรัพยากรอันอุดมสมบูรณ์ ดังนั้น ฮอว์กิ้งจึงแนะนำแบบจริงจังว่า ต้องเตรียมการป้องกัน และอย่าพยายามหาทาง “ติดต่อ” กับมนุษย์ต่างดาว เพราะสิ่งที่จะตามมา อาจจะเป็น “หายนะ” มากกว่ามิตรภาพ
ฮอว์กิ้งบอกว่า...เราเคยมีประวัติศาสตร์ให้เห็นมาแล้ว ในยุคที่พวกผิวขาวจากยุโรปเดินทางล่าอาณานิคม ไม่ว่าจะเป็นทวีปอเมริกา หรือเอเชีย ต่างก็ถูกรุกราน ขับไล่ จากผู้ที่เรียกตัวเองว่าผู้เจริญกว่า โดยเฉพาะในอเมริกา ที่ผู้มาเยือนถึงกับยึดดินแดนจากผู้อยู่ก่อน จนชนเผ่าอินเดียนแดงแทบไม่มีที่ยืน แล้วมนุษย์ต่างดาวที่ไม่ต่างจากนักล่าอาณานิคมในหน้าประวัติศาสตร์ของเรา จะปรานีเราละหรือ ฮอว์กิ้งจึงมั่นอกมั่นใจมากว่า เมื่อไหร่ที่ “พวกเขา” เปิดตัวออกมา คือการเปิดฉากของความรุนแรงที่ยากจะหยุดยั้ง นั่นอาจจะหมายถึงสงครามครั้งใหญ่ที่มนุษย์ทุกชนชาติต้องร่วมมือกันต่อสู้
และตั้งแต่นั้น คำว่า อี.ที.ก็กลายเป็นเหมือนตัวแทนของคำว่ามนุษย์ต่างดาวไปด้วย แต่ดูเหมือนว่า เมื่อเวลาผ่านไป และสปีลเบิร์กผ่านวันผ่านคืนมากขึ้น มุมมองที่มีต่อมนุษย์ต่างดาวของพ่อมดฮอลลีวูดก็เปลี่ยนไปด้วย ผู้มาเยือนจากนอกโลกในยุคใหม่ๆ ผ่านการสร้างสรรค์ของสปีลเบิร์กไม่ใช่ อี.ที.ที่น่ารักอีกต่อไป แต่ออกแนวโหด และตั้งหน้า ตั้งตาเป็นศัตรูผู้รุกรานเสมอๆ เช่น ภาพยนตร์เรื่อง War of the Worlds หรืออภิมหาสงครามล้างโลก ที่สื่อออกมาให้เห็นภาพชัดๆว่า จู่ๆ โดยไม่ทันได้ตั้งตัว มนุษย์ต่างดาวก็บุกจู่โจมโลกเสียแล้ว
หรือภาพยนตร์เรื่องที่สปีลเบิร์กช่วยเป็นผู้อำนวยการสร้างอย่าง Super 8 ก็แสดงภาพชัดเจนว่า มนุษย์ต่างดาวช่างเป็นตัวร้ายเหลือทน จนมาถึงภาพยนตร์เรื่องล่าสุด(2011) คือ Cowboys & Aliens หรือ “สงครามพันธุ์เดือด คาวบอยปะทะเอเลี่ยน” ที่นำเสนอเรื่องราวของชายแปลกหน้าที่ผ่านเข้ามาในย่านทะเลทรายอริโซนา หลังการมาเยือนของเขา เหล่าสัตว์ประหลาดต่างดาวก็ตามมาทำร้าย ลักพาตัวชาวเมืองไปทีละคน จนทำให้ทุกคนในเมืองต้องลุกขึ้นมาร่วมกันสู้ ร่วมกับหนุ่มนิรนามที่กุมความลับในการต่อกรกับมนุษย์ต่างดาวลึกลับเหล่านี้
ก็ถือเป็นการตอกย้ำภาพที่หนักมากขึ้นไปว่า มนุษย์ต่างดาวอาจจะไม่ใช่มิตร และหากวันนั้นมาถึง วันที่ เราต้องเผชิญหน้า ก็อาจจะกลายเป็นสงครามขึ้นมาจริงๆก็เป็นได้
อันที่จริงเรื่องนี้ก็ไม่ใช่แนวคิดดั้งเดิมของสปีลเบิร์ก แต่เป็นการดัดแปลงมาจากหนังสือการ์ตูนชื่อเดียวกันนี้ ซึ่งเป็นผลงานของสก็อตต์ มิเชลล์ โรเซนเบิร์ก ที่ออกวางแผงในปี ค.ศ.2006 และได้ รับการยกย่องว่าเป็นเรื่องราวที่โดดเด่น ในการสามารถผสมผสานเนื้อหาสไตล์คาวบอยตะวันตก เข้ากันกับเนื้อหาแบบไซไฟได้เป็นอย่างดี จนแทบไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นไปได้ ทำให้ Cowboys & Aliens กลายเป็นการ์ตูนฮิต และถูกสปีลเบิร์กหยิบมาเป็นภาพยนตร์ภายใต้การอำนวยการสร้างของเขาในที่สุด
เนื้อหาในการ์ตูนเล่าเรื่องในยุคคาวบอยเฟื่องฟูช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 19 ซึ่งในตอนนั้น ฝรั่งผิวขาวและอินเดียนแดงยังรบรากันเพื่อแย่งดินแดนอยู่ แต่จู่ๆ การมีมนุษย์ต่างดาวมาบุกก็ทำให้คนทั้งผองต้องหันหน้าเข้าหากัน คาวบอยและอินเดียนแดงต้องเปลี่ยนจากศัตรูมาเป็นเพื่อนร่วมรบ ซึ่งจะว่าไป เหตุการณ์อย่างนี้ อาจจะเกิดขึ้นกับโลกของเรา โลกที่ทุกวันนี้มัว แก่งแย่งแข่งขันฆ่าฟันกันเอง แต่หากวันหนึ่ง ถ้ามีภัยนอกโลกมาเยือน เราทุกคนก็ล้วนต้องหันหน้ามาหากัน ในฐานะ “เพื่อนมนุษย์” เรื่องนี้จึงถือเป็นเรื่องราวที่แฝงด้วยคติสอนใจให้ได้คิดอย่างลึกซึ้งว่า ในขณะที่เรามัวโกรธเกลียดกันเอง เราอาจจะพลาดโอกาสใน การเตรียมตัวเพื่อรับมือกับสิ่งเลวร้ายกว่าที่รออยู่ ...พูดถึงอริโซนาที่เป็นฉากหลังของหนังเรื่องนี้แล้ว ก็อดไม่ได้ที่จะขอเล่าถึงเหตุการณ์จริงที่เคยเกิดขึ้น และกลายเป็นเรื่องสุดฮือฮาตลอดกาลของเมืองคาวบอยแห่งนี้ ย้อนหลังไปในปี ค.ศ.1975 ชายหนุ่มนามทราวิส วอลตัน เกิดหายไปอย่างลึกลับ ทำให้ตำรวจทั้งเมืองต้องออกตามหากันให้ควั่ก
ทีแรก วอลตันนั่งรถบรรทุกเล็กกลับจากที่ทำงานร่วมกับเพื่อนๆอีก 5 คน และระหว่างนั่งกันมาดีๆ ก็เจอแสงสว่างจ้ามาจากเนินเตี้ยๆ เมื่อรถเข้าไปใกล้ ทุกคนก็ได้เห็นยานอวกาศขนาดใหญ่ลอยตัวอยู่ ในขณะที่ทุกคนมัวตะลึง ทำอะไรไม่ถูก วอลตันกลับใจกล้า กระโดดลงจากรถ วิ่งเข้าไปหายานประหลาดนี้ จากนั้น เพื่อนทุกคนก็เห็นว่า มีลำแสงพุ่งออกจากยานมากระแทกวอลตันจนกระเด็นไปนอนแผ่สามสลึงอยู่ไม่ห่าง
เพื่อนๆคิดว่างานนี้วอลตัน “ม่องเท่ง” แน่แล้ว และน่าจะกังวลว่าตัวเองจะเป็นรายต่อไป เลยรีบซิ่งรถหนีแบบห้อสุดเหยียด ทิ้งเพื่อนเกลอเอาไว้แบบไม่ดูดำดูดีกันล่ะ (จะว่าก็ไม่ได้ เป็นใครก็คงกลัวทั้งนั้น) จากนั้นก็มีการแจ้งความ จนเกิดการตามหาตัวกันอุตลุด แต่ก็ไม่มีใครหาร่างของวอลตันพบ ตำรวจเชื่อว่าวอลตันอาจจะถูกฆาตกรรมอำพรางศพ เพื่อนๆจึงถูกเค้นอย่างหนัก แต่ก็ไม่ได้อะไรมาก แต่หลังจากหายไปได้ 5 วัน วอลตันที่หายไปอย่างไร้ร่องรอยก็โผล่กลับมาแบบไร้หลักฐาน ทรุดกายแน่นิ่งอยู่หน้าปั๊มน้ำมันแห่งหนึ่งและเต็มไปด้วยความหวาดกลัว
เราไม่อาจรู้ได้เลยว่า พวกมนุษย์ต่างดาวทำอะไรอยู่และเตรียมจะทำอะไรต่อไป ในอนาคตอันใกล้พวกเขาจะเปิดตัวออกมาเป็นมิตรหรือเป็นศัตรู ที่รู้ก็คือ เราคงต้องพร้อมรับมือก็เท่านั้น.
*เครดิตข้อมูล ทีมงานนิตยสารต่วย'ตูน