วันพุธที่ 19 มกราคม พ.ศ. 2554

คำสั่งที่ 66! อนาคิน เปลี๋ยนไป๋


คนที่เกิดในศตวรรษที่ 20 อายุช่วง 20-40 ถ้าไม่รู้จักมหากาพย์ "Star Wars" ต้องบอกว่า เชยแหลกราน (ฮึ ๆ...กวน)


เมืองไทยเราปัจจุบันนี้ (2011) สถานะการณ์การเมืองดูเหมือนจะอยู่ในภาวะคล้ายๆ Star Wars (ในบางแง่)... ชนชั้นผู้นำ-นักการเมืองบางท่านกำลังเล่นเกมส์การเมือง ลับ
ลวง พราง ซับซ้อนเกินหยั่งถึง คำนึงแต่อนาคตทางการเมืองของตนเท่านั้นคล้ายๆกับ "พัลพาทีน" ! ...นักธุรกิจบางพวกก็ดุจดั่งพวก"สมาพันธ์การค้าแกแลคซี่" จับมือนักการเมืองหวังเพียงผลประโยชน์กำไรสูงสุด...องค์กร NGO-นักวิชาการ-หรือแม้แต่นักบวช! บางกลุ่มอ้างตัวรักชาติ ก็ต่างชูความดีความถูกต้อง ภาพลักษณ์ราวกับเป็นพวก "อัศวินเจได"...กลุ่มก๊วนหลากสีก็ยังคงเคลื่อนไหวทั้งใต้ดินบนดิน...สะสมกำลังรอวันทำสงครามใหญ่ ทั้งพวกมีแบ่งแยกดินแดน 3 จังหวัดชายแดนใต้ ซึ่ง ก็ประมาณ "ขบวนการแบ่งแยกแกแลคติก" ...ไม่แน่ต่อไปอาจมี ปฏิบัติการทำนอง "คำสั่ง 66" ในเมืองไทย เกิดการกวาดล้างครั้งใหญ่-เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งมโหฬาร!

......................................


เจค ลอยด์ (Jake Lloyd) หรือ หนูน้อยที่แสดง เป็น อนาคิน ตอนเด็ก ใน Star Wars Episode I

10 กว่าปีผ่านไป...โตเป็นหนุ่ม...( ไม่ไหว ไม่ไหว ไอดอลตู...บอกกี่ครั้งแล้วว่า อย่ากิน จั๊งฟู๊ดเยอะ...55 แซวเล่น :)...คลิปวิดิโอสัมภาษณ์ เจค ลอยด์ เมื่อปี 2010


คำสั่งที่ 66 (Order 66) คือ คำสั่งทางการทหารใน สตาร์ วอร์ส เอพพิโซด 3 : ซิธชำระแค้น เป็นคำสั่งที่มีบทบาทสำคัญมาก เป็นจุดเริ่มต้นของการกวาดล้างเจไดครั้งใหญ่ ทำให้นิกายเจไดอันรุ่งเรืองอย่างที่เห็นในภาพยนตร์ไตรภาคต้น(1-3) ต้องล่มสลายเสื่อมทรุดลงไปดังที่ปรากฎในไตรภาคเดิมหรือภาคปลายนั้นเอง (4-6)

คำสั่งนี้เป็นคำสั่งโดยตรงจาก"จักรพรรดิพัลพาทีน"ที่มีต่อเหล่า "ทหารกองทัพโคลน(นิ่ง)" ในกองทัพใหญ่ของสาธารณรัฐรายละเอียดของคำสั่งคือ เหล่าเจไดเป็นคนทรยศต่อสาธารณรัฐ ให้กำจัดได้ทันทีโดยไม่ต้องสอบสวน เจไดเกือบทั้งหมดจึงถูกสังหารกวาดล้างแบบไม่ทันตั้งตัว

ส่วนเจไดผู้รอดชีวิตจากเหตุการณ์นี้มีเพียง 2 คนคือ "โอบีวัน เคโนบี" และ "โยดา" ซึ่งต่อมาได้ฝึกสอน "ลุค สกายวอล์คเกอร์" กลายเป็นเจไดคนสุดท้ายในจักรวาล (ลุคก็คือลูกของอนาคินซึ่งแปรพักตร์กลายเป็นพวกกับ พัลพาทีน นั้นเอง) ภายหลังนั้น ลุค เข้าร่วมมือกับฝ่ายกบฏโค่นล้มจักรพรรดิพัลพาทีนได้สำเร็จ และเป็นผู้ก่อตั้งรื้อฟื้นนิกายเจไดใหม่ ก็เลยเกิดเป็นมหากาพย์ต่อจากภาพยนตร์ ยืดยาวต่อไปอีกเป็น รุ่นหลาน รุ่นเหลน ในฉบับการ์ตูนคอมมิค... [คิดๆอยู่ในใจว่า...อยากจะทำเว็บตำนาน Star Wars เหมือนที่เคยทำแบบ เว็บตำนาน เอเลี่ยน-พรีเดเตอร์ (Link ที่ข้างๆ Blog รูปเอเลี่ยนกับพรีเดเตอร์ นั่นแหละ)...น่าจะสนุก...แต่ Star Wars เป็นมหากาพย์ยาว-ซับซ้อนกว่าเอเลี่ยนพรีเดเตอร์ เยอะเลย...จะพยายามหาโอกาส ]

- Star Wars ภาคการ์ตูนคอมมิค และ นวนิยาย สานต่อเนื้อเรื่องจากภาคภาพยนตร์ กลายเป็นมหากาพย์ที่ไม่จบไม่สิ้นซะที !! -

บรรยากาศ การกวาดล้างเจได - Execute Order 66 !


ฉากต่างๆใน Star Wars "จอร์จ ลูคัส" ผู้กำกับรุ่นใหญ่ ได้แรงบันดาลใจมาจากไหนบ้าง...ลองดู



.....................................


เห็น อนาคิน... เจค ลอยด์ ไปแล้วมาดูนักแสดง คนอื่นๆ บ้าง

อัศวินเจได "ลุค" : Mark Hamill

เจ้าหญิง "เลอา" : Carrie Fisher

กัปตันอวกาศ "ฮัน โซโล" : Harrison Ford


วันศุกร์ที่ 14 มกราคม พ.ศ. 2554

ไตรปิฎก! MP3


เราได้มาถึงยุคที่มี พระไตรปิฎก! เป็นฉบับ MP3 แล้ว
(คัมภีร์ศาสนาอื่นๆก็มีเป็น MP3 แล้วเช่นกัน.. ไบเบิล อังกุรอาน ฯลฯ)

วิถีพุทธแท้ ไม่ใช่การบนอ้อนวอนสิ่งศักดิ์สิทธิ์เพื่อขอโชคลาภ - ไม่ใช่ไสยศาสตร์ขมังเวทย์, เสกของขลัง, ท่อง นะโม ไล่ผี - หรือไม่ใช่การไล่ล่าหาสาวกเพื่อสร้างจักรวรรดิอันยิ่งใหญ่มั่งคั่ง!...ฯลฯ ...แต่เป้าหมายสูงสุดแห่ง วิถีพุทธ คือ การทำจิตให้สะอาดสงบนิ่งปล่อยวาง เพื่อหยุดเวียนว่ายตายเกิดอย่างถาวร! หรือที่เรียกว่า บรรลุ "อรหันต์" หรือเรียกอีกอย่างว่า บรรลุ "นิพพาน" และก็ไม่ใช่เพียงแค่การทำบุญเพื่อหวังผลได้ไปเกิดเสพสุขบันเทิงกันสุดเหวี่ยงบนสรวงสวรรค์ชั้นใดชั้นหนึ่ง...เพราะตามหลักพุทธแล้วการได้เกิดบนสวรรค์ก็เป็นแค่สิ่งชั่วครั้งชั่วคราว ยังคงเป็นแค่สิ่งลวง หาใช่สิ่งจีรังยั่งยืน ในที่สุดแล้วเมื่อถึงวาระของมัน ต่อให้ยิ่งใหญ่คับสวรรค์แค่ไหน ก็ยังคงต้อง เกิด-แก่-เจ็บ-ตาย เวียนว่ายตายเกิดต่อไปอยู่ดี เผลอๆเกินพลาด ประมาท ทำกรรมชั่ว! ก็จะไปเกิดในภูมิต่ำ นรก! เดรัจฉาน...

"พระไตรปิฎก" ได้ชื่อว่าเป็นผลึกปัญญาตกทอดจากชายในตำนานท่านหนึ่งผู้หลุดพ้นแล้วนามว่า "สิทธัตถะ" หรือ "พระพุทธเจ้า" นั่นเอง...ส่วนพระไตรปิฎกจะเป็นคำสอนที่ถูกต้อง 100% ตรงตามพระพุทธเจ้าสั่งสอนเมื่อ 2500 กว่าปีหรือเปล่านั้นคงไม่อาจมีใครการันตีได้ แต่ก็ต้องยอมรับว่า พระไตรปิฎก เป็นหลักฐานที่เชื่อถือได้มากที่สุดในบรรดาหลักฐานอื่นๆทั้งหมดทั้งปวงเท่าที่มีหลงเหลือตกทอดมาจนถึงปัจจุบัน...ผู้ที่ศรัทธาในวิถีพุทธหรือเรียกตัวเองว่า ชาวพุทธ จึงควรหันกลับไปศึกษาเนื้อหาที่มีอยู่พระไตรปิฎกเป็นหลักสำคัญ

"ยุคเก่าก่อน "พระถังซำจั๋ง"และคณะ ต้องเดินทางนับหมื่นลี้ รอดแรมฝ่าร้อนฝ่าหนาวยากลำบากกว่าสิบปีไปยัง "มหาลัยนาลันทา" ประเทศอินเดีย เพื่อศึกษาพระไตรปิฎก... แต่ยุคปัจจุบันนี้ พระไตรปิฎก ได้มีคนบันทึกเสียงอ่านมาให้ฟังกันง่ายๆ แถมยังมีเสียงดนตรีประกอบให้ด้วยอีกต่างหาก"... (ถ้าท่าน"ตือโป้ยก่าย" มาเห็น คงพูดว่า..."สะดวกพหลโยธินกันขนาดนี้ หากพวกลื้อ ยังกิเลสหนาปัญญาทรามไม่เจริญในธรรมอีกละก้อ ฮั๊วก็ไม่รู้จะช่วยไงแล้วโว้ย!" :)

พระไตรปิฎกภาษาไทย ภาคเสียงอ่านแบบไฟล์ MP3 ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย อ่านโดย อาจิต โตเกียรติรุ่งเรือง

สมบูรณ์ทั้งสามปิฎก ครบถ้วนทั้ง ๔๕ เล่ม บันทึกเสียงอ่านลงบนแผ่นซีดีทั้งหมด ๑๓๕ แผ่น รวมความยาว ๘๖๒ ชั่วโมง พร้อมดนตรีประกอบ

ท่านที่ต้องการ พระไตรปิฎก ภาคเสียงอ่านฯ นี้ สอบถามเพิ่มเติม หรือสั่งซื้อได้ที่

"กองทุนเผยแผ่ธรรมเพื่อชีวิตที่งดงาม" เลขที่ ๑๐๒/๒ ถนน ศรีนครินทร์ ประเวศ กทม. ๑๐๒๕๐ โทร. ๐๒-๓๙๗-๒๔๐๐ โทรสาร ๐๒-๓๙๗-๒๓๙๙

.......................................

ใน พระไตรปิฎก มีสิ่งที่น่าสนใจหลายประเด็นอันเกี่ยวกับ ความลี้ลับของชีวิต-จักรวาล!...และที่โดดเด่นอย่างหนึ่งก็คือ ประเด็นเรื่อง "ภพ-ภูมิ" อันหมายถึงสถานที่ต่างๆที่เหล่าสรรพสัตว์สับเปลี่ยนหมุนเวียน เกิด แก่ เจ็บ ตาย ซ้ำแล้วซ้ำเล่าไม่จบไม่สิ้นชั่วกาลนานแสนนาน หรือที่เรียกว่า " วัฏสงสาร " *สัตว์ที่เวียนว่ายในที่นี้ไม่ได้หมายถึงแค่เฉพาะในโลก แต่รวมถึงสิ่งมีชีวิตทั้งปวงในจักรวาลด้วย...มนุษย์ต่างดาวก็เวียนว่ายตายเกิดเช่นกัน ? ส่วนจะไปเกิดภูมิไหนก็ขึ้นอยู่กับ กลไกที่เรียกว่า "กรรม"(การกระทำทั้งกาย วาจา ใจ) ซึ่งเป็น กฏของจักรวาลชนิดหนึ่ง... ลองมาดูโครงสร้างภาพรวม ภพ ภูมิ แบบย่อๆ โดยเรียงลำดับจากภูมิชั้นต่ำสุด-สูงสุด ส่วนรายละเอียดเชิงลึกแต่ละภูมิมีรายละเอียดยังไงหากสนใจก็คงต้องศึกษาค้นคว้ากันเองจาก พระไตรปิฎก...

๑. เหฏฐิมสงสาร = การท่องเที่ยวไปในโลกเบื้องต่ำ มีอยู่ 4 โลก คือ
1. นิรยภูมิ โลกนรก
2. เปตติวิสยภูมิ โลกเปรต
3. อสุรกายภูมิ โลกอสุรกาย
4. ติรัจฉานภูมิ โลกเดียรัจฉาน

๒. มัชฌิมสงสาร = การท่องเที่ยวไปในโลกชั้นกลาง มีอยู่ 7 โลก คือ
1. มนุสสภูมิ หรือ โลกมนุษย์ ที่เราอยู่กันทุกวันนี้
ประเภทของมนุษย์ แบ่งย่อยได้ 5 ประเภทดังนี้ คือ
1. มนุสสเนรยิโก มนุษย์สัตว์นรก ได้แก่ มนุษย์ผู้ดุร้าย หยาบคาย ฆ่าสัตว์ตัดชีวิตจี้ปล้นเอาทรัพย์สมบัติของผู้อื่นมาเป็นของตนโดยฆ่าเจ้าทรัพย์ตายบ้าง ทุบตีจนบาดเจ็บสาหัสบ้าง ข่มขืนแล้วฆ่าบ้าง เบียดเบียนผู้อื่นสัตว์อื่นทรมานผู้อื่นสัตว์อื่น เป็นคนไร้ศีลธรรม ไม่มีมนุษยธรรมคือศีล 5 ประจำตัวเลย นามว่า มนุสสเนรยิโก แปลว่า มนุษย์สตว์นรกคือเป็นมนุษย์แต่ชื่อ ส่วนความประพฤติทางกาย วาจา ใจนั้นเลวทราม ดุร้ายหยาบคายเหมือนสัตว์นรกฉะนั้น

2. มนุสสเปโต มนุษย์เปรต ได้แก่ มนุษย์ผู้มากไปด้วยความโลภ มากไปด้วยตัณหา ชอบลักเล็กขโมยน้อยโลภเอาของผู้อื่นมาเป็นของตน แย่งชิงวิ่งราวเป็นต้น แม้พวกที่เที่ยวขอทาน ก็สงเคราะห์เข้าในประเภทนี้ด้วย

3. มนุสสติรัจฉาโน มนุษย์สัตว์เดรัจฉาน ได้แก่มนุษย์ทีขวางศีลขวางธรรม มีโมหะคือความหลงมาก ไม่รู้จักบาป ไม่รู้จักบุญ ไม่รู้จักคุณ ไม่รู้จักโทษ ไม่รู้จักประโยชน์และมิใช่ประโยชน์ ไม่รู้จักบุญคุณของผู้มีพระคุณ เช่น บิดามารดา ครูบาอาจารย์ เป็นต้น เป็นมนุษย์ผู้ไร้ศีลธรรม ฆ่าสัตว์ ลักขโมย บ้ากาม ฯลฯ ทำอะไรทางกาย วาจา ใจ ก็ขวางๆผิดทำนองคลองธรรม คำ "เดรัจฉาน" แปลว่า ผู้ไปขวาง คือเดินทอดตัว ไม่ได้เดินตั้งตัวเหมือนคน คนเดรัจฉานก็ฉันนั้น ทำอะไรก็ขวางธรรม ขวางวินัย คือขาดศีลธรรมเสมอๆ

3. มนุสสภูโต มนุษย์แท้ๆ คือเป็นคนเต็มตัว ได้แก่คนรักษาศีล 5 มั่นเป็นนิตย์ไม่ขาด มนุสสภูโต แปลว่ามนุษย์แท้ๆ เพราะมีคุณธรรมของคนคือศีล ศีล ท่านแปลว่า เศียร คือ หัว ถ้าคนขาดศีล ก็คือคนหัวขาดนันเอง เพราะขาดจากคุณธรรมของความเป็นคน

5. มนุสสเทโว มนุษย์เทวดา ได้แก่มนุษย์ผู้มีศีล 5 มั่นเป็นนิตย์ แล้วยังได้พยายามบำเพ็ญกุศลเพิ่มพูนบารมีอยู่เรื่อยๆ เช่น ให้ทาน ฟังธรรม เรียนธรรม ปฏิบัติธรรม มีหิริคือความละอายต่อบาป มีโอตตัปปะ คือความสะดุ้งกลัวต่อผลแห่งบาปอยู่เสมอ เรียกว่าเป็นผู้มีใจสูงดุจเทวดา เพราะประกอบด้วยเทวธรรม 7 ประการคือ
-บำรุงเลี้ยงมารดาบิดา
-ประพฤติอ่อนน้อมถ่อมตน
-พูดจาสุภาพ
-ไม่พูดส่อเสียด โกหก เพ้อเจ้อ ตอแหล มารยา
-ละความตระหนี่เหนียวแน่น
-รักษาคำสัตย์ ไม่ปลิ้นปล้น
-ไม่โกรธง่าย มีเมตตา

ส่วนเหตุที่มนุษย์เกิดมามีลักษณะคุณสมบัติแตกต่างกันเพราะ กรรม(กาย วาจา ใจ)" ภาพรวมโดยย่อ ได้แก่
** อายุสั้น เพราะได้เคยฆ่าสัตว์ตัดชีวิตไว้
** อายุยืน เพราะงดเว้นจากการฆ่าสัตว์ตัดชีวิต
** มีโรคมาก เพราะเบียดเบียนทรมานสัตว์ไว้มาก
** มีโรคน้อย เพราะเว้นจากการเบียดเบียนสัตว์
** บุคลิคดี สวย เพราะไม่มีความโกรธความคับแค้นเก็บไว้ในใจ
** อัปลักษณ์ เพราะมากด้วยความโกรธความคับแค้นเก็บไว้ในใจ
** มีอำนาจบริวาร เพราะไม่เป็นผู้มีใจอิจฉาริษยาผู้อื่น
** ไม่มีอำนาจ เพราะเป็นผู้มีใจมากด้วยความอิจฉาริษยาผู้อื่น
** มีฐานะร่ำรวย เพราะได้ทำบุญทำทานไว้มาก
** มีฐานะยากจน เพราะไม่ได้ทำบุญทำทานไว้
** เกิดในตระกูลต่ำ เพราะดูถูกเหยียดหยามคนอื่นว่าต่ำกว่าตน
** เกิดในตระกูลสูง เพราะไม่ดูถูกเหยียดหยามคนอื่น
** โง่ ปัญญาน้อย เพราะไม่ชอบไต่สวนทวนถามปัญหาข้อสงสัยแก่ผู้รู้
** ฉลาดหัวไว มีปัญญา เพราะชอบไต่สวนทวนถามปัญหาข้อสงสัยแก่ผู้รู้เสมอ ๆ


2. จาตุมหาราชิกาภูมิ เทวโลกชั้นที่ 1
3. ตาวติงสาภูมิ เทวโลกชั้นที่ 2
4. ยามาภูมิ เทวโลกชั้นที่ 3
5. ตุสิตาภูมิ เทวโลกชั้นที่ 4
6. นิมมานรตีภูมิ เทวโลกชั้นที่ 5
7. ปรนิมมิตวสวัตตีภูมิ เทวโลกชั้นที่ 6
(*พวก 2-7 นี้ก็คือ พวกเทวดาชั้นต่างๆนั้นเอง...ที่น่าแปลกใจก็คือ ในตำนานพญามารผู้ยิ่งใหญ่มีอำนาจมาก แต่กลับมีนิสัยชอบก่อกวนสร้างความเดือดร้อนรังแกผู้อื่นเป็นนิจ! ด้วยมีฤทธิ์มากจึงได้ระรานข้ามไปถึงสิ่งมีชีวิตในภพภูมิชั้นอื่นๆด้วย! พระพุทธเจ้าก็ยังเคยโดนมาแล้ว...และพญามารท่านนี้ก็เป็นเทวดา ในชั้นสูงคือชั้นที่ 6 ! ... เทวดาก็เลวได้??? ซึ่งสวนทางจากความเชื่อเดิมๆว่า เทวดาคือผู้ประเสริฐเสมอ...ชาวพุทธคงต้องมาตีความศึกษาเรื่องเทวดากันใหม่!)

๓. อุปริมสงสาร หรือเรียกว่า "พวกพรหม" = การท่องเที่ยวไปในโลกเบื้องสูงเป็นภูมิที่ประณีต (แต่ก็ยังไม่ได้หลุดพ้น ยังคงเป็นทุกข์จากการเกิดแก่เจ็บตาย เช่นเดียวกับภูมิอื่นๆ เมื่อหมดวาระหรือหมดบุญ ตายจากพรหมก็อาจจะตกไปสู่ภูมิต่ำกว่า กระทั่งไปลงนรก เป็นเดรัจฉาน ก็ได้ ไม่มีอะไรรับประกัน! เพราะทุกอย่างจะดำเนินตามลไกของ "กรรม" อย่างเฉียบขาด) พรหม แบ่งประเภทได้เป็น 20 โลก คือ
1. พรหมปาริสัชชาภูมิ
2. พรหมปุโรหิตาภูมิ
3. มหาพรหมภูมิ
4. ปริตตาภาภูมิ
5. อัปปมาณาภา
6. อาภัสสราภูมิ
7. ปริตตสุภาภูมิ
8. อัปปมาณสุภาภูมิ
9. สุภกิณหาภูมิ
10. เวหัปผลาภูมิ
11. อสัญญสัตตาภูมิ
12. อวิหาภูมิ
13. อตัปปาภูมิ
14. สุทัสสาภูมิ
15. สุทัสสีภูมิ
16. อกนิษฐภูมิ
17. อากาสาณัญจายตนภูมิ
18. วิญญาณัญจายตนภูมิ
19. อากิญจัญญายตนภูมิ
20. เนวสัญญานาสัญญายตนภูมิ

*ส่วนผู้ที่หลุดพ้นไม่เวียนว่ายตายเกิดอีกนั้น เรียกว่า "โลกุตรภูมิ" สถานภาพของโลกุตรภูมินี้จะเกิดขึ้นได้เฉพาะกับสิ่งมีชีวิตที่บำเพ็ญบารมีจนกลายเป็น "พระอริยบุคคล"เท่านั้น ซึ่งอาจจะยังคงเป็นร่างมนุษย์ที่ยังเดินดินอยู่ก็ได้ หรือเป็นสิ่งมีชีวิตในภูมิสูงกว่าอื่นๆ เทวดา-พรหม (*แต่ภูมิที่ต่ำกว่ามนุษย์ลงไปไม่สามารถเป็น พระอริยบุคคลได้เลย เหตุผลเพราะอยู่ในสภาพที่ทุกข์ทรมานเร้าร้อนเกินไปไม่เอื้อต่อการบำเพ็ญบารมี) ดังนั้นสภาพโลกุตรภูมิ จึงเป็นสภาพที่ค่อนข้างพิเศษกว่าภูมิอื่นๆ ตรงที่ไม่ได้เจาะจงสถานที่อันเป็นที่เกิดที่อยู่ในชั้นต่างๆ แต่หมายเอาสภาพคุณสมบัติพิเศษทางจิตเป็นหลัก อริยบุคคลมี 4 ประเภท ได้แก่

1.โสดาบันบุคคล
2.สกิทาคามีบุคคล
3.อนาคามีบุคคล
4.อรหันตบุคคล

โดย 3 พวกแรก ยังคงมีเศษกรรมเล็กๆน้อยๆที่ต้องกลับมาเกิดอีกแต่ก็ไม่กี่ชาติเท่านั้น(กล่าวว่าเต็มที่ก็ไม่เกิน 7 ชาติ) โดยจะไม่ได้เกิดตกไปในภพภูมิเบื้องต่ำอย่างเด็ดขาด(นรก เปรต อสุรกาย เดรัจฉาน) และในที่สุดก็จะบรรลุนิพพานกลายเป็น อรหันตบุคคล หรือ พระอรหันต์ อย่างแน่นอน ซึ่งพระอรหันต์นั้นเมื่อกายดับตายไปจากชาติสุดท้ายนั้นแล้ว ก็จะไม่กลับมาเวียนว่ายตายเกิดในภูมิต่างๆอีกเลย...

*ส่วนประเด็นพระอรหันต์บรรลุนิพพานแล้วไปอยู่ไหนนั้น พระไตรปิฎก หรือ พระพุทธเจ้า เองก็ไม่ได้ให้รายละเอียดไว้มากนัก และเมื่อมีคนถาม พระพุทธเจ้าก็มักเลี่ยงที่จะตอบ เพราะเป็นสภาวะที่เหนือวิสัยเกินจะบรรยายได้ ! ???... ถึงตอบบ้างก็อธิบายเป็นเชิงอุปมาอุปไมยสั้นๆเท่านั้น เช่น... "เปรียบนิพพานดั่งกับไฟที่ดับแล้ว บอกได้ยากว่าไฟที่ดับไปนั้นหายไปไหนหรือไปอยู่ที่ไหน"...

*ประเด็นที่น่าสนใจอีกเรื่องคือกรณี "พระเจ้า!" หรือ ผู้สร้างระบบจักรวาลทั้งหมด หากใครมาถามทำนองนี้ พระพุทธเจ้าก็มักเลี่ยงไม่ตอบเช่นกัน และก็ไม่ได้ยืนยันฟันธงว่ามีหรือไม่มี จะสนทนาไปบ้างก็ทำนองว่า
"ถึงเราตอบ ท่านก็ไม่พอใจเพราะยังไงท่านก็ไม่ได้พบด้วยตัวเอง มาถกเถียงกันเสียเวลาเปล่า" และท่านมักจะขอให้ผู้ถามหยุดคิดสงสัยเรื่องพระเจ้าไว้ก่อน...และแนะนำว่า ชีวิตมีเวลาจำกัดเกินไป สิ่งที่เร่งด่วนและสำคัญมากกว่า ณ ตอนนี้คือการ "ปฏิบัติธรรมบำเพ็ญบารมีให้หลุดพ้น แล้วทุกอย่างจะกระจ่างเอง"...

...ข้อสังเกตอันเป็นโศกนาฏกรรมที่ชวนขนลุก ในพระไตรปิฎกอีกอย่างหนึ่ง ก็คือ...เจ้าชายสิทธัตถะเป็นโอรสกษัตริย์ ร่ำรวยมั่งคั่ง-ปราสาทราชวัง-แวดล้อมบริวารข้าทาสนางรับใช้ แต่ก็เห็นว่าสิ่งต่างๆเหล่านั้นไร้สาระเลยละทิ้งทั้งหมดแล้ว ออกผนวช! อาศัยในป่า ห่มผ้า3ผืน กินข้าวมื้อเดียว บำเพ็ญบารมีอย่างยิ่งยวด! จนบรรลุธรรม...แต่ตรงกันข้าม...พวกเราในยุคปัจจุบันนี้เป็นแค่มนุษย์ไพร่ๆคนธรรดา กลับต่างดิ้นรนแย่งชิงแสวงหาสิ่งที่เจ้าชายสิทธัตถะเห็นว่าไร้สาระ ละทิ้งมาเมื่อ 2500 กว่าปีมาแล้ว...ช่างกลับตาลปัตร!

....................................

*ส่งท้าย แถม สารคดี "โลกยังร่ำไห้" กรรม! ของมนุษยชาติ
(ความยาวเกือบ 1 ชม.!)


วันศุกร์ที่ 7 มกราคม พ.ศ. 2554

บอลมังกร 400 กว่ากิ๊ก!

!! ใครบอกว่า ตำนาน บอลมังกร จบไปแล้วที่ภาค GT !!
ยังมีภาคต่อไปอีก ในรูปแบบ Game "Dragonball Online" เป็นเรื่องราว รุ่นเหลนเลยทีเดียว !... ดูคลิป บรรยากาศ 216 ปีผ่านไปหลัง Dragonball GT


ไม่นานมานี้เพื่อนส่งลิงค์ บิท แห่งหนึ่งมาให้...มีคนใจดีปล่อย DVD สุดยอดมหากาพย์การ์ตูนระดับตำนานอมตะ นั่นคือ "Dragonball" เวอร์ชั่นพากย์ไทยซะด้วย เกิดอาการ ช็อค! พอสมควร ที่ช็อคก็เพราะ เป็นการปล่อยคราวเดียวแบบครบสมบูรณ์ทุกภาค ไม่ว่าจะเป็น Dragonball ตอนเด็ก, ภาคZ, GT รวมทั้งที่เป็น ภาคพิเศษ The Moive รวมกันแล้วก็ กว่า !! 400GB !! ....ต้องซูฮกคนปล่อยเขาใจเกินร้อย...แต่อลังการขนาดนี้เชื่อว่าคงไม่กี่คนที่สามารถโหลดไหวได้ไปทั้งหมด (ชักเริ่มเห็นความสำคัญของฮาร์ดดิสระดับ Terabyte ก็คราวนี้)... เราอยู่เป็นยุคแห่งการแบ่งปัน ที่น่าสะพรึงกลัว!! จริงๆ

ส่วนตัวแล้วต้องยอมรับว่าสมัยเด็ก เสพติด Dragonball งองแงม ได้แรงบัลดาลใจหลายๆอย่างติดตัวมาจนถึงทุกวันนี้ (ก็เหมือนหลายๆคนที่ร่วมรุ่นช่วงสมัยเดียวกัน :) และหากพูดถึง Dragonball ตอนที่ชอบที่สุด...ขอยกให้ ชุด The Movie ภาคพิเศษ ในตอน ศึก"Kooler" ... พล็อตสนุก ล้ำจินตนาการดี



แฟน Dragonball หลายท่านอาจจะไม่รู้และไม่เคยสังเกตว่า...ชื่อตัวละครในดราก้อนบอล ล้วนแต่ตั้งชื่อเล่นคำโดยมีที่มาจัดเป็นหมวดหมู่ต่างๆอย่างชัดเจน...ลองดูตัวอย่าง :)

ชาวไซย่า ในหมวดชาวไซย่านั้น ล้วนแล้วแต่เกี่ยวกับ "ผัก"ทั้งสิ้น
Saiya=กลับคำเป็น Yasai ยะไซ แปลว่า "ผัก"
Kakarot(ชื่อจริงโกคู) = แครอต
Raditz(พี่ชายของโกคู) = Radish = หัวไชเท้า

Broly= ผักบร็อคโคลี่
Paragus = Asparagus(พ่อของโบรลี่) = หน่อไม้ฝรั่ง
Vegeta(เบจิต้า) = Vegetable = ผัก

Nappa = ผักกาด


ชื่อของพวกตระกูลฟรีซเซอร์ เกี่ยวกับความเย็นทั้งหมด
Freeza-Freezer = แช่แข็ง

King Cold(พ่อของฟรีซเซอร์) = เย็น

Kooler (พี่ชาย Freeza) = cooler = เครื่องทำน้ำเย็น


สมุนฟรีซเซอร์ หน่วยรบพิเศษกินิว จากผลิตภัณฑ์จากนม
Captain Ginyu(ตัวสีม่วงมีเขา): Ginyu = นม,
Burta(ตัวสีน้ำเงิน) = Butter = เนย,
Gurudo(ตัวเขียว) = Gurd=Yogurt = โยเกิร์ต,
Jeice(ตัวผมขาว) = Cheese = เนยแข็ง,
Recoome (ตัวผมจุกแดง :เป็นการสลับตัวอักษรจาก クリム(คุรีม = Cream) แผลงเป็น リクーム(รีคูม)

วันเสาร์ที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2554

R.U.R. หุ่นยนต์สากลราวี


พวกเราอาจเป็น "Robot" ในแง่ใดแง่หนึ่งอยู่ก็ได้ แต่ไม่รู้ตัว!

เป็นหุ่นยนต์ของมนุษย์ด้วยกันเอง (บางคน-บางกลุ่ม...)

เป็นหุ่นยนต์ของระบบโลกทุนนิยม-เงินตรา (ผ่อนส่ง, กำไร, ขาดทุน ...)

เป็นหุ่นยนต์ของระบบธรรมชาติ-จักรวาล (พระเจ้า?) บางด้าน ???
(เอาตัวรอด, สงคราม, สืบเผ่าพันธุ์ไม่จบไม่สิ้น...???)

ฯลฯ

แล้วจะมีไม่ใครซักกี่คนที่รู้ตัว และคิดที่จะ ปลดแอก! ตนเองให้อิสระ ???


เคยพูดถึงบทละคร R.U.R ในบล็อคนี้ หัวข้อ สถาปนา หุ่นยนต์! เมื่อต้นปี 2009 นานมาแล้ว... (และตอนนั้นก็ได้ต้นฉบับภาษาอังกฤษ บทละครนี้มา ในรูป .pdf แต่ก็อ่านไม่จบ :) หยุดปีใหม่ แวะเข้าร้านหนังสือแห่งหนึ่ง บังเอิญเหลือบไปเห็น คุ้นๆ อ้าว! มีแปลเป็นภาษาไทยแล้วรึ พลิกดูรายละเอียดเพิ่งวางจำหนายปลายปี 2010 ที่แล้วนี้เอง...ก็ไม่ต้องรีรอ เสียตังค์ไปตามระเบียบ

"ห.ส.ร. (หุ่นยนต์สากลราวี)" แปลจาก R.U.R Rossum's Universal Robots
โดย ปราบดา หยุ่น : สนพ. ไต้ฝุ่น

...ปี 1921 นักประพันธ์ชาวเชคโกสโลวาเกีย คาเรล ชาเพ็ก ("Karel Capek") ได้เขียนบทละครเชิงสะท้อนชีวิตในสังคมอุตสาหกรรมในยุคนั้น เรื่อง R.U.R. หรือ Rossum's Universal Robots โดยในเรื่องมีการใช้คำว่า "Robot" หรือ "Robota" ซึ่งเป็นภาษาเชคแปลว่า "tedios labor" หรือ "forced labor" อันหมายถึง ผู้ถูกบังคับให้ทำงาน หรือ ทาส! นั้นเอง และบทละครชิ้นนี้เองคือ ที่มาของต้นกำเนิดของคำว่า "Robot" ไม่น่าเชื่อว่าจะอายุ 100 ปีแล้ว แต่มุกที่ล้อเลียนยังแสบสันทันสมัยและยังคงสะท้อนชีวิตคนยุคปัจจุบันได้เป็นอย่างดีเยี่ยม...หากได้อ่านเรื่องแล้วพิจารณาดีๆมองมุมหนึ่งหุ่นยนต์ในเรื่องก็คงไม่ใช่อะไรที่ไหน ก็มนุษย์เราเองนี่แหละ...

ภาพละครเรื่อง R.U.R ยุคนั้น...ในโลกที่มนุษย์มีหุ่นยนต์เป็นทาสทำงานแทนได้ทุกอย่าง จนชีวิตสุขสบายราวอยู่ในวิมาน...จะเกิดอะไรขึ้นเมื่อหุ่นยนต์เริ่มมีอารมณ์ ความรู้สึก และคิดกบฏต่อผู้สร้างมันขึ้น เนื่องจากพวกมันมักศักยภาพเหนือกว่ามนุษย์ทุกด้าน มนุษย์จึงไม่มีความจำเป็นอีกต่อไป...

"หุ่นยนต์ทั้งหลาย มนุษย์ได้ล้มตายไปเป็นจำนวนมากแล้ว
ยุคสมัยแห่งมนุษยชาติถึงคราวอวสาน โลกใหม่ได้เริ่มขึ้นแล้ว
โลกภายใต้การปกครองของหุ่นยนต์ "
คำโปรยบนปกหนังสือ

ในยุคที่หนังสือแนวไซไฟชั้นเยี่ยมขาดแคลน!...ผู้ต้องการความบันเทิงที่ลับคมปัญญาปลุกเร้าจินตนาการ

- เล่มนี้ไม่ควรพลาด -