วันอังคารที่ 27 ตุลาคม พ.ศ. 2552

ศิลเปรอะ ฝุ่นบนรถ!


" Dirty Car Art "
โดยศิลปิน Scott Wade

ต่อไปนี้รถใครฝุ่นเขลอะ อย่าไปล้าง เอาไอเดียนี้ไปใช้ 555
....แน่นอนจริงๆ :)

วันอังคารที่ 20 ตุลาคม พ.ศ. 2552

2012 แค่ข่าวลือ?

ดูหนังเรื่อง 2012 หรือยัง :)

ล่าสุดมีข่าวเกี่ยวกับ 2012...เดวิด มอร์ริสัน (David Morrison) นักวิทยาศาสตร์นาซ่า (NASA) เปิดเผยถึงข่าวที่กำลังแพร่สะพัดไปทั่วอินเทอร์เน็ตที่ว่า โลกจะถึงคราวสิ้นสุดลงในปี 2012 ด้วยเหตุผลทางดาราศาสตร์เป็นแค่"ข่าวลือ"เท่านั้น โดยด็อกเตอร์มอร์ริสันระบุว่า อาการ"วิตกจักรวาล" (cosmophobia) ถูกยัดเยียดโดยเว็บไซต์วิทยาศาสตร์ "จอมปลอม" และผู้ที่พยายามสร้างกระแสสื่อเพื่อหวังผลประโยชน์โดยการหาเงินจากความไม่รู้ของสาธารณชน...

ความเชื่อที่แพร่กระจายอยู่บนเน็ตที่ว่า วันที่ 21 ธันวาคม 2012 จะเป็นวันโลกาวินาศ (doomsday) และมีการสร้างขึ้นเป็นภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์ เนื่องจากเหตุการณ์บางอย่างที่เกิดขึ้นในจักรวาลจะทำลายโลก กลายเป็นเรื่องหลอกลวง โดยคำยืนยันดังกล่าวมาจากด็อกเตอร์เดวิด มอร์ริสัน นักวิทยาศาสตร์นาซ่า ซึ่งข้อสรุปของคำอ้างต่างๆ และการโต้ตอบของนักวิทยาศาสตร์ที่มีต่อเรื่องดังกล่าว กำลังได้รับการเผยแพร่โดย สมาคมดาราศาสตร์แห่งภาคพื้นแปซิฟิก

หลายเดือนที่ผ่านมา ทางนาซ่า และนักบินอวกาศหลายคนได้รับจดหมาย และอีเมล์แสดงความวิกตกังวลจากข่าวสารที่มีการเผยแพร่บนอินเทอร์เน็ตถึงความเป็นไปได้ที่โลกจะคราววินาศ และความสูญเสียของชีวิตมนุษย์อย่างมากมายในปี 2012 เหตผลและเงื่อนไขที่จะทำให้โลกแตกได้รับการนำเสนออย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นการพุ่งชนของดาวเคราะห์ชื่อว่า "Nibiru" จุดดับบนดวงอาทิตย์ที่เกิดขึ้นอย่งต่อเนื่อง ตำแหน่งใหม่ของการจัดวางศูนย์กลางกาแล็กซี่ และอื่นๆ อีกสารพัด เดวิด มอร์ริสัน บัญญัติอาการหวาดวิตกต่อเหตุการณ์ดังกล่าวว่า "cosmophobia" ซึ่งเกิดขึ้นกับผู้คนทั่วโลกในวงกว้าง

ปล.ได้ข้อมูลทำนองนี้คนที่วิตกกังวลคงอุ่นใจขึ้นบ้าง...แต่ก็ต้องไม่ลืมนะว่า การทำนาย "คลื่นยักษ์สีนามิ" ก็เคยได้รับการกล่าวหา+หัวเราะยอะจากนักวิทยาศาสตร์ชั้นนำด้วยกันว่า...เพ้อเจ้อไร้สาระมาแล้ว...และในที่สุดผลปรากฏออกมาเป็นอย่างไร ก็เป็นที่รู้กัน...

หนังไทย 2022 สึนามิวันโลกสังหาร (ด...คุณ ชลิต เฟื่องอารมณ์ ตีบทแตก)

วันพุธที่ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2552

ดีไซน์สัปดน(Unsen :)


ความคิดสร้างสรรค์มีคุณอนันต์ แต่เมื่อสัปดนจะวิปริตอย่างมหันต์ (ฮา!)

วันอังคารที่ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2552

นิยายเรื่องทฤษฎีวิวัฒนาการ

เคยนำเสนอเนื้อหาว่าด้วยเรื่องเกี่ยวกับ "ทฤษฏีวิวัฒนาการ" มาแล้วครั้งหนึ่งในหัวข้อ...ชาลส์ ดาร์วิน "ฤามนุษย์เป็นได้แค่สัตว์ร้าย" และเผอิญไปพบเห็น ป้ายโฆษณาขนาดใหญ่รณรงค์ ลดความอ้วน ปรากฏทั่วไปตามสีแยกหรือริมทางต่างจังหวัด ทำนองรูปด้านล่างนี้ ...จึงวกกลับมานึกถึง ทฤษฏีวิวัฒนาการ อีกครั้ง... (555)


แลมมาค(Lamarck) เพื่อนชาร์ลส์ ดาร์วิน(Charles Darwin) มีความเชื่อว่า สิ่งมีชีวิตจะถ่ายทอดลักษณะพิเศษเฉพาะตัวที่มีอยู่ไปสู่รุ่นต่อไป...ยีราฟวิวัฒนาการมาจากสัตว์ที่คล้ายกวาง นั่นก็คือลำคอของสัตว์จำพวกนี้จะค่อยๆยืดออกไปตามกาลเวลาจากรุ่นหนึ่งไปสู่อีกรุ่นหนึ่ง ทั้งนี้ก็เนื่องมาจากมันพยายามที่จะเอื้อมไปกินใบไม้ที่อยู่บนกิ่งสูงๆ และ Lamarck ก็มีไอเดียที่น่าสนใจว่า... ถ้าแขนของคนในสมาชิกในครอบครัวถูกตัดออกเป็นเวลาหลายชั่วอายุคน เด็กที่เกิดขึ้นมาใหม่ในภายหลังก็จะเริ่มแขนกุดหรือไม่มีแขน!...

ดาร์วิน ได้แรงบันดาลใจมาจากสหายแลมมาค จึงได้ท่องโลกและเขียนหนังสือทฤษฎีวิวัฒนาการที่รู้จักกันดี "The Origin of Species" และได้ให้กรอบความคิดทำนองเดียวกับ แลมมาค ว่า หมีบางชนิดที่พยายามหาเหยื่อในน้ำจะวิวัฒนาการไปเป็นปลาวาฬได้ในที่สุด ...โดยเหตุที่ต้องมีการวิวัฒนาการก็เพราะ ดำรงชีวิตให้อยู่รอดต่อไปได้ เพื่อจะได้แพร่ของตนพันธุ์ให้เยอะที่สุด สืบทอดเผ่าพันธุ์ให้ดำรงอยู่ต่อไปได้ยาวนานที่สุด

ถ้าระบบธรรมชาติเป็นไปอย่างทฤษฎีวิวัฒนาการที่ ดาร์วินและแลมมาคว่าไว้จริง จากภาพบนนี้... หากคนใจรักในการกินมูมมามกินไม่หยุด+ทำตัวเหมือนหมูต่อเนื่องจากรุ่นสู่รุ่นไปเรื่อยๆ(ล้านๆปี)แล้ว ก็จะสามารถค่อยๆกลายพันธุ์ไปเป็นหมูได้ในที่สุด (ฮา!) และมองกลับกันกรณีสัตว์เลี้ยงที่อยู่คลุกคลีกับคนนานๆอย่างหมา-แมว เจ้าของบางคนรักมันมากเหมือนคนคนหนึ่ง พูดจาสนทนาด้วย-ไปไหนไปกัน ก็ย่อมเป็นไปได้ที่รุ่นลูกรุ่นเหลนของมันในอนาคตจะค่อยวิวัฒนาการตัวเองให้กลายเป็นคนเพื่อจะได้ปรับตัวอยู่รอดได้ดีขึ้นในการใช้ชีวิตเป็นเพื่อนกับคน(ถ้าคนไม่วิวัฒนาการเป็นสัตว์เลี้ยงที่ตนรักไปเสียก่อน กร๊ากกก)

ยังไม่มีใครยืนยันว่าทฤษฎีวิวัฒนาการจะจริงแท้แค่ไหน แต่วิถีชีวิตผู้คนในโลกก็ถูกครอบงำโดยทฤษฎีวิวัฒนาการไปแล้วกว่าค่อนโลกนับแต่อดีตยันปัจจุบัน! (ทุกคนต่างมุ่งแข่งขันมุ่งแพร่พันธุ์ของตนให้เยอะที่สุดเท่าที่จะเยอะได้ 555 ...อาจไม่ได้แสดงออกมาในรูปการแพร่พันธุ์ทางร่างกายอย่างเดียว แต่รวมไปถึงการขยายพันธุ์แบบอื่นๆด้วย อาทิ ขยายพันธุ์สาขาธุรกิจ แพร่พันธุ์สินค้า-ผลิตภัณฑ์ แพร่พันธุ์ความเชื่อของตน ฯลฯ :)

เท่าที่พิจารณาดู ทฤษฎีวิวัฒนาการจะเป็นจริงปราศจากข้อกังขา ก็ต่อเมื่อปรากฏว่ามีสิ่งที่มีชีวิตที่มีรูปลักษณ์อยู่ในช่วงครึ่งๆกลางๆที่กำลังจะกลายพันธุจากชนิดหนึ่งไปสู่อีกชนิดหนึ่ง เช่น กรณีสัตว์เลื้อยคลานวิวัฒนาการไปเป็นนก ก็จะต้องมีฟอสซิลที่อยู่ในลักษณะทำนองครึ่งตัวเป็นนกอีกครึ่งตัวเป็นสัตว์เลื้อยคลาน และสัตว์เช่นนั้นก็จะต้องมีอวัยวะที่ยังไม่สมบูรณ์หรือยังไม่พัฒนาเป็นตัวนกจริงๆเต็มรูปแบบ...แต่ปัจจุบันยังไม่มีหลักฐานทำนองนี้ชัดเจนนัก (เท่าที่เห็นตอนนี้ก็มีแต่ นักการเมืองบ้านเรา หลายท่านกำลังอยู่ในช่วงวิวัฒนาการไปเป็นสัตว์เลื่อยคลาน... อุ๊ปป!!)

โดยส่วนตัวไม่ซีเรียสว่า ทฤษฎีวิวัฒนาการจะจริงหรือไม่ เพราะไม่มีใครตอบได้หรอกว่าอะไรจริงแท้ 100% ขึ้นอยู่กับหลักฐาน เหตุผล กับความเชื่อส่วนบุคคล อาจจะจริงบางมุมแต่อาจจะไม่จริงในบางแง่มุมก็ได้...แต่ถ้าเราลองมองทฤษฎีวิทยาศาสตร์ รวมทั้งทฤษฎีวงการอื่นๆไม่ว่าจะเป็น ศิลปะ ปรัชญา ศาสนา สังคมศาสตร์ เศรษฐศสตร์ ฯลฯ ให้เป็นความบันเทิงเยี่ยงวรรณกรรมชิ้นหนึ่งแล้ว จะพบว่า ทฤษฎีต่างๆล้วนเป็นวรรณกรรมชั้นเยี่ยม บ้าดี! มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว เต็มไปมุมมองพล็อตเรื่องอันน่าพิศวง อาทิ เรื่องหลุมดำ บิ๊กแบ๊ง สสารพลังงาน สิ่งมีชีวิตต่างดาว แนวคิดของพระเจ้าสร้างจักรวาล ทะเลนอกจักรวาล(สีทันดร) แนวคิดเรื่องสังคมประชาธิปไตย สังคมคอมมิวนิสต์ ฯลฯ โดยเฉพาะทฤษฎีวิวัฒนาการ แนวคิดที่ว่าด้วย...สัตว์เซลล์เดียว...การกลายพันธุ์แบบผ่าเหล่าฉับพลัน(Mutation) ...เป้าหมายของธรรมชาติ...ฯลฯ...ล้วนอุดมไปด้วยจินตนาการ ความคิดสร้างสรรค์ เป็นแหล่งให้แรงบัลดาลใจและไอเดียใหม่ๆได้เสมอ แม้ในที่สุดมันจะเป็นเรื่องไม่จริงหรือเรื่องโกหกก็ตาม...

บางทีเรื่องโกหกอย่างมีหลักการก็ทำให้โลกมีสีสันไม่น่าเบื่อจนเกินไป นะ :)

วันศุกร์ที่ 2 ตุลาคม พ.ศ. 2552

เหาะไปทุกซอกทุกมุมโลก

ในอนาคตอันใกล้การดูโลกและแผนที่ผ่านเน็ตทำนอง Google Earth (และของค่ายอื่นๆ) จะไม่ใช่แค่การเห็นภาพถ่ายทางอากาศนิ่งๆ แต่เราจะได้เห็นภาพเคลื่อนไหวแบบเวลาจริง ณ ขณะปัจจุบัน (Realtime) เหมือนเรานั้งเครื่องบินหรือเหาะ! (Fly-Through) เข้าไปยังตรอกซอกซอยต่างๆบนพื้นโลกในลักษณะ สามมิติ(3D)ที่ไม่ใช่แค่ภาพจำลองแต่เป็นของจริง!...เราสามารถบินผ่านหมอกเมฆ ลงมายังพื้นโลก เห็นรถวิ่ง เห็นนกบิน เห็นเรือวิ่งในแม่น้ำ-ทะเล เห็นคลื่นกำลังซัดชายฝั่งทะเล เห็นคนเดินในสวนสาธารณะ-ตลาดนัด (สวนลุม-จตุจักร ฮึ ๆ ๆ) ดูเครื่องบินกำลังร่อนลงสุวรรณภูมิ เห็นหมีขั้วโลกกำลังหาปลา เห็นภูเขาไฟระเบิด เข้าไปดูการแข่งฟุตบอล งานคอนเสิร์ต เหาะไปชมสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ (และเห็นการเคลื่อนทัพของม็อบต่างๆอย่างชัดเจน ฮา!) ฯลฯ...

ที่ว่ามาทั้งหมดไม่ใช่แค่เรื่องเพ้อฝัน เพราะโครงการจริงได้เกิดขึ้นแล้ว ลองดูวิดิโอคลิปก่อน..แล้วพี่น้องจะทึ่ง!


นักศึกษาจาก Georgia Institute of Technology ได้ทำงานวิจัยเรื่อง "Augmenting Aerial Earth Maps with Dynamic Information" โดยการใช้วีดีโอจากกล้อง CCTV จำลองหรือเขียนโปรแกรมแปะฝังข้อมูลการเคลื่อนไหวของคนและยานพาหนะไปบน Google Earth ตัวอย่างหนึ่งที่แสดงในวีดีโอ(คลิปด้านบน) คือการเล่นอเมริกันฟุตบอลและยานพาหนะที่วิ่งอยู่บนถนน ณ เวลาจริง ทั้งการเคลื่อนไหวก็ไปตามความเป็นจริง (แค้ขณะนี้ยังเป็นข้อมูลจำลองอยู่) โดยหลังจากนี้ผู้พัฒนาจะเพิ่มข้อมูลสภาพอากาศ (แดดออก ฝนตก ฯลฯ) นกบิน และการเคลื่อนไหวบนแม่น้ำ-ทะเล และอื่นๆอีกมากมาย!

และธรรมดาสิ่งที่มีคุณก็ย่อมมีโทษซ่อนเร้นเสมอ... ภัยซ่อนเร้นที่จะตามมาจากนวัตกรรมนี้ อาทิ ปัญหาความเป็นส่วนตัว?...หากสามารถติดตามคน หรือรถยนต์ได้โดยเจ้าตัวไม่เต็มใจหรือไม่รู้ตัว?...ความลับของชาติ-การเมือง-การทหาร?...ปัญหาเรื่องผลประโยชน์อื่นๆที่จะตามมา? ฯลฯ...องค์กรกฏหมาย-องค์กรสิทธิมนุษยชน ฯลฯ ก็จำต้องไล่ตามเทคโนโลยีโลกาภิวัตน์อันเชี่ยวกรากแห่งยุคศตวรรษที่ 21 นี้...ก็ค่อยว่ากันต่อไป