วันจันทร์ที่ 8 ธันวาคม พ.ศ. 2551

ชาลส์ ดาร์วิน "ฤามนุษย์เป็นได้แค่สัตว์ร้าย"

ชาลส์ ดาร์วิน (Charles Darwin) เป็นนักธรรมชาติวิทยาชาวอังกฤษ ผู้เสนอทฤษฎีวิวัฒนาการสมัยใหม่ และหลักการพื้นฐานของกลไกการคัดเลือกโดยธรรมชาติ การเดินทางออกไปยังท้องทะเลทั่วโลกกับเรือบีเกิล (HMS Beagle)โดยเฉพาะการเฝ้าสำรวจที่หมู่เกาะกาลาปากอส เป็นทั้งแรงบันดาลใจ และให้ข้อมูลจำนวนมากซึ่งนำมาใช้เป็นทฤษฎี ในหนังสือชื่อ "The Origin of Species" อันเป็นผลงานที่มีชื่อเสียงที่สุดของเขา ที่สำคัญและไม่ค่อยมีใครสังเกตก็คือ ปัจจุบันในวงการศึกษา-วิชาการเกือบทุกแขนงล้วนถูกครอบงำด้วยทฤษฎีของ ดาร์วิน เสียทั้งสิ้น!! ทั้งได้ส่งผลต่อแนวคิดในการดำรงชีวิตและสังคมมนุษย์อย่างหนักหน่วง ซึ่งมีแนวโน้มออกมาในทำนองที่เลวร้ายเสียส่วนใหญ่(จะโดยรู้ตัวหรือไม่รู้ตัวก็ตาม)

ทฤษฎีของ ดาร์วิน โดยสังเขปดังนี้
1. สิ่งมีชีวิตทั้งปวง(รวมมนุษย์)กำเนิดขึ้นจากปฏิกิริยาของสสารโดยความบังเอิญ เป็นปรากฏการณ์ทางชีวเคมีล้วนๆ ไม่มีสิ่งที่เป็นนามธรรมอื่นใด(อาทิ วิญญาณ จิต หรือ พระเจ้า)อยู่เบิ้องหลัง

2. รูปแบบสิ่งมีชีวิตวิวัฒนาการมาจากการปรับตัวเปลี่ยนปลงรูปร่างให้เหมาะสมกับสภาพแวดล้อมซึ่งเป็นแบบค่อยๆเปลี่ยนกินเวลายาวนานเป็น(ล้านๆปี)

3. การวิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิตมีความมุ่งหมายเพียงเพื่อการอยู่รอดและสืบพันธุ์ให้เผ่าพันธุ์ของตนดำรงอยู่ต่อไปเท่านั้น

4. กฎการเลือกสรรโดยธรรมชาติได้กำหนดให้สิ่งมีชีวิตที่ปรับตัวได้ดีกว่าและแข็งแกร่งกว่าเท่านั้นจึงสามารถอยู่รอดได้ ส่วนผู้ด้อยกว่าย่อมถูกกำจัดทิ้งให้สูญพันธุ์ไปในที่สุด

ลองมาดูกันว่า ทฤษฎีของ ดาร์วิน มีอิทธิพลต่อความคิดและวิถีการดำเนินชีวิตของมนุษยชาติอย่างไร...

- คาร์ล มาร์กซ์ ได้ต่อยอดหลักการของดาร์วิน ก่อเกิดลัทธิคอมมิวนิสต์ ซึ่งมีหลักคิดว่า แก่นสารหลักของชีวิตมนุษย์คือ กิจกรรมทางเศรษฐกิจแห่งการผลิตเพื่อการกินอยู่ทางกายเท่านั้น, ส่วนที่เป็นกิจกรรมทางนามธรรมอาทิ ศาสนา-มนุษยธรรม-ศีลธรรม-ศิลปะ-ความบันเทิงทั้งปวง ฯลฯ เป็นเพียงแค่ส่วนส่งเสริมที่เกิดขึ้นตามเงื่อนไขของสังคมในช่วงเวลานั้นๆ หาได้มีแก่นสารจริงแท้แต่ประการใด โดยเฉพาะศาสนาเป็นแค่เครื่องมือของชนชั้นปกครองส่วนน้อยที่จัดตั้งขึ้นมาเพื่อครอบงำ หลอกใช้ขูดรีดแรงงานประชาชนส่วนใหญ่เพื่อหล่อเลี้ยงตนและพวกพ้องให้มั่งคั่ง และศาสนายังถูกนำมาใช้เป็นสิ่งกล่อมประสาทของผู้อ่อนแอที่ไม่สมหวังและไม่สามารถต่อสู้กับโลกแห่งความเป็นจริงได้ จึงสร้างความเพ้อฝันถึงโลกหน้าอันเป็นแดนสุขาวดีของพระเป็นเจ้า โดยหลังจากตายแล้วตนจะได้ไปอยู่ร่วมด้วย...

- ฮิตเลอร์และพลพรรคนาซี อาศัยแนวคิดการเลือกโดยธรรมชาติ จึงได้มีทัศนะว่าเผ่าอารยันเยอรมันของตนเป็นเผ่าพันธุ์ที่ดีเลิศที่สุดในโลก เผ่าพันธุ์อื่นๆที่อ่อนด้อยเป็นตัวถ่วงความเจริญก้าวหน้าสมควรกำจัดทิ้ง ซึ่งปรากฏออกมาในรูปแบบของการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวยิวนับล้านและปฏิบัติการก่อสงครามยึดครองโลก จนส่งผลให้เกิดสงครามโลกครั้งที่ 2...

- จนมาถึงยุคปัจจุบัน ยุคโลกาภิวัตน์ประชาธิปไตยทุนนิยม-อุตสาหกรรมบริโภคนิยม ศตวรรตที่21 ก็ไม่พ้นอิทธิพลของทฤษฎีของดาร์วินที่ส่งผลให้ชนส่วนใหญ่เห็นว่า ในเมื่อการกำเนิดของชีวิตเป็นเพียงแค่ปฏิกิริยาวัตถุสสารโดยบังเอิญ ดังนั้นการดิ้นรนอยู่รอดเพื่อความอิ่มเอมแห่งการเสพวัตถุจึงเป็นเป้าหมายสุขสุดของชีวิต, ระบบปลาใหญ่กินปลาเล็ก, การโจมตีทางการเงิน, การล่าอาณานิคมยุคใหม่โดยการเข้าฮุบกิจการ-การผูกขาด-การปล้นทรัพยากรของคนประเทศเดียวกันและต่างประเทศ(แม้จะด้วยโหดเหี้ยมไร้ความเมตตาปราณีเพียงใด)ก็นับว่าเป็นความชอบธรรมตามทฤษฎีการเลือกสรรโดยธรรมชาติอยู่แล้วที่ผู้แข็งแกร่งกว่าไม่ว่าจะพลังด้านเทคโนโลยี-กำลังทุน ฯลฯ ย่อมต้องกำจัดผู้ด้อยกว่าให้พินาศล้มหายตายจากไป!! ระบบเมตตาธรรม-มนุษยธรรมศีลธรรมจรรยาต่างๆ เป็นแค่กลไกทางสังคมที่สมมติขึ้นมาใช้ในบางกรณีเท่านั้น ไม่จำเป็นต้องใส่ใจให้ความสำคัญจนเกินไปเพราะจะเป็นการถอยหลังเข้าคลองขัดขวางต่อความก้าวหน้าของการวิวัฒนาการ

. . . .

เราไม่อาจปฏิเสธได้ว่าในบางด้านของทฤษฎี ชาลส์ ดาร์วิน เป็นความจริงแท้ที่ปรากฎให้เห็นกันอยู่ในธรรมชาติ โดยเฉพาะในธรรมชาติของพืช-สัตว์ทั้งปวง แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้เช่นกันว่า บางด้านของทฤษฎีดาร๋วิน ได้มีส่วนชี้นำและลดคุณค่าชีวิตมนุษย์ให้เป็นเพียงแค่สัตว์ชนิดหนึ่งด้วยกรอบความคิดในทำนองที่ว่า ถึงแม้มนุษย์จะมีปัญญา มีวิทยาการมีความเป็นอยู่ล้ำหน้ากว่าสัตว์ สามารถประดิษฐ์เทคโนโลยีอำนวยความสะดวกให้ตนได้มากมายเพียงใด แต่ในที่สุดแล้วเทคโนโลยีและวิทยาการทั้งหมดทั้งสิ้น หากมองในกรอบของทฤษฎีดาร์วินแล้ว ก็เป็นเพียงแค่เครื่องมือในการตอบสนองต่อการดิ้นรนต่อสู้-หากินเพื่อความอยู่รอด, เพื่อการแสวงหาความสุขความอิ่มทางวัตถุ และเพื่อการสืบเผ่าพันธุ์ให้ดำรงอยู่ต่อไปแค่นั้นเอง...หรือ???

2 ความคิดเห็น:

  1. ไม่ระบุชื่อ13 ธันวาคม 2551 เวลา 21:21

    ผมคิดว่า ทฤษฏีของ ดาร์วิน นั้น Challenge มากๆ
    เป็นการโจมตีต่อคุณค่าศีลธรรมแบบเก่าๆ

    แต่ปัญหาคือ มนุษย์ ไม่ได้พิเศษ แตกต่างจากสัตว์อื่นจริงเหรอ

    ในมุมส่วนตัว ผมคิดว่า แตกต่างอย่างมีนัยสำคัญ

    แน่นอนว่า มนุษย์ถูกกระตุ้นเร้าด้วยแรงปรารถนาของสัญชาติญาณ

    แต่มนุษย์มีสมองส่วนหน้า สมองแห่งการคิดสร้างสรรค์ สมองแห่งความเมตตาปราณี

    มนุษย์จึงก้าวหน้ากว่าสัตว์ชนิดใดๆ

    สำหรับ ส่วนที่เป็นด้านมืดนั้น ก็เป็นอีกส่วนหนึ่งที่ช่วยสร้างสรรค์อารยธรรม

    สรุป คือ ผมคิดว่า แนวคิดของดาร์วิน สำคัญตรงที่ ช่วยทำลาย แนวคิดศีลธรรมแบบจอมปลอมของยุคสมัยศตวรรษที่ 19-20 แต่กระนั้น ก็ยังไม่ครอบคลุมศีลธรรมแบบใหม่แห่งยุค New Age
    รวมถึงการดำรงอยู่ระหว่าง

    ความเป็นสัตว์และความเป็นเทพเจ้า ซึ่งสถิตย์ในตัวมนุษย์

    นี่แหละ “มนุษย์” สิ่งมีชีวิตที่มีสีสันและหลากหลายที่สุดในจักรวาล (ถ้าสมมติว่า โลกนี้เท่านั้นที่มีสิ่งมีชีวิต)

    ตอบลบ
  2. คุณคิดว่าคุณเป็นมนุษย์เหรอ หรือเป็นแค่สารเคมีที่เกิดปฏิกิริยาตามปกติตามธรรมชาติ แม้เเต่ที่ขณะพิมพ์อยู่นี้ข้อความอยู่นี้ หรือที่คุณกำลังอ่าน
    มันเป็นปฏิกิยาตอบสนองของสารเคมีที่สัมผัสกันและเกิดaction ขึ้น

    ตอบลบ