วันพุธที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

"Doubt" เมื่อคุณรู้สึกไม่แน่ใจ


หนังเรื่องนี้เข้าฉายในไทยตั้งแต่ต้นปีนี้(2009)แล้ว แต่ผมเพิ่งมีโอกาสดูจากDVD...ตอนแรกนึกว่าคงงั้นๆทั่วไป แต่ก็โชคดีที่ตัดสินใจดู(เพราะไม่ค่อยเห็นหนังแนวศาสนา-คาทอลิค ที่มีพระบาทหลวง-ซิสเตอร์เป็นตัวแสดงหลัก จึงทดลองดู) ผลก็คือ...โครงเรื่องมีมุมมองที่น่าสนใจมาก ประเด็นเกี่ยวกับความสงสัย-ความเคลือบแคลง ตามชื่อของหนัง "Doubt" หรือชื่อไทย "เด๊าท์ ปริศนาเกินคาดเดา"

หนังเริ่มต้นด้วยการเทศน์ของ "บาทหลวง ฟลินน์" เกี่ยวกับความสงสัยเคลือบแคลง

"คุณจะทำยังไงเมื่อคุณรู้สึกไม่แน่ใจ..."

โดยย่อ...ปมของเรื่องเกิดขึ้นเมื่อทางโรงเรียนคาทอลิกได้รับเด็กนักเรียนผิวดำคนแรกคือ ดช. "โดนัล มิลเลอร์" โดยมี "คุณพ่อ ฟลินน์" ผู้ร่าเริงอารมณ์ดีและหัวสมัยใหม่ เป็นบาทหลวงสอนศาสนาและครูประจำคนหนึ่งของโรงเรียนแห่งนี้ คุณพ่อ ฟลินน์เอาใจใส่กับเด็กผิวสีคนนี้เป็นพิเศษเนื่องจากเป็นเด็กผิวสีคนเดียวและมักโดนเพื่อนแกล้งเป็นประจำ "ซิสเตอร์ เจมส์" แม่ชี-ครูสาวผู้อ่อนโยนเห็นสถานะการณ์เช่นนี้จึงเกิดความคลางแคลงสงสัย และได้ไปแจ้งต่อ "ซิสเตอร์ อลอยเซียส" แม่ชีวัยทองเจ้าระเบียบผู้เป็นอาจารย์ใหญ่ของโรงเรียน ซิสเตอร์อลอยเซียสเมื่อได้ยินเรื่องราวก็เกิดอาการเคลือบแคลงสงสัยในตัว บาทหลวง ฟลินน์ ว่าน่าจะมีความสัมพันธ์ที่ไม่เหมาะสมกับโดนัล มิลเลอร์! จึงเริ่มต้นดำเนินการต่างๆนานาเพื่อที่จะเปิดโปงความจริงและขับไล่บาทหลวงฟลินน์ออกจากโรงเรียนด้วยความเชื่อมั่นในศีลธรรมจรรยาอันเคร่งครัดผนวกกับประสบการณ์อันยาวนานของเธอเอง ซิสเตอร์อลอยเซียสได้พยายามสืบสวนสอบสวน รวมทั้งใช้กกลยุทธ์ทำสงครามทางจิตวิทยากับบาทหลวงฟลินน์ทั้งทางตรงและทางอ้อม จนบานปรายก่อเกิดสงครามน้ำลาย! ซิสเตอร์เจมส์ ผู้อยู่ตรงกลางเมื่อได้รับฟังเหตุผลของทั้งสองฝั่ง ก็เกิดสับสนสงสัยลังเลไม่อาจจะตัดสินได้ว่าความจริงคืออะไรกันแน่ควรจะเข้าข้างใครดี แต่ลึกๆก็เห็นใจบาทหลวงฟลินน์อยู่ไม่น้อย...แล้วในที่สุดบาทหลวงฟลินน์ก็ลาออกไป...แม้จะไม่มีหลักฐานที่ชัดเจนหนักแน่นสักชิ้นมายืนยันว่าตนกระทำสิ่งที่ไม่เหมาะไม่ควรจริง

ซิสเตอร์ อลอยเซียส และ ซิสเตอร์ เจมส์ บาทหลวงหรือคุณพ่อ "ฟลินน์"


และตอนก่อน บาทหลวงฟลินน์ จะจากไป ได้มีการเทศนาทิ้งทวนให้คติแง่คิดไว้น่าสนใจเกี่ยวกับ "เรื่องการนินทาด้วยความสงสัยเคลือบเคลง" โดยเล่านิทานเชิงเปรียบเทียบ... "เมื่อเราเอามีดไปกรีดหมอนจนขนนกในหมอนฟุ้งกระจายไปกับสายลมในอากาศแล้ว การจะไปเก็บขนนกทั้งหมดให้กลับมาอยู่ในหมอนเหมือนเดิมนั้นมันเป็นไปไม่ได้เลย" ดุจเดียวการซุบซิบนินทาที่เต็มไปด้วยการสงสัยเคลือบแคลง เมื่อฟุ้งขึ้นแล้วก็ยากจะเยียวยา Shot นี้ทำให้ผมนึกถึงข่าวสารข้อมูล-สื่อต่างๆโดยเฉพาะสื่อเกี่ยวกับเรื่องการเมือง-วงการบันเทิง ฯลฯ ที่มักชอบออกมาซุบซิบประโคมข่าวกันอยู่ทั่วไปส่งผลให้ผู้รับสารฟุ้งตามกระแสต่อๆกันไปด้วย จนบางประเด็นก่อเกิดความวุ่นวายในบ้านในเมืองแม้จากเรื่องไร้สาระเล็กๆที่ไม่น่าจะเป็นเรื่องได้!

ในตอนท้ายของเรื่อง ซิสเตอร์อลอยเซียส นั้งปรับทุกข์กับ ซิสเตอร์ เจมส์ ทบทวนนึกย้อนไปถึงเหตุการณ์กรณีบาทหลวง"ฟลินน์" มีความรู้สึกไม่สบายใจยังเคลือบแคลงสังสัยค้างคาใจอยู่ลึกๆ แม้เหตุการณ์จะผ่านไปแล้วก็ตาม

เนื้อหาในหนังยังสามารถตีความไปถึงความเป็นจริงในวงการศาสนา-สังคม-การเมือง ฯลฯ...ที่มักมีคนสองขั้วอยู่ร่วมกันเสมอ(เสรีนิยมVSอนุรักษ์นิยม, พวกซ้ายVSพวกขวา ฯลฯ)...ดยบาทหลวงเป็นตัวแทนผู้ที่ใกล้ชิดกับประชาชนและคลุกคลีกับสถานะการณ์ในโลกของความเป็นจริงปล่อยตัวสบายๆ ซิสเตอร์หรือแม่ชีเป็นภาพตัวแทนของผู้ยึดมั่นในกฏ-ทฤษฎี พิธีรีตรองหรืออุดมการณ์อย่างเคร่งครัดพร้อมทั้งต้องพยายามรักษาภาพลักษณ์(ทำเป็นเก็ก 55)ของตัวเองตลอดเวลา ในหนังยังมีการแสดงสถานะการณ์เชิงสัญลักษณ์ (Symbolic) ในจุดเล็กๆน้อยหลายจุดเช่นตอนรับประทานอาหาร...เหล่าซิสเตอร์ดูเคร่งเป็นระเบียบ ส่วนบาทหลวงนั้งรับประทานอาหารแบบผ่อนคลายเฮฮา...

...บาทหลวงฟลินน์ มีสัมพันธ์สวาทกับเด็กผิวสีคนนั้นจริงหรือไม่? ถ้าไม่ทำไมต้องลาออก? ทำไมไม่สู้ให้ถึงที่สุดเพื่อพิสูจน์ตัวเอง? หรือไม่อยากต่อล้อต่อเถียงจึงเสียสละตัดปัญหา...ฯลฯ ... กลยุทธ์ล้วงลึกความจริงที่ ซิสเตอร์อลอยเซียส ใช้(การปั้นเรื่องโกหกหยั่งเชิง)เป็นวิธีการที่เหมาะที่ควรแล้วหรือ? ถ้าบาทหลวงทำจริงก็นับว่า ซิสเตอร์อลอยเซียส เป็นบุคคลที่ฉลาดหลักแหลมและแม่นยำ...แต่ถ้าไม่จริง?...ฯลฯ...อันนี้ก็สุดแท้แต่การประเมินและการตีความของท่านผู้ชมแต่ละท่าน...เนื่องจากหนังได้ทิ้งปม...ถึงแม้จะชิงลาออกแต่บาทหลวงก็ไม่ได้ยอมรับว่าตนทำอะไรเช่นนั้น และซิสเตอร์ถึงแม้ภายนอกดูมีความมั่นใจมากแต่ลึกๆก็มีความไม่แน่ใจลังเล-เคลือบแคลง...เพราะไม่ได้มีหลักฐานที่แจ่มชัด และถ้าสังเกตละเอียดอีกหน่อยจะพบว่าหนังเรื่องนี้ยังมีการสื่อนัยยะอื่นๆซ่อนอยู่อีกหลายประเด็น...ความเชื่อ-ความเคลือบแคลงในพระเจ้า?...ชนชั้นสีผิว, ศาสนากับสังคม, มาตรฐานการตัดสินจริยธรรม, ความเป็นจริงกับอุดมคติ ฯลฯ ใครไม่เคยดูถ้าสนใจก็ลองหามาดู....ใครดูแล้วก็ควรต้องกลับไปดูซ้ำและตีความ-พิจารณาใหม่อีกรอบ...

ถึงหนังไม่ได้สรุปว่าความจริงคือะไรแต่อย่างน้อยก็ให้แง่คิดดึงคนดูให้กลับมามีสติ ถอยออกมาก้าวหนึ่ง ไม่วู่วามฉาบฉวยในการตัดสินเรื่องต่างๆและบอกเป็นนัยๆว่าเรื่องบางเรื่องถึงแม้เป็นเรื่องที่ดูเหมือนจะไม่น่าอภิรมย์นักก็ไม่จำเป็นต้องเข้าไปตัดสินหรือจัดการใดๆ( ให้พระเจ้าจัดการเอง :) ปล่อยเลยตามเลยให้มันเป็นไปอาจจะมีผลดีมากกว่าทั้งต่อตนเองและบุคคลแวดล้อมอื่นๆ



1 ความคิดเห็น:

  1. เพิ่งได้ดูจากช่อง Star Movies
    ตอนแรกเห็นว่า ไม่ใช่หนัง action ก็กะจะเปิดไปที่อื่น
    แต่พอได้ดู มันมีความรู้สึกบางอย่างที่ชวนให้ติดตาม
    ตัวแสดงแต่ละคน แสดงได้เนียนจริงๆ
    อยากให้ดาราไทย แสดงได้เก่งแบบนี้
    ถึงแม้จะเป็นหนัง Drama แต่สามารถสะกดให้ผม หยุดนิ่ง ดูจนต้นเรื่องยันจบ
    เยี่ยมจริงๆ ครับ

    ตอบลบ