วันอังคารที่ 25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551

21-12-12 กทม.จมน้ำ-วันสิ้นโลก?


สำนักข่าวต่างประเทศ รายงานสถานการณ์น้ำท่วมในประเทศไทย และมวลน้ำกำลังมุ่งหน้าโจมตีเมืองหลวงของไทยอยู่ในขณะนี้ ว่าเป็นสัญญาณบ่งบอกถึงผลกระทบจากภาวะโลกร้อนที่รุนแรงเพิ่มขึ้น


รายงานเปิดเผยว่า เหล่าผู้เชี่ยวชาญต่างคาดการณ์สถานการณ์คล้ายกันว่า ในอีก 39 ปีข้างหน้า หรือปี ค.ศ.2050 ระดับน้ำทะเลจะเพิ่มขึ้น 19-29 เซนติเมตร ซึ่งจะส่งผลกระทบโดยตรงกับกรุงเทพมหานคร ซึ่งตั้งอยู่ห่างจากทะเลเพียง 30 กิโลเมตร

ทั้งนี้รายงานข่าวอ้างคำพูดของ ดร.อานนท์ สนิทวงศ์ ณ อยุธยา ว่า ถ้ายังไม่มีมาตรการใดๆ เลย ภายใน 50 ปีข้างหน้านี้ พื้นที่กรุงเทพฯ ส่วนใหญ่จะอยู่ใต้ระดับน้ำทะเล

โดยธนาคารโลก, ธนาคารเพื่อการพัฒนาเอเชีย (เอดีบี) และธนาคารแห่งญี่ปุ่นเพื่อความร่วมมือระหว่างประเทศ (JBIC) ระบุว่า อุณหภูมิโลกที่สูงขึ้นยังไม่ใช่แค่ปัญหาเดียว แต่การขุดเจาะน้ำบาดาลเพื่อใช้ในการอุปโภคบริโภคของโรงงานอุตสาหกรรมและคนเมืองหลว ยังส่งผลให้พื้นดินเขตกรุงเทพมหานครทรุดต่ำลงเฉลี่ยปีละ 10 เซนติเมตรในช่วงปลายทศวรรษที่ 1970 ผลการศึกษาซึ่งเผยแพร่ในปีที่แล้ว

อย่างไรก็ตารม เดวิด แม็คคอลีย์ ผู้เชี่ยวชาญด้านการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศของเอดีบี กล่าวว่า “ไม่มีทางกลับไปเหมือนเดิมได้อีกแล้ว กรุงเทพมหานครจะไม่ยกตัวสูงขึ้นอีก”

ด้าน ฟรองซัวร์ มอลล์ ผู้เชี่ยวชาญการจัดการน้ำจากสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาแห่งฝรั่งเศส ให้ความเห็นว่า การขยายตัวของเมืองอย่างรวดเร็ว เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้กรุงเทพได้รับผลกระทบจากน้ำท่วมรุนแรงมากขึ้น ในอนาคตกรุงเทพจะต้องจมอยู่ใต้น้ำอย่างแน่นอน แต่คำถามสำคัญก็คือ เมื่อไหร่


- คลิป นักวิชาการไทยให้ความรู้ กทม.จมน้ำ -
ภัยพิบัติโลก-











กระแส น้ำท่วมโลกเคยเป็นประเด็นโด่งดังและตื่นตระหนกกันอย่างมาก ในปี 2000 ตามความเชื่อในคำทำนายของนอตราดามุส, คำภีร์ไบเบิ้ล, และเจ้าลัทธิบางท่าน ส่งผลให้หลายคนแตกตื่นตระเตรียมข้าวของอพยพหาที่อยู่ใหม่ แต่ผลไม่เป็นตามนั้น นั่นคือ "ไม่มีอะไรเกิดขึ้น"

ดูภาพใหญ่คลิก http://flood.firetree.net/?ll=15.5701,100.0745&z=10&m=14

มาวันนี้กระแสตื่นกลัวน้ำท่วมโลกกลับมาอีกครั้ง ด้วยสภาวะโลกร้อนตามหลักวิทยาศาสตร์ซึ่งไม่ใช่แค่คำทำนายลอยๆจากผู้วิเศษลึกลับ น้ำแข็งขั้วโลกกำลังละลายส่งผลให้ปริมาณน้ำในทะเลเพิ่มขึ้น ผู้ทรงคุณวุฒิที่น่าเชื่อถือหลายท่านหลากสำนักทั้งในและต่างประเทศ อาทิ ดร.สมิทธ ธรรมสโรช ประธานอำนวยการเตือนภัยพิบัติแห่งชาติ ผู้เคยพยากรณ์เรื่อง จะเกิดสึนามิในภาคใต้ อย่างถูกต้องมาแล้ว ต่างออกมาพยากรณ์เตือนว่า อีกไม่เกิน อย่างเร็ว 8ปี อย่างช้า30 ปี(นับจากปี2008) กรุงเทพและอีกหลายจังหวัดในไทยจะจมน้ำอย่างแน่นอน(จมถาวรไม่ใช่น้ำท่วมชั่วคราว!) แผนที่ด้านบน สีน้ำเงินเข้มคือ บริเวณที่จะจมน้ำ

"ผมไม่ใช่หมอดู แต่มันคือ "หน้าที่" "หน้าที่ผมคือการเตือนภัย โอกาสผิดก็มี...แต่โอกาสถูกมีมากว่า" ดร.สมิทร ธรรมสโรช

กรมแผนที่ทหารบอกว่า ขณะนี้อัตราเฉลี่ยการทรุดตัวของ กทม. อยู่ที่ปีละ 5-8 ซม. ซึ่งถ้าเป็นจริงอย่างที่บอก อีก10 กทม.จะทรุดลองอีก 50 ซม. ผนวกกับ 10 ปีระดับน้ำที่ทำนายไว้ว่า จะสูงขึ้นมาประมาณ 1 เมตร นั้นหมายความว่า กทม.จะจมอยู่ใต้น้ำราว 1.5-2 เมตร ส่วนบางปะกง ฉะเชิงเทรา ปากน้ำ สมุทรสาคร สมุทรสงคราม พื้นที่เหล่านี้ก็จะมีน้ำท่วมหมดเลยเช่นกัน เพราะพื้นที่นี้อยู่สูงกว่าระดับน้ำทะเลเพียงนิดเดียว


สำหรับประเทศไทยเรา ถ้าภาคประชาชน - เอกชน - รัฐ ไม่ละเลยกรณีปัญหานี้จนเกินไป ศึกษาอย่างจริงจัง ถ้ามีแน้วโน้วจะเป็นจริง คงจัดหาทคโนโลยีมาช่วยได้ (หรือจะย้าย กทม.? ย้ายวัดพระแก้ว?) อย่าให้เป็นอย่าง สึนามิ เพราะกรณีนี้ทั้งนักวิทยาศาสตร์ต่างประเทศและ ดร.สมิทร(ซึ่งไม่ใช่หมอดูนั้งเทียน) ได้มาเตือนล่วงหน้าบ้างแล้วว่าเป็นไปได้แต่ไม่มีใครฟัง เห็นว่าเป็นเรื่องตลกฟุ่งซ่านไป ผลก็อย่างเป็นที่รู้กัน *แต่ก็ไม่ควรตระหนกเกิเหตุ


. . . . . . . . . . . . . . . . . .

มีคำทำนายอีกชุด บอกว่าเหตุการณ์เมืองจมน้ำนี้จะเกิดขึ้นอีกแค่ 4 ปีเท่านั้น
นั้นคือคำทำนาย 2012!! นอกจากเหตุผลทางสภาวะโลกร้อนที่เป็นกระแสหลักแล้ว เหตุผลอื่นๆที่สนันสนุนคำทำนาย 2012 ทั้งวิทยาศาสตร์-ไสยศาสตร์ ดังต่อไปนี้ (ข้อมูลจากคัดลอกมากจากเว็บไซต์หลากหลากแหล่ง โปรดใช้วิจารณญาณ)

Episode 1. ปี 2012 แกนโลกพลิกตัว(Pole Shift)

โลกและดวงอาทิตย์ ทั้งสองมีความเกี่ยวข้องกันและสัมพันธ์กัน โดยจะแลกเปลี่ยนพลังงานและใช้จนหมดจนเกิดกระบวนการของการพลิกกลับขั้วเกิดขึ้น ซึ่งครั้งหนึ่งเคยเกิดขึ้นเมื่อหลายล้านปีก่อน สัตว์จำพวกไดโนเสาร์ได้สูญพันธุ์ไปในช่วงเวลานั้น ปรากฎการณ์แกนโลกพลิกตัวที่เคยเกิดขึ้นนั้นไม่เคยถูกบันทึกมาก่อน แต่ในปัจจุบัน คอมพิวเตอร์สามารถทำนายผลลัพธ์ที่เป็นจริงได้ ซึ่ง NASA เคยนำคำพูดที่น่ากลัว มากล่าวถึงในที่สาธารณะเกี่ยวกับการพลิกกลับขั้ว จะทำคุณสมบัติของแม่เหล็กของโลกอ่อนแอและเบี่ยงเบนไป เป็นสาเหตุให้เกิดปัญหาดังต่อไปนี้

1. ระบบอิเล็กโทรนิคจำนวนมากจะทำงานผิดปกติ (ระบบขีปนาวุธ ,computer)

2. การอพยพของฝูงสัตว์ เช่น นก หรือปลาวาฬ ทำให้สูญเสียทิศทางและอื่นๆระบบภูมิคุ้มกันโรคในบรรดาสัตว์รวมถึงมนุษย์จะทำให้อ่อนอย่างมาก

3. ทำให้ภูเขาไฟเพิ่มขึ้น, เกิดการเคลื่อนที่ของเปลือกโลก แผ่นดินไหว แผ่นดินถล่มและน้ำท่วม พื้นที่บางจุดของโลกจะจมน้ำถาวร

4. สนามแม่แหล็กโลก (Magnetosphere) จะอ่อนแอลง และการแผ่รังสีคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าจากดวงอาทิตย์จะเพิ่มปริมาณถึงระดับอันตราย ก่อให้เกิดมะเร็งผิวหนังตามมา

5. กลุ่มวัตถุในอวกาศมากมายจะเฉียดเข้าใกล้โลกได้ง่ายขึ้น แรงดึงดูดของโลกจะมีการเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม

. . . . .

Episode 2. พลังจิต
นาย กอร์ดอน (Gordon-Michael Scalion) ชาวอเมริกันที่เคยเสียชีวิตเมื่อปี 1979 แต่กลับฟื้นขึ้นมาอีกครั้ง หลังจากฟื้นเขาอ้างว่า ได้รับพรสวรรค์ที่หยั่งรู้อนาคต เขามักจะเดินทางไปอยู่บนพื้นที่สูงๆบนภูเขา แล้วมองลงมาเห็นภาพในอนาคต โดยเฉพาะภาพของเมืองที่เปลี่ยนไป และโลกที่จะเกิดขึ้นมาใหม่ คนที่เชื่อถือนายกอร์ดอนนั้นมีไม่น้อย เพราะเขาได้เคยฝากผลงานการทำนายที่แม่นยำเอาไว้ เช่น เหตุการณ์แผ่นดินไหวในลอส แองเจอริส เมื่อเดือนเมษายน พ.ศ. 2535, เหตุการณ์แผ่นดินไหวในแคลิฟอร์เนียเมื่อมกราคม 2537 รวมอีกหลายเหตุการณ์ที่เขาทายไว้แล้วก็ถูกเผง แต่ที่น่าตื่นเต้นที่สุด ก็เห็นจะเป็นการทำนายเมื่อปี พ.ศ.2521 ซึ่งเขาเห็นตัวเองลอยอยู่เหนืออวกาศ แล้วมองลงมาบนโลก ด้วยภาพแผนที่โลกใหม่ เขาจึงใช้เวลาอยู่ 4 ปี ที่จะร่างแผนที่โลกอนาคตที่เห็นคนเดียวนั้นออกมาสู่สายตาชาวโลก พร้อมทั้งให้คำอธิบายไว้ว่า โลกที่แปรเปลี่ยนไปนี้จะเกิดจากน้ำท่วม แผ่นดินไหว ภูเขาไฟระเบิด ทำให้ทวีปของโลกเคลื่อนไปหมด และสิ่งเหล่านี้จะเกิดขึ้นระหว่างปี ค.ศ.2012 หรือ พ.ศ.2555 นั่นเอง

สำหรับเอเชีย-ประเทศไทย จะเกิดแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ ทำให้เกิดน้ำท่วมตั้งแต่ ฟิลิปปินส์ ญี่ปุ่น ไปจนถึงทะเลแบริ่งซึ่งอยู่ระหว่างอะลาสก้ากับรัสเซีย เกาะญี่ปุ่นจึงจะจมหายไปหมด เหลือไว้แค่ 2-3 เกาะเท่านั้นญี่ปุ่นส่วนใหญ่และไต้หวันกับเกาหลีก็จะหายจมไปในทะเล ดังนั้นแนวฝั่งของจีนก็จะร่นเข้าไปในแผ่นดินใหญ่หลายร้อยไมล์ทีเดียว อินโดนีเซียจะถูกทำลาย เช่นเดียวกับฟิลิปินส์ เอเชียจะมีการเปลี่ยนแปลงที่สูงมากเพราะตั้งอยู่บน 3 ทวีป ส่วนไทยนั้นอยู่บนแผ่นทวีปของ ยูเรเซี่ยน ซึ่งจะเกิดการยกตัวให้สูงขึ้น แผ่นแปซิฟิกจะเคลื่อนไป 9 องศา ดังนั้น บางส่วนจะมุดตัวลง บางส่วนจะยกตัวขึ้นผลสรุปการทำนายก็คือ ประเทศไทยจะยังเหลืออยู่บางส่วนตามภาพแผนที่ ที่ขยายแยกออกมา ประเทศไทยจะเหลือมากที่สุดคือภาคเหนือ ส่วนอีสานบางส่วนและภาคใต้จะจมลงไปในทะเลพร้อมกับมาเลเซีย สิงคโปและอินโดนีเซีย ส่วนชายฝั่งทะเลจะมาอยู่ที่ชัยภูมิ เพรชบูรณ์ พิจิตร พิษณุโลก สุโขทัยและตาก และแม่น้ำโขงจะกลายเป็นทะเล

. . . . .

Episode 3. ปฏิทินเผ่ามายา

ปฏิทินมายา กล่าวว่า วันที่ 21-12-2012 เป็นวันที่จะเกิดการเปลี่ยนแปลงใหญ่ คือ วันวิปโยคสิ้นโลก! เผ่ามายาอยู่ทางทวีปอเมริกาเหนือ มีการสืบสายวัฒนธรรมรวมถึงสิ่งก่อสร้าง ปิรามิด และวัดนับพันแห่ง มีปฏิทินของตนเองที่ได้รับการพิสูจน์ถึงความถูกต้องทางดาราศาสตร์ มากกว่าพันปีปฏิทิน ความเชื่อของชาวมายาจึงได้รับการพิจารณาว่าเป็นกุญแจพิศวง ด้านจิตวิญญาณ สำคัญของคนแถบอเมริกาเหนือ...

...***นักแปลอักษรโบราณผู้เชี่ยวชาญเผย... ชาวตะวันตกถอดความปฏิทินชนเผ่ามายาผิด ชี้ที่จริงโลกไม่แตก แต่อาจหมายถึงการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่เท่านั้น...สำนักข่าวต่างประเทศ รายงานเมื่อ 2 ธ.ค. ว่า ข้อความจารึกที่วัดของชนเผ่ามายา ในทอร์ทูกัวโร ซึ่งเคยถูกตีความไว้ว่า 2012 จะเป็นปีที่โลกถึงวันดับสูญ จากมหาภัยพิบัติต่าง ๆ อาทิ หลุมดำดูดกลืน ความร้อนจากดวงอาทิตย์ ดาวเคราะห์พุ่งชน หรือะไรก็ตาม แต่ล่าสุด สเวน โกรเนเมเยอร์ นักแปลอักษรโบราณผู้เชี่ยวชาญชาวเยอรมนี จากมหาวิทยาลัยลาโทรบ ในออสเตรเลีย เผยว่า "มีความเป็นไปได้สูงว่า การถอดความนั้นมีความคลาดเคลื่อน อาจจะไม่ใช่คำทำนายวันโลกาวินาศ แต่หมายถึงการเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่" ส่วนการถอดความวันสิ้นโลก เป็นการแปลความหมายแบบผิดๆ ของชาวตะวันตก ซึ่งก่อให้เกิดความตื่นกลัวกันไปเองทั้งนี้ เมื่อปลาย พ.ย.ที่ผ่านา มีรายงานว่า ปฏิทินของชนเผ่ามายา ไม่ได้มีเพียงแค่ชิ้นเดียว แต่ชิ้นที่ 2 ทางการเม็กซิโก ได้เก็บรักษาเอาไว้เป็นอย่างดีมานานหลายปีแล้ว...

- ภาพยนตร์ 2012 น้ำท่วมโลก-โลกาวินาศ ตามคำทำนายปฏิทินมายา -




วันจันทร์ที่ 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551

SuperHero เท่พันธุ์นรก

SPAWN
- The Cool SuperHero -
ซูเปอร์ฮีโร่ที่รู้จักกันดี ไม่ว่าจะเป็น SuperMan, SpiderMan, The Hulk, หรือล่าสุด IronMan ขอเสนอซุปเปอร์ฮีโร่ เท่ๆ อีกคน พลัง+ความเก่งและความเท่ห์รูปลักษณ์ดีไซน์  !! SPAWN !! ฮีโร่พันธุ์นรก!
. . .
ตัวอย่างหนัง Spawn (เก่าสร้างเมื่อปี 1997)
(ควรจะสร้างภาคใหม่ได้แล้ว ด้วยเทคนิค CG ล่าสุด น่าจะมันส์กว่านี้เยอะ. . .)
. . .
เนื้อเรื่อง(ในภาพยนตร์)โดยย่อ. . .เดิมที สปอว์น เป็นมนุษย์ธรรมดา ชื่อ แอล ซิมมอนส์ เป็นนักฆ่าของหน่วยราชการลับ เขามีภรรยาที่รักมาก(และหัวหน้าเขาเองนามว่า เจสัน เวนน์ ก็แอบชอบเมียเขาอยู่)จนวันหนึ่งเขาถูกหัวหน้าแกล้งบัญชาการให้ปฏิบัติหน้าที่แสนโหดเกินมนุษย์จะทำได้ ผลคือ แน่นอนเขาทำไม่ได้ หัวหน้าเวร เฮ้ย! เวทน์ไม่พอใจจึงใช้เล่ห์เพทุบายลงโทษ+กำจัดเขาด้วยวิธีที่โหดเหี้ยม ครอกไฟเผาทั้งเป็นเสียโฉมหมดสติ ใครๆรวมทั้งภรรยาของเขานึกว่าเขาเสียชีวิตจากอุบัติเหตุ (แล้วพีเวร. . .ก็ได้เมียชาวบ้านไปครองสมใจอยาก)
ราชันย์ปีศาจแห่งอเวจีนรกเห็นพลังแฝงซ่อนเร้นในตัวเขา จึงปลุกเสกคืนชีพให้เขาอีกครั้ง กลายเป็น Spawn! ด้วยหวังที่จะมอบหมายให้เขา นำทัพเหล่าปิศาจจากขุมนรกต่อสู้กับเหล่าทัพดินแดนมนุษย์เพื่อยึดครองโลก เขาก็ยอมเป็น Spawn ด้วยเงื่อนไขเพียงเพื่อการแก้แค้น และเพื่อแลกเปลี่ยนกับการมองเห็นหน้าภรรยาเขาไกลๆเท่านั้น เพราะด้วยเหตุที่โดนไฟครอกหน้าตาไม่เหลือเค้าเดิมแถมยังดูอัปลักษณ์คล้ายเฟรดดี้นิ้วเขมือม (ถึงยังไงก็สามารถสร้างเซลล์หน้ากากหล่อๆมาหุ้มไว้ได้ แต่บางทีนึกสนุกแกก็เผยโฉมหน้าภาคหน้ากลัวให้เห็น. . .ไว้ข่มขวัญศัตรู)
และในท้ายที่สุดเขาเปลี่ยนใจไม่ร่วมมือกับเหล่าปีศาจเปลี่ยนบทบาทมาเป็น ซุปเปอร์ฮีโร่ ปกป้องโลกกำจัดปีศาจและเหล่าวายร้ายแทน
SPAWN มีพลังวิเศษ สามารถสร้างอาวุธได้ด้วยการงอกจากส่วนใดส่วนหนึ่งของร่างกาย เช่น เดือยเหล็กแหลมที่แขนขา-สันหลัง ที่ใช้บ่อยทรงพลังมากคือ แซ่โซ่ลูกตุ้มที่สามารถปล่อยกระแสไฟฟ้าช็อตได้อีกต่างหาก และอย่าเพิ่งเข้าใจผิดว่าสปอว์นต้องเปลี่ยนชุดใส่เสื้อผ้าใส่กางเกงในอะไรล่ะ ไม่มีเลย! เพราะสปอว์นคือ อมนุษย์ ไม่ใช่คนไม่ใช่มนุษย์ต่างดาว แต่มันมาจากนรก!! เรือนร่างลวดลายภายนอกที่เห็นนั้นเป็นส่วนผิวหนังอวัยวะร่างกายล้วนๆ จุดเด่นที่สำคัญอีกจุด อันนี้ชอบมากไอเดียเจ๋งดี นั้นคือ ผ้าคลุมสารพัดประโยชน์สีแดงผืนใหญ่พริ้วดั่งเปลวไฟซึ่งจริงๆแล้วไม่ใช่ผ้า แต่คล้ายๆเป็นเซลล์พิเศษที่งอกออกมาช่วยในการทรงตัว-เหาะ-อำพรางหายตัว-จับศัตรู ฯลฯ หดกลับได้เมื่อไม่ใช้งาน (ลองดูในวิดีโอคลิป) ร่างกายสปอว์นเป็นเซลล์พิเศษเมื่อมีการบาดเจ็บฉีดขาดก็จะซ่อมแซมตัวเองให้เป็นปกติโดยเร็ว ส่วนพละกำลังในการต่อสู้หายห่วงไม่ต้องพูดถึง

Spawn เวอร์ชั่นของเล่นโมเดล ดูดีลงตัว
ได้วางโชว์ในตู้-ชั้นกระจก. . .นะ

วันเสาร์ที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551

Silicon Valley หุบเข้าปีศาจ

"ซิลิคอน วัลเลย์"
ศูนย์กลางแห่งการปฏิวัติ!
เทคโนโลยีและนวัตกรรมสารสนเทศของโลก


Silicon Valley หรือ หุบเขา ซิลิคอน ตั้งอยู่บริเวณ ตอนใต้ของเมืองซานฟรานซิสโก สหรัฐอเมริกา เป็นแหล่งที่ตั้งสำนักงานใหญ่ของบริษัทชั้นนำทางด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรมสารสนเทศของโลก การแข่งขันการพัฒนาระหว่างบริษัทในหุบเขานี้ ดุเดือดเลือดพล่าน ห่ำหั่นเชือดเฉือน ชนิดที่ทำลายล้างกันให้ตายไปข้างหนึ่ง การทำลายล้างที่ว่านี้ไม่ใช่การทำลายล้างแบบสรกปรกสาดโคลนแทรกแทรงกลั่นแกล้ง(เหมือนที่นักการเมืองไทยชอบเล่นกัน) แต่เป็นการทำลายล้างที่เป็นไปตามระบบอย่างสร้างสรรค์(Creative Destruction) เป็นการทำลายล้างเพื่อขับเคลื่อนโลก เพื่อการพัฒนาและก้าวไปข้างหน้า ผู้ที่ไม่มีการพัฒนาตัวเองอย่างต่อเนื่องและสร้างสรรค์สิ่งใหม่อยู่เสมอ แม้จะเป็นยักษ์ใหญ่และครอบครองพื้นที่มาก่อนก็สามารถที่จะล้มหายตายจากไปได้อย่างง่าย ผู้ที่แกร่งกว่า มีประสิทธิภาพกว่าและก้าวหน้ากว่าจริงๆเท่านั้นจึงยืนหยัดอยู่ได้ ฉะนั้นการเรียกว่า หุบเขาปีศาจ! ก็คงจะไม่เวอร์เกินไป (ฮึ ฮึๆ)

สำนักงานใหญ่ของบริษัทดาวเด่นที่มีชื่อเสียงแห่งหุบเขาปีศาสแห่งนี้ที่ชื่อน่าจะคุ้นๆกันดี อาทิ Intel, Microsoft, Apple, Google, Yahoo ฯลฯ

มาดูโฉมหน้าเต็มๆของราชาปีศาจระดับ Top 10 (พวกอมนุษย์เหนือคนคน ฮึๆๆ) ในหุบเขาแห่งนี้กัน
1. พ่อมด Bill Gates ผู้ร่ายมนตร์เสกจักรวรรติ Microsoft
ผู้สร้างสรรค์ Microsoft Windows - MSN - Microsoft Office - Xbox ฯลฯ

2. สามยมทูต Andy Grove(ซ้าย), Robert Noyce และ Gordon Moore
แห่งอภิมหากาพย์ Intel
ผู้สร้างสรรค์ Processor Intel : Pentium - Celeron - Core - Atom - Centrino ฯลฯ

3. ยักษ์สีน้ำเงิน Thomas John Watson จากพงศาวดาร IBM
ผู้สร้างสรรค์ Computer : Mainframe, Server, Storage ฯลฯ

4. รุ่นใหญ่ในตำนาน William Hewlett(ขวา) และ David Packard
จ้าวอาณานิคม HP หรือ Hewlett Packard
ผู้สร้างสรรค์ Computers Desktop-Notebook, Monitors, Printers & PC Accessories ฯลฯ
5. มหาศาสดาจอมบงการ Steve Jobs เจ้าลัทธิ Apple
ผู้สร้างสรรค์ iPod - iPhone - iMac - Macbook - Mac OS ฯลฯ

6. มังกรผงาดฟ้า Jerry Yang ผู้ก่อตั้ง Yahoo!
ผู้สร้างสรรค์ Yahoo! Mail - Yahoo! Search - Yahoo! Map ฯลฯ

7. บั๊ดดี้จอมขมังเวทย์ Larry Page(ซ้าย) และ Sergey Brin
จ้าวจักรวาล Google!
ผู้สร้างสรรค์ Search Engine Google - Google Earth - Gmail ฯลฯ

8. เขี้ยวโหดปรินย่า Jeff Bezos แห่งมหานที Amazon.com
9. ซาตานแห่งองค์ความรู้ Jimmy Wales สารานุกรมยักษ์ Wikipedia.com


10. ผีเด็ก(มีปัญหา) Mark Zuckerberg เจ้าพ่อเครือข่ายสังคมโลก Facebook.com


ในกระแสคลื่นโลกาภิวัตน์อันร้อนแรงและเชี่ยวกรากนี้ ราชันย์ปีศาจต่างๆจะรักษาบัลลังก์ที่ตนครองอยู่ได้นานแค่ไหน จะมีปีศาสหน้าใหม่และนวัตกรรมใหม่ๆอะไรอีกบ้างที่จะกำเนิดจากหุบเขาปีศาจแห่งนี้ และด้วยวิกฤติแฮมเบอร์เกอร์ที่เป็นปัญหารุมเร้าอยู่ขณะนี้(ปี2008-2009)จะส่งผลสะเทือนต่อหุบเขาปีศาจอย่างไรบ้าง คงต้องติดตามกันต่อไป อย่ากระพริบตาเป็นอันขาด. . .

วันอังคารที่ 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551

รบเถิด อรชุน !


มหาภารตยุทธ์ หรือ สงครามมหาภารตะ


เป็นมหากาพย์เรื่องยาวที่มีชื่อเสียงของอินเดียโบราณเคียงคู่บุญมากับมหากาพย์รามายณะ หรือรามเกียรติ์ (อ่าน รหัสลับ "รามเกียรติ์") บ้านเรานั้นเอง มหากาพย์สองเรื่องนี้ไม่ใช่วรรณกรรมทั่วๆไป แต่จัดเป็นคัมภรีศักดิ์สิทธิ์ของศาสนาฮินดูเลยทีเดียว กล่าวกันว่าใครอ่านคำภีร์สองเล่มนี้ จะเกิดปรากฏการณ์ที่เรียกว่า ล้างบาปได้!!

สำหรับคนไทยแล้วอาจมีความคุ้นเคยกับเรื่องมหาภารตะน้อยกว่ารามเกียรติ์ แต่ในความเป็นจริงแล้ว 2 เรื่องยิ่งใหญ่ไม่แพ้กัน


นักวิชาการทางประวัติศาสตร์บางสำนัก ให้ความเห็นว่า เรื่องมหาภารตะนี้มีเค้าโครงจากเรื่องจริงในอดีต บ้างก็ว่าเป็นแค่เรื่องแต่ง เนื้อเรื่องว่าด้วยสงครามระหว่างพี่น้องวงศ์กษัตริย์เลือดเนื้อเชื้อไขบรรพบุรุษเดียวกันคือ พวกปาณฑพ(ปาน-ดบ) และ พวกเการพ(เกา-รบ) ปมแห่งความขัดแย้งได้ก่อตัวสะสมเรื่อยมาตั้งแต่สมัยที่ยังเป็นเด็กเล็กจนถึงโตเป็นกษัตริย์ปกบ้านครองเมือง ต้นเหตุหลักๆของเรื่องก็ไม่พ้นเรื่องคลาสสิคแห่งการเกิดสงครามทั่วๆไปคือ ความขัดแย้งเชิงอำนาจ ผลประโยชน์ ความริษยา การชิงดีชิงเด่น และปลีกย่อยๆประกอบอย่าง ผู้หญิง การพนัน เป็นต้น แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ในเรื่องก็ได้ชี้ให้เห็นว่า ญาติผู้ใหญ่พยายามหาทางออกทุกทางเพื่อให้ความขัดแย้งได้คลี่คลาย แต่ก็ล้มเหลว เนื่องจากความขัดแย้ง สลับซับซ้อนซ่อนเงื่อน ต่างฝ่ายต่างมีเหตุผลข้ออ้างที่ยากจะกล่าวได้ว่าฝ่ายใดผิดถูกไปกว่ากัน พวกบรรดาญาติสนิทมิตรสหายประชาชนก็แตกแยกเลือกข้างกันไป และแล้วสถานการณ์ได้ยืดเยื้อมาจนถึงจุดที่มิอาจประณีประนอมสมานฉันท์อะไรกันได้อีกต่อไป ... สงครามเท่านั้น คือทางออก!!


แต่ก็มีบางคนไม่ได้เลือกฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งและไม่เข้าร่วมสงคราม อาทิ ท่านพลราม ... พลราม เป็นญาติผู้ใหญ่ของคู่กรณีทั้งสองฝั่ง ช่วงที่ทั้งฝ่ายทำสงครามประหัตประหารกันนั้น พลราม เลือกที่จะปลีกวิเวก เดินทางท่องเที่ยว ไม่ยุ่งไม่เกี่ยวใดๆทั้งสิ้น น่าคิดว่าเหตุใด พลราม ไม่เลือกร่วมกะข้างใดข้างหนึ่งเหมือนคนอื่นๆ พลราม เป็นผู้มีความเที่ยงธรรม ไม่นิยมสงคราม ? เป็นพวกไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด ? หรือเป็นนักฉวยโอกาสหมายรอเก็บเกี่ยวผลประโยชน์ ? หรือเป็นพวกเห็นแก่ตัว-ตัดช่องน้อยแต่พอตัว ? หรือเห็นว่าทั้งสองฝ่ายแย่พอๆกันเลยไม่อยากยุ่งเกี่ยวเปลืองตัว ? หรือไม่กระจ่างในสถานะการณ์เลยตัดสินใจไม่ได้ไม่รู้จะเลือกฝั่งไหนดี ? หรืออื่นๆ ฯลฯ ก็ประเมินกันไป สุดท้ายคงมีแต่ตัวพลรามเองเท่านั้นที่รู้ดีกว่าใคร ... ไม่แน่พลรามอาจเป็นกลางจริงๆ หรืออาจจะเชียร์ฝั่งใดฝั่งหนึ่งอยู่ในใจก็ได้ ... แต่ไว้ว่ายังไงก็ต้องเคารพสิทธิ์ในการเลือกของพลราม


ประเด็นที่น่าพิจารณาอีกอย่าง คือ แล้วพวกที่เข้าร่วมกับฝั่งใดฝั่งหนึ่งใดล่ะ พวกเขาเข้าไปร่วมเพราะเหตุใด เพราะมีความเข้าใจในสถานะการณ์ถ่องแท้แยกแยะถูกผิดได้ทะลุปรุโปร่งเลย จึงต้องการต่อสู้เพื่อผดุงความถูกต้องชอบธรรมจริงๆ ? หรือก็แค่เพราะว่าเห็นแก่เงินรับที่ถูกว่าจ้างมา หรืออาจเล็งเห็นผลประโยชน์ส่วนตนบางอย่างจึงเข้าร่วม ? หรือเผอิญทำงานเป็นบ่าวอยู่กับฝั่งใดฝั่งหนึ่งอยู่ก่อนแล้วจึงตกกระไดพลอยโจร นายสั่งไปไหนทำอะไรก็ว่าตามนั้น ? ฯลฯ

ท้องเรื่อง สองฝ่ายก็ได้รบพุ่งประจัญบานกันที่ทุ่งกุรุเกษตร เป็นเวลาถึง 18 วัน
ผลคือ ฝ่ายพี่น้องปาณฑพ ได้รับชัยชนะ

ผลของสงคราม คือ
พี่ฆ่าน้อง น้องฆ่าพี่ หลานฆ่าอา
ลุงฆ่าหลาน ลูกศิษย์ฆ่าอาจารย์
เพื่อนฆ่าเพื่อน ญาติฆ่าญาติ
ตายกันแบบยกโคตรแทบจะสูญพันธุ์ (Holocaust)!!


และคนที่มีบทบาทสำคัญคนหนึ่งในกองทัพข้างฝ่ายชนะ ที่จะไม่กล่าวถึงไม่ได้เลย คือ "ท่านกฤษณะ" ชาวฮินดูได้ยกย่องและให้ความเคารพสูงสุดในฐานะ องค์อวตารปางหนึ่งของพระนารายณ์ ที่เรียกว่า "กฤษณาวตาร"

นอกจากนี้แล้วบทสนทนาอันแฝงไปด้วยปรัชญาลึกซึ้งในเชิงการให้กำลังใจและส่งเสริมความฮึกเหิมในการทำสงคราม ของท่านกฤษณะที่ได้เทศนาต่อ พี่น้องปาณฑพตัวเอกคนหนึ่งนามว่า "อรชุน" ที่ครั้นเมื่อเริ่มสงคราม จู่ๆดันเกิดอาการท้อแท้หดหู่ไม่อยากออกรบ ด้วยเห็นว่าคนที่ตนต้องทำสงครามด้วยนั้นล้วนเป็นญาติสนิทมิตรสหายกันทั้งสิ้น ... ต่อมาบทสนทนานี้ ได้ถูกจัดให้เป็นคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์ของชาวฮินดู ชื่อว่า. . .

"ภควัทคีตา" (บทเพลงของพระเจ้า)

- คัมภรีนี้มีความสำคัญมาก มหาตามะคานธีให้ความนับถือพระกฤษณะอย่างสูงสุดและนำภัควัทคีตานี้มาอ่านอยู่เนืองนิจเมื่อยามท้อแท้ไม่มีกำลังใจต่อสู้ ในช่วงเรียกร้องเอกราชจากอังกฤษ

-
และยังร่ำลือกันว่า ฮิตเลอร์ ได้แจกคำภีร์นี้ให้กองทัพนาซีอ่านปลุกใจ ช่วงที่ทำสงครามโลกครั้งที่สอง

-
 อย่างในไทยเรา น้าแอ็ด คาราบาว ก็อ่านคำภีร์เล่มนี้เกิดความประท้บ ถึงกับนำมาแต่งเพลง ชื่อ ภควัทคีตา ตัวอย่างเนื้อหาของ ภควัทคีตา ในสำนวนเนื้อเพลงของ น้าแอ็ด คาราบาว"รบเถิด อรชุน หากท่านตายในสนามรบ สวรรค์ยังรอท่านอยู่ ยังเปิดประตูรอผู้ปราชัย แม้นหากว่าท่านชนะความเป็นใหญ่ในแผ่นดินนี้ ทุกพงพื้นปฐพีรอให้ท่านเข้ามาครอบครอง"


มีนักคิดท่านหนึ่งให้ทรรศนะอันเป็นมุมมองที่ค่อนข้างแรง...แต่น่าสนใจมาก ว่า. . . "แท้จริงแล้ว ภควัทคีตา ก็แค่การพร่ำเพ้อปรัชญาไร้สาระ ที่สร้างขึ้นเพื่อกล่อมคนหัวอ่อนไม่มีความคิด ชักจูงไปในทางให้นิยมแก้ปัญหาด้วยวิธีรุนแรง การฆ่าฟันทำสงคราม แถมยังหลอกให้เชื่อว่า...เมื่อทำสงครามฆ่าคนตายเป็นเบือเพื่อความถูกต้องแล้ว แม้ตายก็จะได้บุญขึ้นสวรรค์ และภัควัทคีตานี้แหละเป็นรากเหง้าของ การทำสงครามศักดิ์สิทธิ์ สงครามของพระเจ้า และการก่อการร้ายต่างๆ ภัควัทคีตานี้แหละคือ มิจฉาทิฏฐิ(ทัศนะอันตราย!)ตัวจริง ซึ่งขัดกับหลักของพุทธศาสนาอย่างสิ้นเชิง ที่สอนให้มีเมตตา อหิงสา(ไม่เบียดเบียน) ทั้งควรต้องหลีกเลี่ยงการใช้ความรุนแรงทั้งปวง

แต่ก็สามารถมองในแง่ดีอีกมุมได้ว่า "ภควัทคีตา" เป็นสุดยอดแห่งคัมภีร์ที่มีศิลปะการประพันธ์และจิตวิทยาชั้นสูงในการปลุกเร้าคน ให้สู้ชีวิต, ให้สู้สิ่งยาก, ฝ่าฟันอุปสรรค์, จะสร้างสรรค์สิ่งดีงาม ก็ต้องเอาชีวิตเข้าแลก อย่าสักแต่ใช้ชีวิตท้อแท้แบบซังกะตายไปวันๆ...ถึงแม้ในที่สุดมันไม่สำเร็จ ก็ไม่ต้องเสียใจอะไร จงภูมิใจว่าเราได้ทำหน้าที่ดีที่สุดแล้ว...(หากท่านตายในสนามรบ สวรรค์ยังรอท่านอยู่ ยังเปิดประตูรอผู้ปราชัย) แล้วถ้าทำทำสำเร็จ แน่นอนท่านคือ ผู้พิชิต! ท่านจะรับผลแห่งความสำเร็จนั้น...(แม้นหากว่าท่านชนะความเป็นใหญ่ในแผ่นดินนี้ ทุกพงพื้นปฐพีรอให้ท่านเข้ามาครอบครอง)

"มหากาพย์ที่ยิ่งใหญ่มักมีปมปริศนาให้ตีความได้หลายมุมเสมอ นี่แหละคือเสน่ห์ของมหากาพย์"

" รบเถิด อรชุน "


- - - - -

วันเสาร์ที่ 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551

ผ่าความคิด Steve Jobs

ปกติชีวิตประจำวันใช้คอมพิวเตอร์ตระกูล PC-Windows เป็นหลัก แต่ก็ติดตามผลงางผลิตภัณฑ์ค่าย Apple อยู่เป็นนิจ เพราะชื่นชมในการออกแบบผลิตภัณฑ์ที่มีเอกลักษณ์ เรียบหรู ดูดีไปอีกแบบ

ไปเจอหนังสือเล่มนี้โดยบังเอิญ "Inside Steve's Brain ผ่าความคิด สตีฟ จอบส์" อืมชื่อคุ้นๆ(เคยเห็นเล่มต้นฉบับภาคภาษาอังกฤษ เปิดดูผ่านๆ แต่ไม่ซื้อ เพราะขี้เกียจแกะภาษาอังกฤษ และที่สำคัญคือ...แพง! ฮึๆๆ) หน้าปก-รูปเล่มดูดีนะ เปิดดู พบประโยคหนึ่ง... Steve Jobs กล่าวกับทีมงานว่า"การตัดสินใจทีสำคัญที่สุดของคุณนั้น ไม่ใช่สิ่งที่คุณตัดสินใจทำ แต่คือสิ่งที่คุณตัดสินใจไม่ทำ" คม! ลองอ่านหน้าอื่นๆเนื้อหาน่าสนใจทีเดียว พลิกดูราคา 290 บาท โอเค พอไหว...

Leander Kahney เขียน : แปลเป็นไทย โดย สิทธิ หลีกภัย(เป็นอะไรกับ พณฯ ชวน หลีกภัย?)

เนื้อหาหนังสือเล่มนี้ ว่าด้วยเบื้องหลังแนวความคิดและการทำงานตามแนวทางของ สตีฟ จอบส์ ในการทำธุรกิจและสร้างสรรค์นวัตกรรมล้ำสมัยแห่งยุค อาทิ คอมพิวเตอร์ iMac, โน๊ตบุ๊ค MacBook, ระบบปฏิบัติการ Mac OS อย่าง Leopard, โดยเฉพาะเป็นที่ฮือฮากันมาก...เครื่องเล่น mp3 ตะกูล iPod และ โทรศัพท์มือถือ iPhone ถึงแม้จะเป็นหนังสือที่เกี่ยวกับวงการคอมพิวเตอร์-ธุรกิจไอที แต่คิดว่าเป็นหนังสือมีประโยชน์กับคนวงการอื่นๆด้วยเช่นกัน เพราะเนิ้อหาอุดมไปด้วยมุมอง, แนวคิดใหม่ๆ, ปรัชญาในการทำงาน, การสร้างแรงบันดาลใจ, การคิดนอกกรอบ, การบริหารธุรกิจ, กลยุทธ์การตลาด, วิธีคิดสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์นวัตกรรมใหม่ๆ และอื่นๆที่น่าสนใจอีกมากมาย

ตัวอย่างเนื้อหาบางส่วน
Jobs บอกว่า เขาได้รับแรงบัลดาลใจมาจาก Bob Dylan และ Picasso "คือเขาไม่อยู่เฉย ศิลปินที่ประสบผลสำเร็จหลายๆคน เมื่อถึงจุดหนี่งก็เริ่มเสื่อมถอย เพราะเขามัวแต่ทำในสิ่งที่ทำให้พวกเขาประสบความสำเร็จครั้งแรก แต่หลังจากนั้นก็ไม่มีวิวัฒนาการอะไร แต่ถ้าหากพวกเขายังเสี่ยงต่อความล้มเหลวอยู่ละก็ พวกเขาก็ยังคงเป็นศิลปินอยู่ ผมจึงไม่กลัวที่จะต้องเริ่มต้นใหม่ตั้งแต่แรก"

ด้วยแนวคิดของ Jobs ที่ว่า...
"รถทุกคันมีหน้าที่เดียวกันทั้งนั้นคือ ใช้ขับจากที่หนึ่งไปยังอีกที่หนึ่ง แต่ทำไมหลายคนถึงใฝ้ฝันและจ่ายเงินจำนวนมากซื้อรถ BMW แต่ไม่ซื้อ Chevy" บริษัท Apple จึงผลิตแต่สินค้า hi-end คุณภาพสูงเจาะเฉพาะลูกค้าชั้นดี ขายราคาแพงกว่าคู่แข่ง ถึงแม้ขายได้ปริมาณน้อยกว่าแต่ได้กำไรมากกว่า และถึงแม้จะมีสินค้า Copy เลียนแบบแต่ก็ทำไม่ได้ดีเท่าและแทบไม่มีผลต่อต่อยอดขายต่อสินค้นต้นฉบับเลย (จากสถิติและส่วนต่างกำไรเปรียบเทียบ ไตรมาสแรก ค.ศ.2007 Dell จำหน่ายสินค้ามากกว่า Apple ถึง 5 เท่าแต่มีกำไรแค่ 2 ล้าน 8 แสนดอลลาร์ในขณะที่ Apple มีกำไร สูงถึบ 850 ล้านดอลลอร์!!)
อ่านจบเล่มแล้วส่วนตัวรู้สึกว่า Jobs เป็นคนค่อนข้างสุดโต้ง-เผด็จการ(อย่างสร้างสรรค์)พอสมควรและมีความเป็นสมบูรณ์นิยมสูง(Perfectionism) มีความคิดแบบสุนทรีย์ในเชิงศิลปะล้ำลึกทีเดียว สินค้าของ Apple ส่วนใหญ่เป็นระบบปิด Jobs ไม่ค่อยแบ่งปันหรือแชร์การใช้งานร่วมกันกับผลิตภัณฑ์ค่ายอื่นๆ และมัก Lock ระบบไม่ยอมให้คนนอก หรือลูกค้ามาทำการแก้ไขหรือมีปฏิสัมพันธ์กับตัวระบบของผลิตภัณฑ์ เนื่องจากต้องการรักษามาตรฐานของตัวไว้ ดังที่แนวคิดอันรุนแรงของเขาที่ว่า. . .

"ศิลปินผู้ยิ่งใหญ่ไม่อยากให้ไอ้งั้งที่ไหนก็ไม่รู้มาละเลง
หรือมีส่วนร่วมกันงานศิลปะชิ้นเลิศของตัวเอง"

ขณะที่คู่แข่งที่มีสินค้าเกี่ยวเนื่อง อาทิ Microsoft, HP ฯลฯ ระบบส่วนใหญ่ค่อนข้างเปิด(OpenSource) เปิดโอกาสให้ผู้บริโภคสามารถปรับแต่งระบบเองได้และสามารถประยุกต์ใช้งานร่วมกันระหว่างผลิตภัณฑ์ต่างค่ายต่างแบรนด์ได้เป็นอย่างดี ซึ่งส่งผลดีต่อผู้บริโภคที่สามารถใช้งานได้กว้างและหลากหลาย แต่ถึงอย่างไรนวัตกรรมของ Apple-Jobs ก็เป็นแบรนด์ที่ทรงพลังมีผลเชิงจิตวิทยาให้คุณค่าทางจิตใจต่อผู้บริโภคค่อนข้างสูง เรียกว่าผู้ที่ได้ใช้ผลิตภัณฑ์ของ Apple แล้วมักจะเกิดอาการจงรักภักดี เยี่ยงสาวก! ภักดีต่อศาสดา!...Apple วันนี้จึงยังคงยืนยงได้อย่างยิ่งใหญ่และสง่างาม

Jobs จึงเป็นบุคคลตัวอย่างแห่งยุค เป็นแรงบันดาลใจ
น่านับถือและเอาเยี่ยงอย่างในหลายๆด้าน
และยังมีอะไรดีๆที่ ต้องเรียนรู้จากเขาอีกเยอะ

ชมผลงาน นวัตกรรมชั้นเลิศ ของ Jobs และบริษัทApple ที่ http://www.apple.com/