วันพฤหัสบดีที่ 18 ธันวาคม พ.ศ. 2551

"อัปสรา" บอง สลัน เนียง


บอง สลัน เนียง : ภาษาเขมร แปลตรงตัวคือ "พี่รักน้อง"
ประมาณ "I love you" นั้นเอง ;)

หลายคนคงเคยไปเที่ยวกัมพูชาหรือเขมร หรือถึงแม้ไม่เคยไปก็คงได้เห็นภาพจากสื่อต่างๆ เกี่ยวกับสิ่งก่อสร้างมหัศจรรย์ระดับโลกอย่าง "ปราสาทนครวัด(Angkor Wat)" กันมาบ้างแล้ว...และคงไม่ต้องบรรยายอะไรกันมากมายเกี่ยวกับความยิ่งใหญ่อลังการของปราสาทแห่งนี้

มีส่วนหนึ่งภายในปราสาทนครวัดคือ...รูปสลักหินนูนสูง(High Relief) "นางอัปสรา(Apsara)" ซึ่งมีที่มาจากตำนานฮินดู อัปสรา แปลว่า “ผู้กระดิกในน้ำ” ฟังดูแปลกๆ “กระดิกในน้ำ” ในที่นี้คือทะเลน้ำนม (หรือ "เกษียรสมุทร" อันเป็นที่ประทับของพระนารายณ์) ที่ซึ่งเหล่าเทวดาและอสูร ใช้เวลา 1,000 ปี ช่วยกันกวนเพื่อให้ได้น้ำอมฤต(น้ำวิเศษที่ดื่มแล้วเป็นอมตะ แต่อสูรกลับไม่ได้ดื่ม โดนหลอกใช้แรงงานฟรีๆ)แต่ก่อนที่น้ำอมฤตจะออกมา ก็เกิด "นางอัปสรา" กระดุ๊กกระดิ๊กกลายเป็นตัวขึ้นมาก่อน เป็นจำนวนตั้ง 36 ล้าน แต่มีเพียงอัปสรา 1 องค์เท่านั้น ที่ได้รับเกียรติสูงสุด...ถูกอัญเชิญเป็นชายาของพระนารายณ์ หรือพูดให้ฟังง่ายก็ว่า...พระนารายณ์ท่านเลยเอาไปทำเมียนั้นเอง (หนึ่งในมหาเทพจ้าวจักรวาลทั้ง 3 ที่เรียกว่า"ตรีมูรติ" ได้แก่ พระพรหม-ศิวะ-นารายณ์) นั้นคือ นางอัปสรานามว่า..."พระนางลักษมีเทวี" ส่วนที่เหลืออีก 35 ล้านองค์ หามีเทวดาองค์ใดรับเป็นชายาไม่ แต่ได้จัดให้ทุกองค์ตกเป็นของกลางแห่งสวรรค์...เป็นสมบัติผลัดกันชมว่างั้น...แต่ถึงอย่างไรก็ตามอัปสราเหล่านั้นก็มีฐานะเป็นเทพี ได้รับการยกย่อง เป็นสัญลักษณ์ของความดีงาม มิได้ถูกลบหลู่หยามเกียรติแต่ประการใด (เรื่อง ตำนานตรีมูรติ เทวดา อสูร ฯลฯ ในฮินดูนี้นอกจากเป็นเรื่องที่แฟนตาซีสนุกสนานแล้ว ยังเป็นถึงรากฐานทางวัฒนธรรมของประเทศย่านเอเชียอาคเนย์รวมทั้งไทยเราด้วย สังเกตุดูซิครับศิลปวัฒนธรรมไทย วัดวาอาราม วรรณกรรม เป็นเรื่อง ฮินดู เสีย 60-70%เลย ที่เหลือก็เป็น คติจากพุทธและอื่นๆ)

รู้เรื่องตำนานนางอัปสราแล้ว ก็กลับมาที่รูปสลักอัปสราในปราสาทหินกันต่อ จากรูปจะเห็นว่าเธอทั้งหลาย แต่งองค์ทรงเครื่องในสไตล์เปลือย-อก นุ่งน้อยห่มน้อย รูปร่างอรชรงดงามเปี่ยมเสน่ห์น่าหลงใหล เคยนึกเล่นๆเหมือนกันว่า ถ้าเป็นภาพเหมือนจริงน่าจะออกมาประมาณไหน? จนในที่สุด...เมื่อได้พบเว็บไซต์ศิลปินเขมรท่านหนึ่ง นามว่า..."Reahu : ราหู" จาก Reahu.net เห็นภาพแล้วถึงกับตะลึงในความงามและอุทานเป็นภาษาเขมรว่า..."อัปสรา" บอง สลัน เนียง...


"ราหู.เน็ต" เป็นเว็บงานจิตรกรรมดิจิตอล-ศิลปะสักบนผิวหนัง(Tatoo) เนื้อหาที่ถูกนำมาสร้างสรรค์ส่วนใหญ่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์และตัวละครในตำนานมหากาพย์ฮินดู อาทิ มหาภารตะ, รามเกียรติ์ และมีงานชุดหนึ่งเกี่ยวกับ "อัปสรา" โดยตรงซึ่งเป็นงานที่ถูกยกขึ้นเป็นประเด็นถกเถียงกันอย่างร้อนแรง...ว่าเป็นการสร้างความเสื่อมเสีย-ลบหลู่ต่อศิลปวัฒนธรรมอันดีของชาติหรือไม่!! ถึงขั้นรัฐบาลกัมพูชาต้องเข้ามาพิจารณาประเด็นนี้ด้วยตัวเองและมีข่าวออกมาแว่วๆว่า...อาจรุนแรงถึงขั้นสั่งปิดเว็บไซต์!







ดูผลงานอื่นๆของ "ราหู" และรายละเอียดเพิ่มเติม : http://reahu.net/

. . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . .

- ภาคผนวก -

เท่าที่สังเกตุ ขอสันนิษฐาน!! ว่า...ศิลปินท่านนี้คงได้อิทธิพลทางด้านรูปแบบ-สีสัน มาจากงานของศิลปินนักวาดภาพแฟนตาซีในดวงใจผมอีกท่าน นามว่า..."Boris Vallejo" ส่วนเทคนิคก็ต่างกันตามยุคสมัย

- Boris Vallejo ใช้เทคนิคคลาสสิคคือ วาดด้วยสีน้ำมันหรือสีอะคริลิคบนกระดาษหรือผ้าใบ

- Reahu ใช้เทคนิคดิจิตอลด้วยคอมพิวเตอร์ ที่เรียกว่า *Matte Painting (คือการนำเอาภาพถ่าย,ภาพวาด,ภาพที่สร้างด้วยคอม ฯลฯ มาผสมผสานกันโดยจัดองค์ประกอบ, ตกแต่ง, ปรับสีสัน (Retouching)ให้ดูกลมกลืนแนบเนียนสมจริง)

เว็บรวมผลงานของ Boris Vallejo : http://vallejo.ural.net/


วันจันทร์ที่ 15 ธันวาคม พ.ศ. 2551

"ได้ซิลูก"(จากเรื่องจริง)

True Story
<จากเรื่องจริงอันน่าประทับใจ>

... A son says to his father: 'Dad, would you be willingly to run a marathon with me?'
วันนึงลูกชายได้พูดกับพ่อของเขาว่า 'พ่อครับ พ่อจะไปวิ่งมาราธอนกับผมได้ไหม'

The father, despite his age and a heart disease, says 'YES'.
ถึงแม้ว่าตัวคุณพ่อเองจะอายุมากแล้ว แถมยังเป็นโรคหัวใจ เขาเลือกที่จะตอบลูกของเขากลับไปว่า 'ได้ซิลูก'

And they run that marathon, together.
หลังจากนั้นทั้งสองก็วิ่งมาราธอนด้วยกัน

The son asks: 'Dad, can you run another marathon with me?' Again father says 'YES'.
อีกวันนึง ลูกชายได้ถามพ่อของเขาอีกครั้งว่า 'พ่อครับ พ่อจะวิ่งมาราธอนกับผมอีกครั้งได้ไหม' แน่นอนว่า พ่อตอบกลับไปว่า 'ได้ซิลูก'

They run another marathon, together.
เขาทั้งสองก็ได้วิ่งมาราธอนรายการอื่นอีกครั้งด้วยกัน

One day the son asks his father: 'Dad, would please do the Iron Man with me?'
และอีกวันนึง ลูกชายก็ถามพ่อของเขาอีกครั้งว่า 'พ่อครับพ่อจะลงแข่ง Iron Man กับผมได้ไหม'

Now just in case you wouldn't know, 'The Iron Man' is the toughest triatlon in existance; 4km swimming, then 180 km by bike, and finaly another 42 km running, in one stroke.
สำหรับคนที่ไม่รู้ว่า Iron Man คืออะไร(ไม่ใช่ฮีโร่ในหนังนะ55) มันก็คือไตรกีฬานั่นเองในภาษาไทย รายการนี้จะรวมมนุษย์เหล็กจากทั่วโลกมาแข่งขันกันโดยแบ่งออกเป็น ว่ายน้ำ 4 กิโล ปั่นจักรยาน 180 กิโล และ วิ่ง 42 กิโล โดยไม่มีการหยุดพัก ใครเข้าเส้นชัยก่อนเป็นผู้ชนะ

Again father says 'YES'
และก็อีกครั้งหนึ่งที่ผู้เป็นพ่อไม่ได้ตอบปฏิเสธ 'ได้ซิลูก'

Maybe this doesn't 'touch' you yet by heart ... until you see this movie (put on sound!)
บางทีบทสนทนานี้คุณอาจจะยังไม่เข้าใจ และยังไม่เกิดความประทับใจกับมัน...จนกระทั่งคุณได้ดูคลิปล่างนี้(เปิดเสียงด้วย!) (แล้วคุณจะประทับใจอย่างแน่นอน <ถ้าไม่ได้ดูมาแล้วเกิดมารู้ตอนหลังคุณจะเสียดาย> :)

วันอาทิตย์ที่ 14 ธันวาคม พ.ศ. 2551

ซำบายดี"ดวงจำปา"

...ดูหนัง DVD สบายดีหลวงพระบาง...ทำให้นึกถึงเพลงประกอบภาพยนตร์ เป็นเพลงลาวพื้นบ้านเพลงหนึ่ง...

"ดวงจำปา"
สุนทรีย์ม่วนซื่นหลายๆ งดงามหมดจดทั้งถ้อยคำเนื้อร้องและท่วงทำนอง

"ดวงจำปา"

โดย หงา-คาราวาน อัลบั้ม คนไกลบ้าน


" โอ้ ดวงจำปา เวลาชมดอก
คิดถึงบ้านช่อง มองเห็นหัวใจ
เฮานึกขึ้นได้ ในกลิ่นเจ้าหอม
เห็นสวนดอกไม้ บิดาปลูกไว้ ตั้งแต่ใดมา
เวลาหงอยเหงา ยังช่วยบรรเทา ให้หายโศกา
โอ้ ดวงจำปา คู่เคียงเฮามา แต่ยามน้อยเอย

กลิ่นเจ้าสำคัญ ติดพันหัวใจ
เป็นตาฮักใคร่ แพงไว้เชยชม
ยามเหงาเฮาดม เอ๋ยจำปาหอม
เมื่อดมกลิ่นเจ้า ปานพบเพื่อนเก่า ที่ได้พรากจากไป
เจ้าเป็นดอกไม้ ที่งามวิไล ตั้งแต่ใดมา
โอ้ ดวงจำปา มาลาขวัญฮัก ของเรียมนี่เอย

โอ้ ดวงจำปา บุบผาเมืองลาว
งามดังดวงดาว ชาวลาวปลื้มใจ
เมื่อตกอยู่ใน แดนดินลานช้าง
เมื่อได้พลัดพราก อดีตพลัดจาก
บ้านเกิดเมืองนอน ข้อยจะเอาเจ้า
เป็นเพื่อนร่วมเหงา เท่าสิ้นชีวา

โอ้ ดวงจำปา มาลางามจริง มิ่งเมืองลาวเอย"

..................................................................................

- ภาคผนวก - อุตมะ จุลมณี อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการลาว ได้แต่งเพลงนี้ไว้ในช่วงที่เข้าร่วมชบวนการต่อสู้กู้เอกราชคืนจากฝรั่งเศส เมื่อเกือบห้าสิบปีที่ผ่านมา โดยอุตมะ ได้ใช้ “ดอกจำปา” หรือดอกลั่นทม ที่ชาวลาวนิยมปลูกแต่ใอดีต เป็นสื่อบอกถึงความรักแผ่นดินถิ่นเกิดของชาวลาว โดยใช้ทำนองขับทุ้มหลวงพระบางในการเอื้อนเพลง "ดวงจำปา" เพลงนี้แผ่ขยายไปอย่างรวดเร็ว และสร้างความเป็นปึกแผ่นให้กับชาติลาว ในที่สุดฝรั่งเศสก็ยอมคืนเอกราชให้กับประเทศลาวได้ปกครองตนเอง และหลังจากการปฏิวัติม่วนซื่นในลาวเสร็จสิ้นลงเมื่อปี 2518 ท่านผู้นำลาวทั้งหลายก็ได้พร้อมใจกันเลือก ดวงจำปาเป็นดอกไม้ประจำชาติ ตลอดสองฝั่งโขงจากลาวเหนือที่พงสาลีจรดจำปาศักดิ์ที่ปากเซก็นิยมขับทุ้มเพลงนี้กันทั่ว...

วันศุกร์ที่ 12 ธันวาคม พ.ศ. 2551

ถนนลอนดอน

บังเอิญได้ฟังรายการวิทยุ(ทาง Net)ของรุ่นใหญ่วัยใกล้เกษียณผู้มีชื่อเสียงท่านหนึ่ง เผอิญพูดเรื่องเพลงท่านเลยบ่นว่า..."เพลงสมัยนี้ผมรับไม่ค่อยได้...เนื้อหาทำนอง มันไม่มีสุนทรียะเชิงศิลป์เอาเสียเลย..." จึงได้สอนมวยคนรุ่นหลัง ด้วยการการแนะนำบทเพลงสากลสมัยท่านหนุ่มๆเพลงหนึ่งให้ลองเสพดู...ได้ฟังแล้วส่วนตัวผมว่าเพราะดีนะ ทำนองฟังง่ายๆ กีต้าร์นุ่นๆ เพลินๆ ชิวๆ...แต่ติดที่เป็นเพลงสากล "เราเองก็ไม่ได้เป็นเซียนภาษา"...แต่ก็เอาล่ะ...ก็พอจับใจความได้คร่าวๆว่า...เนื้อหาสะท้อนสังคมคนจนจรจัดตามถนนในกรุงลอน+เป็นการให้กำลังใจแด่ผู้ที่กำลังคิดว่าชีวิตตนนั้นช่างตกต่ำโดดเดี่ยวอ้างว้าง...

. . .

เพลง "Streets Of London (Original 1969 Recording)โดย Ralph McTell ศิลปินชาวอังกฤษ ยุค60s

(สำนวนแปลมือสมัครเล่นอย่าว่ากัน : P

Have you seen the old man In the closed-down market Kicking up the paper, with his worn out shoes?
คุณเห็นชายชราในตลาดร้างที่เดินเขี่ยเศษกระดาษด้วยรองเท้าคู่เก่าๆนั้นไหม

In his eyes you see no pride
แววตาของเขาไร้ซึ่งความภาคภูมิ

And held loosely at his side Yesterday's paper telling yesterday's news
ข้างๆตัว พกหนังสือพิมพ์ฉบับเมื่อวาน ที่บอกเล่าเรื่องราวของวันวาน

....So how can you tell me you're lonely,
แล้วคุณกล่าวกับฉันได้อย่างไรว่า...คุณช่างอ้างว้างเปล่าเปลี่ยว?

And say for you that the sun don't shine?
และยังพูดอีกว่าดวงตะวันไม่เคยส่องแสงมายังคุณเลย

Let me take you by the hand and lead you through the streets of London
โปรดให้ฉ้นได้จูงมือ
คุณไปยังถนนแห่งลอนดอนเถิด

I'll show you something to make you change your mind
ฉ้นจะแสดงบางสิ่งให้คุณเห็น เผื่อคุณจะได้ละทิ้งความคิดนั่นเสีย


Have you seen the old girl Who walks the streets of London
คุณเห็นหญิงชราน้อยๆ คนที่เดินอยู่บนถนนแห่งลอนดอนนั่นไหม?

Dirt in her hair and her clothes in rags?
ผมของเธอสกปรกรุงรัง ชุดของเธอขี้ริ้วขาดวิ่น

She's no time for talking, She just keeps right on walking
เธอไม่มีเวลาพูดคุย เธอแค่เดินไปเรื่อยเปื่อย

Carrying her home in two carrier bags.
ที่พำนักของเธออยู่ในย่ามสองใบนั่น

Chorus>....So how can you tell me you're lonely,
แล้วคุณกล่าวกับฉันได้อย่างไรว่า...คุณช่างอ้างว้างเปล่าเปลี่ยว?

In the all night cafe At a quarter past eleven,
ในคาเฟ่ยามค่ำคืน ณ เวลา 11 นาฬิกาล่วงไป

Same old man is sitting there on his own
ชายชราคนเดิมกำลังนั้งลงที่นั้น ณ ที่เดิมของเขา

Looking at the world Over the rim of his tea-cup,
มองความเป็นไปของโลกที่บนขอบถ้วยชา

Each tea last an hour Then he wanders home alone
มองถ้วยชาผ่านไปแก้วแล้วแก้วเล่า แล้วเขาก็เดินกลับตามลำพังไร้จุดหมาย

Chorus>....So how can you tell me you're lonely,
แล้วคุณกล่าวกับฉันได้อย่างไรว่า...คุณช่างอ้างว้างเปล่าเปลี่ยว?


And have you seen the old man Outside the seaman's mission
คุณเห็นชายชราที่อยู่นอกวงคณะพลทหารเรือนั้นไหม

Memory fading with The medal ribbons that he wears
ความทรงจำจางหายไปกับแถบสะพายเหรียญเกียรติยศที่เขาสวมใส่

In our winter city,The rain cries a little pity
ในเมืองอันเหน็บหนาวแห่งนี้ สายฝนได้โปรยปรายเจือความสงสาร

For one more forgotten hero And a world that doesn't care
แด่วีรบุรุษผู้ถูกลืมอีกคน กับโลกที่ไม่เคยแยแสเขาเลย

Chorus>....So how can you tell me you're lonely,
แล้วคุณกล่าวกับฉันได้อย่างไรว่า...คุณช่างอ้างว้างเปล่าเปลี่ยว?

- จบบริบูรณ์ -

. . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . .

*ภาคผนวก

ภาพถ่ายเวอร์ชั่นปัจจุบันของคุณตา Ralph McTell

Ralph McTell (born Ralph May in Farnborough England 3 December 1944) is an English singer/songwriter and acoustic guitar player who has been an influential figure on the UK folk scene since the 1960s. McTell's guitar style has been influenced by many of the USA's country blues guitar players of the early 20th century, including Blind Blake, Blind Willie McTell and Robert Johnson.

"Streets of London" is a song written by Ralph McTell. It was first recorded for McTell's 1969 album Spiral Staircase but was not released in the United Kingdom as a single until 1974. It was his greatest commercial success, reaching number two in the UK singles chart, at one point, selling 90,000 copies a day[citation needed], and winning him the Ivor Novell Award.(จาก Wikipedia)

วันจันทร์ที่ 8 ธันวาคม พ.ศ. 2551

ชาลส์ ดาร์วิน "ฤามนุษย์เป็นได้แค่สัตว์ร้าย"

ชาลส์ ดาร์วิน (Charles Darwin) เป็นนักธรรมชาติวิทยาชาวอังกฤษ ผู้เสนอทฤษฎีวิวัฒนาการสมัยใหม่ และหลักการพื้นฐานของกลไกการคัดเลือกโดยธรรมชาติ การเดินทางออกไปยังท้องทะเลทั่วโลกกับเรือบีเกิล (HMS Beagle)โดยเฉพาะการเฝ้าสำรวจที่หมู่เกาะกาลาปากอส เป็นทั้งแรงบันดาลใจ และให้ข้อมูลจำนวนมากซึ่งนำมาใช้เป็นทฤษฎี ในหนังสือชื่อ "The Origin of Species" อันเป็นผลงานที่มีชื่อเสียงที่สุดของเขา ที่สำคัญและไม่ค่อยมีใครสังเกตก็คือ ปัจจุบันในวงการศึกษา-วิชาการเกือบทุกแขนงล้วนถูกครอบงำด้วยทฤษฎีของ ดาร์วิน เสียทั้งสิ้น!! ทั้งได้ส่งผลต่อแนวคิดในการดำรงชีวิตและสังคมมนุษย์อย่างหนักหน่วง ซึ่งมีแนวโน้มออกมาในทำนองที่เลวร้ายเสียส่วนใหญ่(จะโดยรู้ตัวหรือไม่รู้ตัวก็ตาม)

ทฤษฎีของ ดาร์วิน โดยสังเขปดังนี้
1. สิ่งมีชีวิตทั้งปวง(รวมมนุษย์)กำเนิดขึ้นจากปฏิกิริยาของสสารโดยความบังเอิญ เป็นปรากฏการณ์ทางชีวเคมีล้วนๆ ไม่มีสิ่งที่เป็นนามธรรมอื่นใด(อาทิ วิญญาณ จิต หรือ พระเจ้า)อยู่เบิ้องหลัง

2. รูปแบบสิ่งมีชีวิตวิวัฒนาการมาจากการปรับตัวเปลี่ยนปลงรูปร่างให้เหมาะสมกับสภาพแวดล้อมซึ่งเป็นแบบค่อยๆเปลี่ยนกินเวลายาวนานเป็น(ล้านๆปี)

3. การวิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิตมีความมุ่งหมายเพียงเพื่อการอยู่รอดและสืบพันธุ์ให้เผ่าพันธุ์ของตนดำรงอยู่ต่อไปเท่านั้น

4. กฎการเลือกสรรโดยธรรมชาติได้กำหนดให้สิ่งมีชีวิตที่ปรับตัวได้ดีกว่าและแข็งแกร่งกว่าเท่านั้นจึงสามารถอยู่รอดได้ ส่วนผู้ด้อยกว่าย่อมถูกกำจัดทิ้งให้สูญพันธุ์ไปในที่สุด

ลองมาดูกันว่า ทฤษฎีของ ดาร์วิน มีอิทธิพลต่อความคิดและวิถีการดำเนินชีวิตของมนุษยชาติอย่างไร...

- คาร์ล มาร์กซ์ ได้ต่อยอดหลักการของดาร์วิน ก่อเกิดลัทธิคอมมิวนิสต์ ซึ่งมีหลักคิดว่า แก่นสารหลักของชีวิตมนุษย์คือ กิจกรรมทางเศรษฐกิจแห่งการผลิตเพื่อการกินอยู่ทางกายเท่านั้น, ส่วนที่เป็นกิจกรรมทางนามธรรมอาทิ ศาสนา-มนุษยธรรม-ศีลธรรม-ศิลปะ-ความบันเทิงทั้งปวง ฯลฯ เป็นเพียงแค่ส่วนส่งเสริมที่เกิดขึ้นตามเงื่อนไขของสังคมในช่วงเวลานั้นๆ หาได้มีแก่นสารจริงแท้แต่ประการใด โดยเฉพาะศาสนาเป็นแค่เครื่องมือของชนชั้นปกครองส่วนน้อยที่จัดตั้งขึ้นมาเพื่อครอบงำ หลอกใช้ขูดรีดแรงงานประชาชนส่วนใหญ่เพื่อหล่อเลี้ยงตนและพวกพ้องให้มั่งคั่ง และศาสนายังถูกนำมาใช้เป็นสิ่งกล่อมประสาทของผู้อ่อนแอที่ไม่สมหวังและไม่สามารถต่อสู้กับโลกแห่งความเป็นจริงได้ จึงสร้างความเพ้อฝันถึงโลกหน้าอันเป็นแดนสุขาวดีของพระเป็นเจ้า โดยหลังจากตายแล้วตนจะได้ไปอยู่ร่วมด้วย...

- ฮิตเลอร์และพลพรรคนาซี อาศัยแนวคิดการเลือกโดยธรรมชาติ จึงได้มีทัศนะว่าเผ่าอารยันเยอรมันของตนเป็นเผ่าพันธุ์ที่ดีเลิศที่สุดในโลก เผ่าพันธุ์อื่นๆที่อ่อนด้อยเป็นตัวถ่วงความเจริญก้าวหน้าสมควรกำจัดทิ้ง ซึ่งปรากฏออกมาในรูปแบบของการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวยิวนับล้านและปฏิบัติการก่อสงครามยึดครองโลก จนส่งผลให้เกิดสงครามโลกครั้งที่ 2...

- จนมาถึงยุคปัจจุบัน ยุคโลกาภิวัตน์ประชาธิปไตยทุนนิยม-อุตสาหกรรมบริโภคนิยม ศตวรรตที่21 ก็ไม่พ้นอิทธิพลของทฤษฎีของดาร์วินที่ส่งผลให้ชนส่วนใหญ่เห็นว่า ในเมื่อการกำเนิดของชีวิตเป็นเพียงแค่ปฏิกิริยาวัตถุสสารโดยบังเอิญ ดังนั้นการดิ้นรนอยู่รอดเพื่อความอิ่มเอมแห่งการเสพวัตถุจึงเป็นเป้าหมายสุขสุดของชีวิต, ระบบปลาใหญ่กินปลาเล็ก, การโจมตีทางการเงิน, การล่าอาณานิคมยุคใหม่โดยการเข้าฮุบกิจการ-การผูกขาด-การปล้นทรัพยากรของคนประเทศเดียวกันและต่างประเทศ(แม้จะด้วยโหดเหี้ยมไร้ความเมตตาปราณีเพียงใด)ก็นับว่าเป็นความชอบธรรมตามทฤษฎีการเลือกสรรโดยธรรมชาติอยู่แล้วที่ผู้แข็งแกร่งกว่าไม่ว่าจะพลังด้านเทคโนโลยี-กำลังทุน ฯลฯ ย่อมต้องกำจัดผู้ด้อยกว่าให้พินาศล้มหายตายจากไป!! ระบบเมตตาธรรม-มนุษยธรรมศีลธรรมจรรยาต่างๆ เป็นแค่กลไกทางสังคมที่สมมติขึ้นมาใช้ในบางกรณีเท่านั้น ไม่จำเป็นต้องใส่ใจให้ความสำคัญจนเกินไปเพราะจะเป็นการถอยหลังเข้าคลองขัดขวางต่อความก้าวหน้าของการวิวัฒนาการ

. . . .

เราไม่อาจปฏิเสธได้ว่าในบางด้านของทฤษฎี ชาลส์ ดาร์วิน เป็นความจริงแท้ที่ปรากฎให้เห็นกันอยู่ในธรรมชาติ โดยเฉพาะในธรรมชาติของพืช-สัตว์ทั้งปวง แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้เช่นกันว่า บางด้านของทฤษฎีดาร๋วิน ได้มีส่วนชี้นำและลดคุณค่าชีวิตมนุษย์ให้เป็นเพียงแค่สัตว์ชนิดหนึ่งด้วยกรอบความคิดในทำนองที่ว่า ถึงแม้มนุษย์จะมีปัญญา มีวิทยาการมีความเป็นอยู่ล้ำหน้ากว่าสัตว์ สามารถประดิษฐ์เทคโนโลยีอำนวยความสะดวกให้ตนได้มากมายเพียงใด แต่ในที่สุดแล้วเทคโนโลยีและวิทยาการทั้งหมดทั้งสิ้น หากมองในกรอบของทฤษฎีดาร์วินแล้ว ก็เป็นเพียงแค่เครื่องมือในการตอบสนองต่อการดิ้นรนต่อสู้-หากินเพื่อความอยู่รอด, เพื่อการแสวงหาความสุขความอิ่มทางวัตถุ และเพื่อการสืบเผ่าพันธุ์ให้ดำรงอยู่ต่อไปแค่นั้นเอง...หรือ???

วันอังคารที่ 25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551

21-12-12 กทม.จมน้ำ-วันสิ้นโลก?


สำนักข่าวต่างประเทศ รายงานสถานการณ์น้ำท่วมในประเทศไทย และมวลน้ำกำลังมุ่งหน้าโจมตีเมืองหลวงของไทยอยู่ในขณะนี้ ว่าเป็นสัญญาณบ่งบอกถึงผลกระทบจากภาวะโลกร้อนที่รุนแรงเพิ่มขึ้น


รายงานเปิดเผยว่า เหล่าผู้เชี่ยวชาญต่างคาดการณ์สถานการณ์คล้ายกันว่า ในอีก 39 ปีข้างหน้า หรือปี ค.ศ.2050 ระดับน้ำทะเลจะเพิ่มขึ้น 19-29 เซนติเมตร ซึ่งจะส่งผลกระทบโดยตรงกับกรุงเทพมหานคร ซึ่งตั้งอยู่ห่างจากทะเลเพียง 30 กิโลเมตร

ทั้งนี้รายงานข่าวอ้างคำพูดของ ดร.อานนท์ สนิทวงศ์ ณ อยุธยา ว่า ถ้ายังไม่มีมาตรการใดๆ เลย ภายใน 50 ปีข้างหน้านี้ พื้นที่กรุงเทพฯ ส่วนใหญ่จะอยู่ใต้ระดับน้ำทะเล

โดยธนาคารโลก, ธนาคารเพื่อการพัฒนาเอเชีย (เอดีบี) และธนาคารแห่งญี่ปุ่นเพื่อความร่วมมือระหว่างประเทศ (JBIC) ระบุว่า อุณหภูมิโลกที่สูงขึ้นยังไม่ใช่แค่ปัญหาเดียว แต่การขุดเจาะน้ำบาดาลเพื่อใช้ในการอุปโภคบริโภคของโรงงานอุตสาหกรรมและคนเมืองหลว ยังส่งผลให้พื้นดินเขตกรุงเทพมหานครทรุดต่ำลงเฉลี่ยปีละ 10 เซนติเมตรในช่วงปลายทศวรรษที่ 1970 ผลการศึกษาซึ่งเผยแพร่ในปีที่แล้ว

อย่างไรก็ตารม เดวิด แม็คคอลีย์ ผู้เชี่ยวชาญด้านการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศของเอดีบี กล่าวว่า “ไม่มีทางกลับไปเหมือนเดิมได้อีกแล้ว กรุงเทพมหานครจะไม่ยกตัวสูงขึ้นอีก”

ด้าน ฟรองซัวร์ มอลล์ ผู้เชี่ยวชาญการจัดการน้ำจากสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาแห่งฝรั่งเศส ให้ความเห็นว่า การขยายตัวของเมืองอย่างรวดเร็ว เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้กรุงเทพได้รับผลกระทบจากน้ำท่วมรุนแรงมากขึ้น ในอนาคตกรุงเทพจะต้องจมอยู่ใต้น้ำอย่างแน่นอน แต่คำถามสำคัญก็คือ เมื่อไหร่


- คลิป นักวิชาการไทยให้ความรู้ กทม.จมน้ำ -
ภัยพิบัติโลก-











กระแส น้ำท่วมโลกเคยเป็นประเด็นโด่งดังและตื่นตระหนกกันอย่างมาก ในปี 2000 ตามความเชื่อในคำทำนายของนอตราดามุส, คำภีร์ไบเบิ้ล, และเจ้าลัทธิบางท่าน ส่งผลให้หลายคนแตกตื่นตระเตรียมข้าวของอพยพหาที่อยู่ใหม่ แต่ผลไม่เป็นตามนั้น นั่นคือ "ไม่มีอะไรเกิดขึ้น"

ดูภาพใหญ่คลิก http://flood.firetree.net/?ll=15.5701,100.0745&z=10&m=14

มาวันนี้กระแสตื่นกลัวน้ำท่วมโลกกลับมาอีกครั้ง ด้วยสภาวะโลกร้อนตามหลักวิทยาศาสตร์ซึ่งไม่ใช่แค่คำทำนายลอยๆจากผู้วิเศษลึกลับ น้ำแข็งขั้วโลกกำลังละลายส่งผลให้ปริมาณน้ำในทะเลเพิ่มขึ้น ผู้ทรงคุณวุฒิที่น่าเชื่อถือหลายท่านหลากสำนักทั้งในและต่างประเทศ อาทิ ดร.สมิทธ ธรรมสโรช ประธานอำนวยการเตือนภัยพิบัติแห่งชาติ ผู้เคยพยากรณ์เรื่อง จะเกิดสึนามิในภาคใต้ อย่างถูกต้องมาแล้ว ต่างออกมาพยากรณ์เตือนว่า อีกไม่เกิน อย่างเร็ว 8ปี อย่างช้า30 ปี(นับจากปี2008) กรุงเทพและอีกหลายจังหวัดในไทยจะจมน้ำอย่างแน่นอน(จมถาวรไม่ใช่น้ำท่วมชั่วคราว!) แผนที่ด้านบน สีน้ำเงินเข้มคือ บริเวณที่จะจมน้ำ

"ผมไม่ใช่หมอดู แต่มันคือ "หน้าที่" "หน้าที่ผมคือการเตือนภัย โอกาสผิดก็มี...แต่โอกาสถูกมีมากว่า" ดร.สมิทร ธรรมสโรช

กรมแผนที่ทหารบอกว่า ขณะนี้อัตราเฉลี่ยการทรุดตัวของ กทม. อยู่ที่ปีละ 5-8 ซม. ซึ่งถ้าเป็นจริงอย่างที่บอก อีก10 กทม.จะทรุดลองอีก 50 ซม. ผนวกกับ 10 ปีระดับน้ำที่ทำนายไว้ว่า จะสูงขึ้นมาประมาณ 1 เมตร นั้นหมายความว่า กทม.จะจมอยู่ใต้น้ำราว 1.5-2 เมตร ส่วนบางปะกง ฉะเชิงเทรา ปากน้ำ สมุทรสาคร สมุทรสงคราม พื้นที่เหล่านี้ก็จะมีน้ำท่วมหมดเลยเช่นกัน เพราะพื้นที่นี้อยู่สูงกว่าระดับน้ำทะเลเพียงนิดเดียว


สำหรับประเทศไทยเรา ถ้าภาคประชาชน - เอกชน - รัฐ ไม่ละเลยกรณีปัญหานี้จนเกินไป ศึกษาอย่างจริงจัง ถ้ามีแน้วโน้วจะเป็นจริง คงจัดหาทคโนโลยีมาช่วยได้ (หรือจะย้าย กทม.? ย้ายวัดพระแก้ว?) อย่าให้เป็นอย่าง สึนามิ เพราะกรณีนี้ทั้งนักวิทยาศาสตร์ต่างประเทศและ ดร.สมิทร(ซึ่งไม่ใช่หมอดูนั้งเทียน) ได้มาเตือนล่วงหน้าบ้างแล้วว่าเป็นไปได้แต่ไม่มีใครฟัง เห็นว่าเป็นเรื่องตลกฟุ่งซ่านไป ผลก็อย่างเป็นที่รู้กัน *แต่ก็ไม่ควรตระหนกเกิเหตุ


. . . . . . . . . . . . . . . . . .

มีคำทำนายอีกชุด บอกว่าเหตุการณ์เมืองจมน้ำนี้จะเกิดขึ้นอีกแค่ 4 ปีเท่านั้น
นั้นคือคำทำนาย 2012!! นอกจากเหตุผลทางสภาวะโลกร้อนที่เป็นกระแสหลักแล้ว เหตุผลอื่นๆที่สนันสนุนคำทำนาย 2012 ทั้งวิทยาศาสตร์-ไสยศาสตร์ ดังต่อไปนี้ (ข้อมูลจากคัดลอกมากจากเว็บไซต์หลากหลากแหล่ง โปรดใช้วิจารณญาณ)

Episode 1. ปี 2012 แกนโลกพลิกตัว(Pole Shift)

โลกและดวงอาทิตย์ ทั้งสองมีความเกี่ยวข้องกันและสัมพันธ์กัน โดยจะแลกเปลี่ยนพลังงานและใช้จนหมดจนเกิดกระบวนการของการพลิกกลับขั้วเกิดขึ้น ซึ่งครั้งหนึ่งเคยเกิดขึ้นเมื่อหลายล้านปีก่อน สัตว์จำพวกไดโนเสาร์ได้สูญพันธุ์ไปในช่วงเวลานั้น ปรากฎการณ์แกนโลกพลิกตัวที่เคยเกิดขึ้นนั้นไม่เคยถูกบันทึกมาก่อน แต่ในปัจจุบัน คอมพิวเตอร์สามารถทำนายผลลัพธ์ที่เป็นจริงได้ ซึ่ง NASA เคยนำคำพูดที่น่ากลัว มากล่าวถึงในที่สาธารณะเกี่ยวกับการพลิกกลับขั้ว จะทำคุณสมบัติของแม่เหล็กของโลกอ่อนแอและเบี่ยงเบนไป เป็นสาเหตุให้เกิดปัญหาดังต่อไปนี้

1. ระบบอิเล็กโทรนิคจำนวนมากจะทำงานผิดปกติ (ระบบขีปนาวุธ ,computer)

2. การอพยพของฝูงสัตว์ เช่น นก หรือปลาวาฬ ทำให้สูญเสียทิศทางและอื่นๆระบบภูมิคุ้มกันโรคในบรรดาสัตว์รวมถึงมนุษย์จะทำให้อ่อนอย่างมาก

3. ทำให้ภูเขาไฟเพิ่มขึ้น, เกิดการเคลื่อนที่ของเปลือกโลก แผ่นดินไหว แผ่นดินถล่มและน้ำท่วม พื้นที่บางจุดของโลกจะจมน้ำถาวร

4. สนามแม่แหล็กโลก (Magnetosphere) จะอ่อนแอลง และการแผ่รังสีคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าจากดวงอาทิตย์จะเพิ่มปริมาณถึงระดับอันตราย ก่อให้เกิดมะเร็งผิวหนังตามมา

5. กลุ่มวัตถุในอวกาศมากมายจะเฉียดเข้าใกล้โลกได้ง่ายขึ้น แรงดึงดูดของโลกจะมีการเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม

. . . . .

Episode 2. พลังจิต
นาย กอร์ดอน (Gordon-Michael Scalion) ชาวอเมริกันที่เคยเสียชีวิตเมื่อปี 1979 แต่กลับฟื้นขึ้นมาอีกครั้ง หลังจากฟื้นเขาอ้างว่า ได้รับพรสวรรค์ที่หยั่งรู้อนาคต เขามักจะเดินทางไปอยู่บนพื้นที่สูงๆบนภูเขา แล้วมองลงมาเห็นภาพในอนาคต โดยเฉพาะภาพของเมืองที่เปลี่ยนไป และโลกที่จะเกิดขึ้นมาใหม่ คนที่เชื่อถือนายกอร์ดอนนั้นมีไม่น้อย เพราะเขาได้เคยฝากผลงานการทำนายที่แม่นยำเอาไว้ เช่น เหตุการณ์แผ่นดินไหวในลอส แองเจอริส เมื่อเดือนเมษายน พ.ศ. 2535, เหตุการณ์แผ่นดินไหวในแคลิฟอร์เนียเมื่อมกราคม 2537 รวมอีกหลายเหตุการณ์ที่เขาทายไว้แล้วก็ถูกเผง แต่ที่น่าตื่นเต้นที่สุด ก็เห็นจะเป็นการทำนายเมื่อปี พ.ศ.2521 ซึ่งเขาเห็นตัวเองลอยอยู่เหนืออวกาศ แล้วมองลงมาบนโลก ด้วยภาพแผนที่โลกใหม่ เขาจึงใช้เวลาอยู่ 4 ปี ที่จะร่างแผนที่โลกอนาคตที่เห็นคนเดียวนั้นออกมาสู่สายตาชาวโลก พร้อมทั้งให้คำอธิบายไว้ว่า โลกที่แปรเปลี่ยนไปนี้จะเกิดจากน้ำท่วม แผ่นดินไหว ภูเขาไฟระเบิด ทำให้ทวีปของโลกเคลื่อนไปหมด และสิ่งเหล่านี้จะเกิดขึ้นระหว่างปี ค.ศ.2012 หรือ พ.ศ.2555 นั่นเอง

สำหรับเอเชีย-ประเทศไทย จะเกิดแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ ทำให้เกิดน้ำท่วมตั้งแต่ ฟิลิปปินส์ ญี่ปุ่น ไปจนถึงทะเลแบริ่งซึ่งอยู่ระหว่างอะลาสก้ากับรัสเซีย เกาะญี่ปุ่นจึงจะจมหายไปหมด เหลือไว้แค่ 2-3 เกาะเท่านั้นญี่ปุ่นส่วนใหญ่และไต้หวันกับเกาหลีก็จะหายจมไปในทะเล ดังนั้นแนวฝั่งของจีนก็จะร่นเข้าไปในแผ่นดินใหญ่หลายร้อยไมล์ทีเดียว อินโดนีเซียจะถูกทำลาย เช่นเดียวกับฟิลิปินส์ เอเชียจะมีการเปลี่ยนแปลงที่สูงมากเพราะตั้งอยู่บน 3 ทวีป ส่วนไทยนั้นอยู่บนแผ่นทวีปของ ยูเรเซี่ยน ซึ่งจะเกิดการยกตัวให้สูงขึ้น แผ่นแปซิฟิกจะเคลื่อนไป 9 องศา ดังนั้น บางส่วนจะมุดตัวลง บางส่วนจะยกตัวขึ้นผลสรุปการทำนายก็คือ ประเทศไทยจะยังเหลืออยู่บางส่วนตามภาพแผนที่ ที่ขยายแยกออกมา ประเทศไทยจะเหลือมากที่สุดคือภาคเหนือ ส่วนอีสานบางส่วนและภาคใต้จะจมลงไปในทะเลพร้อมกับมาเลเซีย สิงคโปและอินโดนีเซีย ส่วนชายฝั่งทะเลจะมาอยู่ที่ชัยภูมิ เพรชบูรณ์ พิจิตร พิษณุโลก สุโขทัยและตาก และแม่น้ำโขงจะกลายเป็นทะเล

. . . . .

Episode 3. ปฏิทินเผ่ามายา

ปฏิทินมายา กล่าวว่า วันที่ 21-12-2012 เป็นวันที่จะเกิดการเปลี่ยนแปลงใหญ่ คือ วันวิปโยคสิ้นโลก! เผ่ามายาอยู่ทางทวีปอเมริกาเหนือ มีการสืบสายวัฒนธรรมรวมถึงสิ่งก่อสร้าง ปิรามิด และวัดนับพันแห่ง มีปฏิทินของตนเองที่ได้รับการพิสูจน์ถึงความถูกต้องทางดาราศาสตร์ มากกว่าพันปีปฏิทิน ความเชื่อของชาวมายาจึงได้รับการพิจารณาว่าเป็นกุญแจพิศวง ด้านจิตวิญญาณ สำคัญของคนแถบอเมริกาเหนือ...

...***นักแปลอักษรโบราณผู้เชี่ยวชาญเผย... ชาวตะวันตกถอดความปฏิทินชนเผ่ามายาผิด ชี้ที่จริงโลกไม่แตก แต่อาจหมายถึงการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่เท่านั้น...สำนักข่าวต่างประเทศ รายงานเมื่อ 2 ธ.ค. ว่า ข้อความจารึกที่วัดของชนเผ่ามายา ในทอร์ทูกัวโร ซึ่งเคยถูกตีความไว้ว่า 2012 จะเป็นปีที่โลกถึงวันดับสูญ จากมหาภัยพิบัติต่าง ๆ อาทิ หลุมดำดูดกลืน ความร้อนจากดวงอาทิตย์ ดาวเคราะห์พุ่งชน หรือะไรก็ตาม แต่ล่าสุด สเวน โกรเนเมเยอร์ นักแปลอักษรโบราณผู้เชี่ยวชาญชาวเยอรมนี จากมหาวิทยาลัยลาโทรบ ในออสเตรเลีย เผยว่า "มีความเป็นไปได้สูงว่า การถอดความนั้นมีความคลาดเคลื่อน อาจจะไม่ใช่คำทำนายวันโลกาวินาศ แต่หมายถึงการเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่" ส่วนการถอดความวันสิ้นโลก เป็นการแปลความหมายแบบผิดๆ ของชาวตะวันตก ซึ่งก่อให้เกิดความตื่นกลัวกันไปเองทั้งนี้ เมื่อปลาย พ.ย.ที่ผ่านา มีรายงานว่า ปฏิทินของชนเผ่ามายา ไม่ได้มีเพียงแค่ชิ้นเดียว แต่ชิ้นที่ 2 ทางการเม็กซิโก ได้เก็บรักษาเอาไว้เป็นอย่างดีมานานหลายปีแล้ว...

- ภาพยนตร์ 2012 น้ำท่วมโลก-โลกาวินาศ ตามคำทำนายปฏิทินมายา -




วันจันทร์ที่ 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551

SuperHero เท่พันธุ์นรก

SPAWN
- The Cool SuperHero -
ซูเปอร์ฮีโร่ที่รู้จักกันดี ไม่ว่าจะเป็น SuperMan, SpiderMan, The Hulk, หรือล่าสุด IronMan ขอเสนอซุปเปอร์ฮีโร่ เท่ๆ อีกคน พลัง+ความเก่งและความเท่ห์รูปลักษณ์ดีไซน์  !! SPAWN !! ฮีโร่พันธุ์นรก!
. . .
ตัวอย่างหนัง Spawn (เก่าสร้างเมื่อปี 1997)
(ควรจะสร้างภาคใหม่ได้แล้ว ด้วยเทคนิค CG ล่าสุด น่าจะมันส์กว่านี้เยอะ. . .)
. . .
เนื้อเรื่อง(ในภาพยนตร์)โดยย่อ. . .เดิมที สปอว์น เป็นมนุษย์ธรรมดา ชื่อ แอล ซิมมอนส์ เป็นนักฆ่าของหน่วยราชการลับ เขามีภรรยาที่รักมาก(และหัวหน้าเขาเองนามว่า เจสัน เวนน์ ก็แอบชอบเมียเขาอยู่)จนวันหนึ่งเขาถูกหัวหน้าแกล้งบัญชาการให้ปฏิบัติหน้าที่แสนโหดเกินมนุษย์จะทำได้ ผลคือ แน่นอนเขาทำไม่ได้ หัวหน้าเวร เฮ้ย! เวทน์ไม่พอใจจึงใช้เล่ห์เพทุบายลงโทษ+กำจัดเขาด้วยวิธีที่โหดเหี้ยม ครอกไฟเผาทั้งเป็นเสียโฉมหมดสติ ใครๆรวมทั้งภรรยาของเขานึกว่าเขาเสียชีวิตจากอุบัติเหตุ (แล้วพีเวร. . .ก็ได้เมียชาวบ้านไปครองสมใจอยาก)
ราชันย์ปีศาจแห่งอเวจีนรกเห็นพลังแฝงซ่อนเร้นในตัวเขา จึงปลุกเสกคืนชีพให้เขาอีกครั้ง กลายเป็น Spawn! ด้วยหวังที่จะมอบหมายให้เขา นำทัพเหล่าปิศาจจากขุมนรกต่อสู้กับเหล่าทัพดินแดนมนุษย์เพื่อยึดครองโลก เขาก็ยอมเป็น Spawn ด้วยเงื่อนไขเพียงเพื่อการแก้แค้น และเพื่อแลกเปลี่ยนกับการมองเห็นหน้าภรรยาเขาไกลๆเท่านั้น เพราะด้วยเหตุที่โดนไฟครอกหน้าตาไม่เหลือเค้าเดิมแถมยังดูอัปลักษณ์คล้ายเฟรดดี้นิ้วเขมือม (ถึงยังไงก็สามารถสร้างเซลล์หน้ากากหล่อๆมาหุ้มไว้ได้ แต่บางทีนึกสนุกแกก็เผยโฉมหน้าภาคหน้ากลัวให้เห็น. . .ไว้ข่มขวัญศัตรู)
และในท้ายที่สุดเขาเปลี่ยนใจไม่ร่วมมือกับเหล่าปีศาจเปลี่ยนบทบาทมาเป็น ซุปเปอร์ฮีโร่ ปกป้องโลกกำจัดปีศาจและเหล่าวายร้ายแทน
SPAWN มีพลังวิเศษ สามารถสร้างอาวุธได้ด้วยการงอกจากส่วนใดส่วนหนึ่งของร่างกาย เช่น เดือยเหล็กแหลมที่แขนขา-สันหลัง ที่ใช้บ่อยทรงพลังมากคือ แซ่โซ่ลูกตุ้มที่สามารถปล่อยกระแสไฟฟ้าช็อตได้อีกต่างหาก และอย่าเพิ่งเข้าใจผิดว่าสปอว์นต้องเปลี่ยนชุดใส่เสื้อผ้าใส่กางเกงในอะไรล่ะ ไม่มีเลย! เพราะสปอว์นคือ อมนุษย์ ไม่ใช่คนไม่ใช่มนุษย์ต่างดาว แต่มันมาจากนรก!! เรือนร่างลวดลายภายนอกที่เห็นนั้นเป็นส่วนผิวหนังอวัยวะร่างกายล้วนๆ จุดเด่นที่สำคัญอีกจุด อันนี้ชอบมากไอเดียเจ๋งดี นั้นคือ ผ้าคลุมสารพัดประโยชน์สีแดงผืนใหญ่พริ้วดั่งเปลวไฟซึ่งจริงๆแล้วไม่ใช่ผ้า แต่คล้ายๆเป็นเซลล์พิเศษที่งอกออกมาช่วยในการทรงตัว-เหาะ-อำพรางหายตัว-จับศัตรู ฯลฯ หดกลับได้เมื่อไม่ใช้งาน (ลองดูในวิดีโอคลิป) ร่างกายสปอว์นเป็นเซลล์พิเศษเมื่อมีการบาดเจ็บฉีดขาดก็จะซ่อมแซมตัวเองให้เป็นปกติโดยเร็ว ส่วนพละกำลังในการต่อสู้หายห่วงไม่ต้องพูดถึง

Spawn เวอร์ชั่นของเล่นโมเดล ดูดีลงตัว
ได้วางโชว์ในตู้-ชั้นกระจก. . .นะ

วันเสาร์ที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551

Silicon Valley หุบเข้าปีศาจ

"ซิลิคอน วัลเลย์"
ศูนย์กลางแห่งการปฏิวัติ!
เทคโนโลยีและนวัตกรรมสารสนเทศของโลก


Silicon Valley หรือ หุบเขา ซิลิคอน ตั้งอยู่บริเวณ ตอนใต้ของเมืองซานฟรานซิสโก สหรัฐอเมริกา เป็นแหล่งที่ตั้งสำนักงานใหญ่ของบริษัทชั้นนำทางด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรมสารสนเทศของโลก การแข่งขันการพัฒนาระหว่างบริษัทในหุบเขานี้ ดุเดือดเลือดพล่าน ห่ำหั่นเชือดเฉือน ชนิดที่ทำลายล้างกันให้ตายไปข้างหนึ่ง การทำลายล้างที่ว่านี้ไม่ใช่การทำลายล้างแบบสรกปรกสาดโคลนแทรกแทรงกลั่นแกล้ง(เหมือนที่นักการเมืองไทยชอบเล่นกัน) แต่เป็นการทำลายล้างที่เป็นไปตามระบบอย่างสร้างสรรค์(Creative Destruction) เป็นการทำลายล้างเพื่อขับเคลื่อนโลก เพื่อการพัฒนาและก้าวไปข้างหน้า ผู้ที่ไม่มีการพัฒนาตัวเองอย่างต่อเนื่องและสร้างสรรค์สิ่งใหม่อยู่เสมอ แม้จะเป็นยักษ์ใหญ่และครอบครองพื้นที่มาก่อนก็สามารถที่จะล้มหายตายจากไปได้อย่างง่าย ผู้ที่แกร่งกว่า มีประสิทธิภาพกว่าและก้าวหน้ากว่าจริงๆเท่านั้นจึงยืนหยัดอยู่ได้ ฉะนั้นการเรียกว่า หุบเขาปีศาจ! ก็คงจะไม่เวอร์เกินไป (ฮึ ฮึๆ)

สำนักงานใหญ่ของบริษัทดาวเด่นที่มีชื่อเสียงแห่งหุบเขาปีศาสแห่งนี้ที่ชื่อน่าจะคุ้นๆกันดี อาทิ Intel, Microsoft, Apple, Google, Yahoo ฯลฯ

มาดูโฉมหน้าเต็มๆของราชาปีศาจระดับ Top 10 (พวกอมนุษย์เหนือคนคน ฮึๆๆ) ในหุบเขาแห่งนี้กัน
1. พ่อมด Bill Gates ผู้ร่ายมนตร์เสกจักรวรรติ Microsoft
ผู้สร้างสรรค์ Microsoft Windows - MSN - Microsoft Office - Xbox ฯลฯ

2. สามยมทูต Andy Grove(ซ้าย), Robert Noyce และ Gordon Moore
แห่งอภิมหากาพย์ Intel
ผู้สร้างสรรค์ Processor Intel : Pentium - Celeron - Core - Atom - Centrino ฯลฯ

3. ยักษ์สีน้ำเงิน Thomas John Watson จากพงศาวดาร IBM
ผู้สร้างสรรค์ Computer : Mainframe, Server, Storage ฯลฯ

4. รุ่นใหญ่ในตำนาน William Hewlett(ขวา) และ David Packard
จ้าวอาณานิคม HP หรือ Hewlett Packard
ผู้สร้างสรรค์ Computers Desktop-Notebook, Monitors, Printers & PC Accessories ฯลฯ
5. มหาศาสดาจอมบงการ Steve Jobs เจ้าลัทธิ Apple
ผู้สร้างสรรค์ iPod - iPhone - iMac - Macbook - Mac OS ฯลฯ

6. มังกรผงาดฟ้า Jerry Yang ผู้ก่อตั้ง Yahoo!
ผู้สร้างสรรค์ Yahoo! Mail - Yahoo! Search - Yahoo! Map ฯลฯ

7. บั๊ดดี้จอมขมังเวทย์ Larry Page(ซ้าย) และ Sergey Brin
จ้าวจักรวาล Google!
ผู้สร้างสรรค์ Search Engine Google - Google Earth - Gmail ฯลฯ

8. เขี้ยวโหดปรินย่า Jeff Bezos แห่งมหานที Amazon.com
9. ซาตานแห่งองค์ความรู้ Jimmy Wales สารานุกรมยักษ์ Wikipedia.com


10. ผีเด็ก(มีปัญหา) Mark Zuckerberg เจ้าพ่อเครือข่ายสังคมโลก Facebook.com


ในกระแสคลื่นโลกาภิวัตน์อันร้อนแรงและเชี่ยวกรากนี้ ราชันย์ปีศาจต่างๆจะรักษาบัลลังก์ที่ตนครองอยู่ได้นานแค่ไหน จะมีปีศาสหน้าใหม่และนวัตกรรมใหม่ๆอะไรอีกบ้างที่จะกำเนิดจากหุบเขาปีศาจแห่งนี้ และด้วยวิกฤติแฮมเบอร์เกอร์ที่เป็นปัญหารุมเร้าอยู่ขณะนี้(ปี2008-2009)จะส่งผลสะเทือนต่อหุบเขาปีศาจอย่างไรบ้าง คงต้องติดตามกันต่อไป อย่ากระพริบตาเป็นอันขาด. . .

วันอังคารที่ 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551

รบเถิด อรชุน !


มหาภารตยุทธ์ หรือ สงครามมหาภารตะ


เป็นมหากาพย์เรื่องยาวที่มีชื่อเสียงของอินเดียโบราณเคียงคู่บุญมากับมหากาพย์รามายณะ หรือรามเกียรติ์ (อ่าน รหัสลับ "รามเกียรติ์") บ้านเรานั้นเอง มหากาพย์สองเรื่องนี้ไม่ใช่วรรณกรรมทั่วๆไป แต่จัดเป็นคัมภรีศักดิ์สิทธิ์ของศาสนาฮินดูเลยทีเดียว กล่าวกันว่าใครอ่านคำภีร์สองเล่มนี้ จะเกิดปรากฏการณ์ที่เรียกว่า ล้างบาปได้!!

สำหรับคนไทยแล้วอาจมีความคุ้นเคยกับเรื่องมหาภารตะน้อยกว่ารามเกียรติ์ แต่ในความเป็นจริงแล้ว 2 เรื่องยิ่งใหญ่ไม่แพ้กัน


นักวิชาการทางประวัติศาสตร์บางสำนัก ให้ความเห็นว่า เรื่องมหาภารตะนี้มีเค้าโครงจากเรื่องจริงในอดีต บ้างก็ว่าเป็นแค่เรื่องแต่ง เนื้อเรื่องว่าด้วยสงครามระหว่างพี่น้องวงศ์กษัตริย์เลือดเนื้อเชื้อไขบรรพบุรุษเดียวกันคือ พวกปาณฑพ(ปาน-ดบ) และ พวกเการพ(เกา-รบ) ปมแห่งความขัดแย้งได้ก่อตัวสะสมเรื่อยมาตั้งแต่สมัยที่ยังเป็นเด็กเล็กจนถึงโตเป็นกษัตริย์ปกบ้านครองเมือง ต้นเหตุหลักๆของเรื่องก็ไม่พ้นเรื่องคลาสสิคแห่งการเกิดสงครามทั่วๆไปคือ ความขัดแย้งเชิงอำนาจ ผลประโยชน์ ความริษยา การชิงดีชิงเด่น และปลีกย่อยๆประกอบอย่าง ผู้หญิง การพนัน เป็นต้น แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ในเรื่องก็ได้ชี้ให้เห็นว่า ญาติผู้ใหญ่พยายามหาทางออกทุกทางเพื่อให้ความขัดแย้งได้คลี่คลาย แต่ก็ล้มเหลว เนื่องจากความขัดแย้ง สลับซับซ้อนซ่อนเงื่อน ต่างฝ่ายต่างมีเหตุผลข้ออ้างที่ยากจะกล่าวได้ว่าฝ่ายใดผิดถูกไปกว่ากัน พวกบรรดาญาติสนิทมิตรสหายประชาชนก็แตกแยกเลือกข้างกันไป และแล้วสถานการณ์ได้ยืดเยื้อมาจนถึงจุดที่มิอาจประณีประนอมสมานฉันท์อะไรกันได้อีกต่อไป ... สงครามเท่านั้น คือทางออก!!


แต่ก็มีบางคนไม่ได้เลือกฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งและไม่เข้าร่วมสงคราม อาทิ ท่านพลราม ... พลราม เป็นญาติผู้ใหญ่ของคู่กรณีทั้งสองฝั่ง ช่วงที่ทั้งฝ่ายทำสงครามประหัตประหารกันนั้น พลราม เลือกที่จะปลีกวิเวก เดินทางท่องเที่ยว ไม่ยุ่งไม่เกี่ยวใดๆทั้งสิ้น น่าคิดว่าเหตุใด พลราม ไม่เลือกร่วมกะข้างใดข้างหนึ่งเหมือนคนอื่นๆ พลราม เป็นผู้มีความเที่ยงธรรม ไม่นิยมสงคราม ? เป็นพวกไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด ? หรือเป็นนักฉวยโอกาสหมายรอเก็บเกี่ยวผลประโยชน์ ? หรือเป็นพวกเห็นแก่ตัว-ตัดช่องน้อยแต่พอตัว ? หรือเห็นว่าทั้งสองฝ่ายแย่พอๆกันเลยไม่อยากยุ่งเกี่ยวเปลืองตัว ? หรือไม่กระจ่างในสถานะการณ์เลยตัดสินใจไม่ได้ไม่รู้จะเลือกฝั่งไหนดี ? หรืออื่นๆ ฯลฯ ก็ประเมินกันไป สุดท้ายคงมีแต่ตัวพลรามเองเท่านั้นที่รู้ดีกว่าใคร ... ไม่แน่พลรามอาจเป็นกลางจริงๆ หรืออาจจะเชียร์ฝั่งใดฝั่งหนึ่งอยู่ในใจก็ได้ ... แต่ไว้ว่ายังไงก็ต้องเคารพสิทธิ์ในการเลือกของพลราม


ประเด็นที่น่าพิจารณาอีกอย่าง คือ แล้วพวกที่เข้าร่วมกับฝั่งใดฝั่งหนึ่งใดล่ะ พวกเขาเข้าไปร่วมเพราะเหตุใด เพราะมีความเข้าใจในสถานะการณ์ถ่องแท้แยกแยะถูกผิดได้ทะลุปรุโปร่งเลย จึงต้องการต่อสู้เพื่อผดุงความถูกต้องชอบธรรมจริงๆ ? หรือก็แค่เพราะว่าเห็นแก่เงินรับที่ถูกว่าจ้างมา หรืออาจเล็งเห็นผลประโยชน์ส่วนตนบางอย่างจึงเข้าร่วม ? หรือเผอิญทำงานเป็นบ่าวอยู่กับฝั่งใดฝั่งหนึ่งอยู่ก่อนแล้วจึงตกกระไดพลอยโจร นายสั่งไปไหนทำอะไรก็ว่าตามนั้น ? ฯลฯ

ท้องเรื่อง สองฝ่ายก็ได้รบพุ่งประจัญบานกันที่ทุ่งกุรุเกษตร เป็นเวลาถึง 18 วัน
ผลคือ ฝ่ายพี่น้องปาณฑพ ได้รับชัยชนะ

ผลของสงคราม คือ
พี่ฆ่าน้อง น้องฆ่าพี่ หลานฆ่าอา
ลุงฆ่าหลาน ลูกศิษย์ฆ่าอาจารย์
เพื่อนฆ่าเพื่อน ญาติฆ่าญาติ
ตายกันแบบยกโคตรแทบจะสูญพันธุ์ (Holocaust)!!


และคนที่มีบทบาทสำคัญคนหนึ่งในกองทัพข้างฝ่ายชนะ ที่จะไม่กล่าวถึงไม่ได้เลย คือ "ท่านกฤษณะ" ชาวฮินดูได้ยกย่องและให้ความเคารพสูงสุดในฐานะ องค์อวตารปางหนึ่งของพระนารายณ์ ที่เรียกว่า "กฤษณาวตาร"

นอกจากนี้แล้วบทสนทนาอันแฝงไปด้วยปรัชญาลึกซึ้งในเชิงการให้กำลังใจและส่งเสริมความฮึกเหิมในการทำสงคราม ของท่านกฤษณะที่ได้เทศนาต่อ พี่น้องปาณฑพตัวเอกคนหนึ่งนามว่า "อรชุน" ที่ครั้นเมื่อเริ่มสงคราม จู่ๆดันเกิดอาการท้อแท้หดหู่ไม่อยากออกรบ ด้วยเห็นว่าคนที่ตนต้องทำสงครามด้วยนั้นล้วนเป็นญาติสนิทมิตรสหายกันทั้งสิ้น ... ต่อมาบทสนทนานี้ ได้ถูกจัดให้เป็นคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์ของชาวฮินดู ชื่อว่า. . .

"ภควัทคีตา" (บทเพลงของพระเจ้า)

- คัมภรีนี้มีความสำคัญมาก มหาตามะคานธีให้ความนับถือพระกฤษณะอย่างสูงสุดและนำภัควัทคีตานี้มาอ่านอยู่เนืองนิจเมื่อยามท้อแท้ไม่มีกำลังใจต่อสู้ ในช่วงเรียกร้องเอกราชจากอังกฤษ

-
และยังร่ำลือกันว่า ฮิตเลอร์ ได้แจกคำภีร์นี้ให้กองทัพนาซีอ่านปลุกใจ ช่วงที่ทำสงครามโลกครั้งที่สอง

-
 อย่างในไทยเรา น้าแอ็ด คาราบาว ก็อ่านคำภีร์เล่มนี้เกิดความประท้บ ถึงกับนำมาแต่งเพลง ชื่อ ภควัทคีตา ตัวอย่างเนื้อหาของ ภควัทคีตา ในสำนวนเนื้อเพลงของ น้าแอ็ด คาราบาว"รบเถิด อรชุน หากท่านตายในสนามรบ สวรรค์ยังรอท่านอยู่ ยังเปิดประตูรอผู้ปราชัย แม้นหากว่าท่านชนะความเป็นใหญ่ในแผ่นดินนี้ ทุกพงพื้นปฐพีรอให้ท่านเข้ามาครอบครอง"


มีนักคิดท่านหนึ่งให้ทรรศนะอันเป็นมุมมองที่ค่อนข้างแรง...แต่น่าสนใจมาก ว่า. . . "แท้จริงแล้ว ภควัทคีตา ก็แค่การพร่ำเพ้อปรัชญาไร้สาระ ที่สร้างขึ้นเพื่อกล่อมคนหัวอ่อนไม่มีความคิด ชักจูงไปในทางให้นิยมแก้ปัญหาด้วยวิธีรุนแรง การฆ่าฟันทำสงคราม แถมยังหลอกให้เชื่อว่า...เมื่อทำสงครามฆ่าคนตายเป็นเบือเพื่อความถูกต้องแล้ว แม้ตายก็จะได้บุญขึ้นสวรรค์ และภัควัทคีตานี้แหละเป็นรากเหง้าของ การทำสงครามศักดิ์สิทธิ์ สงครามของพระเจ้า และการก่อการร้ายต่างๆ ภัควัทคีตานี้แหละคือ มิจฉาทิฏฐิ(ทัศนะอันตราย!)ตัวจริง ซึ่งขัดกับหลักของพุทธศาสนาอย่างสิ้นเชิง ที่สอนให้มีเมตตา อหิงสา(ไม่เบียดเบียน) ทั้งควรต้องหลีกเลี่ยงการใช้ความรุนแรงทั้งปวง

แต่ก็สามารถมองในแง่ดีอีกมุมได้ว่า "ภควัทคีตา" เป็นสุดยอดแห่งคัมภีร์ที่มีศิลปะการประพันธ์และจิตวิทยาชั้นสูงในการปลุกเร้าคน ให้สู้ชีวิต, ให้สู้สิ่งยาก, ฝ่าฟันอุปสรรค์, จะสร้างสรรค์สิ่งดีงาม ก็ต้องเอาชีวิตเข้าแลก อย่าสักแต่ใช้ชีวิตท้อแท้แบบซังกะตายไปวันๆ...ถึงแม้ในที่สุดมันไม่สำเร็จ ก็ไม่ต้องเสียใจอะไร จงภูมิใจว่าเราได้ทำหน้าที่ดีที่สุดแล้ว...(หากท่านตายในสนามรบ สวรรค์ยังรอท่านอยู่ ยังเปิดประตูรอผู้ปราชัย) แล้วถ้าทำทำสำเร็จ แน่นอนท่านคือ ผู้พิชิต! ท่านจะรับผลแห่งความสำเร็จนั้น...(แม้นหากว่าท่านชนะความเป็นใหญ่ในแผ่นดินนี้ ทุกพงพื้นปฐพีรอให้ท่านเข้ามาครอบครอง)

"มหากาพย์ที่ยิ่งใหญ่มักมีปมปริศนาให้ตีความได้หลายมุมเสมอ นี่แหละคือเสน่ห์ของมหากาพย์"

" รบเถิด อรชุน "


- - - - -

วันเสาร์ที่ 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551

ผ่าความคิด Steve Jobs

ปกติชีวิตประจำวันใช้คอมพิวเตอร์ตระกูล PC-Windows เป็นหลัก แต่ก็ติดตามผลงางผลิตภัณฑ์ค่าย Apple อยู่เป็นนิจ เพราะชื่นชมในการออกแบบผลิตภัณฑ์ที่มีเอกลักษณ์ เรียบหรู ดูดีไปอีกแบบ

ไปเจอหนังสือเล่มนี้โดยบังเอิญ "Inside Steve's Brain ผ่าความคิด สตีฟ จอบส์" อืมชื่อคุ้นๆ(เคยเห็นเล่มต้นฉบับภาคภาษาอังกฤษ เปิดดูผ่านๆ แต่ไม่ซื้อ เพราะขี้เกียจแกะภาษาอังกฤษ และที่สำคัญคือ...แพง! ฮึๆๆ) หน้าปก-รูปเล่มดูดีนะ เปิดดู พบประโยคหนึ่ง... Steve Jobs กล่าวกับทีมงานว่า"การตัดสินใจทีสำคัญที่สุดของคุณนั้น ไม่ใช่สิ่งที่คุณตัดสินใจทำ แต่คือสิ่งที่คุณตัดสินใจไม่ทำ" คม! ลองอ่านหน้าอื่นๆเนื้อหาน่าสนใจทีเดียว พลิกดูราคา 290 บาท โอเค พอไหว...

Leander Kahney เขียน : แปลเป็นไทย โดย สิทธิ หลีกภัย(เป็นอะไรกับ พณฯ ชวน หลีกภัย?)

เนื้อหาหนังสือเล่มนี้ ว่าด้วยเบื้องหลังแนวความคิดและการทำงานตามแนวทางของ สตีฟ จอบส์ ในการทำธุรกิจและสร้างสรรค์นวัตกรรมล้ำสมัยแห่งยุค อาทิ คอมพิวเตอร์ iMac, โน๊ตบุ๊ค MacBook, ระบบปฏิบัติการ Mac OS อย่าง Leopard, โดยเฉพาะเป็นที่ฮือฮากันมาก...เครื่องเล่น mp3 ตะกูล iPod และ โทรศัพท์มือถือ iPhone ถึงแม้จะเป็นหนังสือที่เกี่ยวกับวงการคอมพิวเตอร์-ธุรกิจไอที แต่คิดว่าเป็นหนังสือมีประโยชน์กับคนวงการอื่นๆด้วยเช่นกัน เพราะเนิ้อหาอุดมไปด้วยมุมอง, แนวคิดใหม่ๆ, ปรัชญาในการทำงาน, การสร้างแรงบันดาลใจ, การคิดนอกกรอบ, การบริหารธุรกิจ, กลยุทธ์การตลาด, วิธีคิดสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์นวัตกรรมใหม่ๆ และอื่นๆที่น่าสนใจอีกมากมาย

ตัวอย่างเนื้อหาบางส่วน
Jobs บอกว่า เขาได้รับแรงบัลดาลใจมาจาก Bob Dylan และ Picasso "คือเขาไม่อยู่เฉย ศิลปินที่ประสบผลสำเร็จหลายๆคน เมื่อถึงจุดหนี่งก็เริ่มเสื่อมถอย เพราะเขามัวแต่ทำในสิ่งที่ทำให้พวกเขาประสบความสำเร็จครั้งแรก แต่หลังจากนั้นก็ไม่มีวิวัฒนาการอะไร แต่ถ้าหากพวกเขายังเสี่ยงต่อความล้มเหลวอยู่ละก็ พวกเขาก็ยังคงเป็นศิลปินอยู่ ผมจึงไม่กลัวที่จะต้องเริ่มต้นใหม่ตั้งแต่แรก"

ด้วยแนวคิดของ Jobs ที่ว่า...
"รถทุกคันมีหน้าที่เดียวกันทั้งนั้นคือ ใช้ขับจากที่หนึ่งไปยังอีกที่หนึ่ง แต่ทำไมหลายคนถึงใฝ้ฝันและจ่ายเงินจำนวนมากซื้อรถ BMW แต่ไม่ซื้อ Chevy" บริษัท Apple จึงผลิตแต่สินค้า hi-end คุณภาพสูงเจาะเฉพาะลูกค้าชั้นดี ขายราคาแพงกว่าคู่แข่ง ถึงแม้ขายได้ปริมาณน้อยกว่าแต่ได้กำไรมากกว่า และถึงแม้จะมีสินค้า Copy เลียนแบบแต่ก็ทำไม่ได้ดีเท่าและแทบไม่มีผลต่อต่อยอดขายต่อสินค้นต้นฉบับเลย (จากสถิติและส่วนต่างกำไรเปรียบเทียบ ไตรมาสแรก ค.ศ.2007 Dell จำหน่ายสินค้ามากกว่า Apple ถึง 5 เท่าแต่มีกำไรแค่ 2 ล้าน 8 แสนดอลลาร์ในขณะที่ Apple มีกำไร สูงถึบ 850 ล้านดอลลอร์!!)
อ่านจบเล่มแล้วส่วนตัวรู้สึกว่า Jobs เป็นคนค่อนข้างสุดโต้ง-เผด็จการ(อย่างสร้างสรรค์)พอสมควรและมีความเป็นสมบูรณ์นิยมสูง(Perfectionism) มีความคิดแบบสุนทรีย์ในเชิงศิลปะล้ำลึกทีเดียว สินค้าของ Apple ส่วนใหญ่เป็นระบบปิด Jobs ไม่ค่อยแบ่งปันหรือแชร์การใช้งานร่วมกันกับผลิตภัณฑ์ค่ายอื่นๆ และมัก Lock ระบบไม่ยอมให้คนนอก หรือลูกค้ามาทำการแก้ไขหรือมีปฏิสัมพันธ์กับตัวระบบของผลิตภัณฑ์ เนื่องจากต้องการรักษามาตรฐานของตัวไว้ ดังที่แนวคิดอันรุนแรงของเขาที่ว่า. . .

"ศิลปินผู้ยิ่งใหญ่ไม่อยากให้ไอ้งั้งที่ไหนก็ไม่รู้มาละเลง
หรือมีส่วนร่วมกันงานศิลปะชิ้นเลิศของตัวเอง"

ขณะที่คู่แข่งที่มีสินค้าเกี่ยวเนื่อง อาทิ Microsoft, HP ฯลฯ ระบบส่วนใหญ่ค่อนข้างเปิด(OpenSource) เปิดโอกาสให้ผู้บริโภคสามารถปรับแต่งระบบเองได้และสามารถประยุกต์ใช้งานร่วมกันระหว่างผลิตภัณฑ์ต่างค่ายต่างแบรนด์ได้เป็นอย่างดี ซึ่งส่งผลดีต่อผู้บริโภคที่สามารถใช้งานได้กว้างและหลากหลาย แต่ถึงอย่างไรนวัตกรรมของ Apple-Jobs ก็เป็นแบรนด์ที่ทรงพลังมีผลเชิงจิตวิทยาให้คุณค่าทางจิตใจต่อผู้บริโภคค่อนข้างสูง เรียกว่าผู้ที่ได้ใช้ผลิตภัณฑ์ของ Apple แล้วมักจะเกิดอาการจงรักภักดี เยี่ยงสาวก! ภักดีต่อศาสดา!...Apple วันนี้จึงยังคงยืนยงได้อย่างยิ่งใหญ่และสง่างาม

Jobs จึงเป็นบุคคลตัวอย่างแห่งยุค เป็นแรงบันดาลใจ
น่านับถือและเอาเยี่ยงอย่างในหลายๆด้าน
และยังมีอะไรดีๆที่ ต้องเรียนรู้จากเขาอีกเยอะ

ชมผลงาน นวัตกรรมชั้นเลิศ ของ Jobs และบริษัทApple ที่ http://www.apple.com/

วันศุกร์ที่ 31 ตุลาคม พ.ศ. 2551

Think Different

ชอบโฆษณาเก่า(แต่คลาสสิค)ของ Apple ชุดหนึ่ง ออกอากาศมานานหลายปีแล้ว เป็นโฆษณาที่ไม่พูดอะไรเกี่ยวกับคุณสมบัติสินค้าที่ต้องการจะขายเลย แต่ใช้ Copy ที่ให้แง่คิด-ปลุกเร้าไฟในการสร้างสรรค์ ทั้งนี้ก็เพื่อสร้างภาพลักษณ์ให้ผู้ชมเห็นว่า Apple คือผู้ที่คิดแตกต่างและเป็นผู้ริเริ่มสร้างสรรค์สิ่งใหม่เสมอๆ

!! Think Different !!




Here's to the crazy ones.(คนเพี้ยนเหล่านี้)

The misfits.(คนที่ไม่เข้าพวก)

The rebels.(ขบถ)

The troublemakers.(ตัวปัญหา)

The round pegs in the square holes.(เหมือนตะปูมน ที่ต้องตอกลงในรูเหลี่ยม)

The ones who see things differently.(คนที่มองโลกต่างออกไป)

They're not fond of rule.(พวกเขาไม่ติดกับกฏเกณฑ์)

And they have no respect for the status quo.(และพวกเขาไม่สนใจสถานะที่เป็นอยู่)

You can quote them, disagree with them.(คุณอาจจะพูดถึงเขา หรือไม่เห็นด้วนกับเขา)

Glorify or vilify them.(จะยกย่องหรือประมาณพวกเขาก็ได้)

About the only thing you can't do is ignore them.(แต่..อย่า "ละเลย" พวกเขา)

Because they change things.(เพราะพวกเขาได้เปลี่ยนโลก)

They push the human race forward.(พวกเขาทำให้มนุษย์ก้าวไปข้างหน้า)

While some see them as the crazy ones,(คุณอาจจะเห็นพวกเขาเป็นคนบ้า)

We see genius.(แต่เราเห็น..อัจฉริยะ)

Because the people who are crazy enough to think.(เพราะพวกเขาบ้าพอที่จะคิดว่า...)

They can change the world, are the ones who do.(จะเปลี่ยนโลกได้ และเขาก็เปลี่ยนได้จริงๆ)

Think Different

. . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . .

Ad เท่ห์ๆอื่นๆของ Apple

1984 Apple's Macintosh!! ปลดแอก !!

Apple iPOD กราฟฟิค เรียบ หรู ดูดี

มีแต่ไม่ได้ใช้ = ไม่มี


ขอเสนอ สมการ ทางคณิตศาสตร์สังคม!!
"มีแต่ไม่ได้ใช้ให้เป็นประโยชน์ = ไม่มี"

สมมุติว่า ประชาคมโลกได้อนุมัติรับรอง

ให้คุณเป็นเจ้าของพื้นที่ดวงจันทร์ 100 ไร่ วันนี้!!

ออกโฉนด มีใบรับรองได้เสร็จสรรพ

แล้วยังไงต่อ? คิดดูว่ามีความเป็นไปได้ไหมที่คุณ

จะได้ใช้ประโยชน์อะไรบนพื้นที่ดวงจันทร์นั้นภายใต้เงื่อนไขสภาวการณ์ปัจจุบัน

อย่างดีคุณก็ได้แต่รับรู้ในใจ ว่า ดวงจันทร์นี้ของกู! กูเป็นเจ้าของ!

ก็แค่นั้น แล้วมันต่างอะไรกับคนที่

ไม่เป็นได้เป็นเจ้าของ หรือไม่มี

ถ้าบอกว่าเป็นควางสุขทางใจ เป็นความภาคภูมิใจ

คงเป็นแค่ความภูมิใจแบบหลอกๆโง่ๆ

. . .

เหมือนคนมีบ้านแต่ไม่ได้อยู่

เป็นเจ้าของตึกสูงระฟ้าเจ้าของที่ดินพันไร่หมื่นไร่

แต่กลับอาศัยอยู่ในห้องเล็กๆรูหนู

มีรถไม่ได้ขับเสพสุขจอดไว้เฉยๆ

เสียตังซิ้อ-ผ่อน มาแล้ว ยังต้องเสียเวลาดูแล ต้องล้างทำความสะอาด ฯลฯ

มีเงินมีตัวเลขมหาศาลในตลาดหุ้น แต่ไม่ได้ใช้ประโยชน์อะไรเลย ฯลฯ

แถมต้องเสียเวลา คอยติดตามตัวเลข ขึ้นๆลงๆ

เหมือนคนมีเงิน แต่เอาไปใส่หม้อดินฝังไว้หลังบ้าน

จนตัวตายก็ไม่ได้ขุดเอาออกมาใช้!!

ปรากฏการณ์มี-ไม่ใช้ แต่กั๊กไว้เป็นในนามของตัวเองเฉยๆ

เป็นการแช่แข็ง(Freezing)ทรัพยากรโดยเปล่าประโยชน์

(โดยเฉพาะที่ดิน). . .ปิดโอกาสให้คนอื่น-สังคมใช้ประโยชน์

คล้ายๆกับธนาคารมีเงินแต่เก็บเฉยไว้ในคลังไม่ปล่อยกู้ให้เกิดการผลิตและสภาพคล่อง!!

จัดว่าเป็นความเสียหายทางเศรษฐศาสตร์!อย่างหนึ่ง

ถ้าเป็นการเก็งกำไร อาจส่งผลให้เกิด ปรากฏการณ์ฟองสบู่ได้

. . .

ฉะนั้นมีสิ่งใดจงนำมาใช้ให้เกิดประโยชน์เถิด โดยเฉพาะเป็นประโยชน์ต่อมหาชนได้เป็นดี