วันจันทร์ที่ 30 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

พจนานุเกรียน


-
พจนานุเกรียน(ศัพท์เกรียนๆ :) -

ศัพท์แสลง (แหล่งที่มา จากเว็บดังต่างๆ) ...โปรดใช้วิจารณญาณ!

ปัจจุบันการอภิปรายพูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็นในชุมชนออนไลน์ มีการขยายตัวเป็นอย่างมาก เนื่องจากเป็นช่องทางให้กลุ่มบุคคลที่มีความสนใจในเรื่องคล้ายกัน สามารถสนทนาแลกเปลี่ยนระหว่างกันได้ โดยมิต้องอาศัยอยู่ในภูมิภาคที่ใกล้เคียงกัน อย่างไรก็ดีเว็บบอร์ดแต่ละแห่ง มักจะมีกลุ่มบุคคลประเภทหนึ่งแฝงตัวอยู่ โดยพฤติกรรมการแสดงความคิดเห็นของบุคคลเหล่านี้จะเต็มไปการก่อกวน ความก้าวร้าว และเน้นแต่ความสะใจโดยปราศจากเหตุผล ซึ่งพฤติกรรมที่ผิดแปลกจากชาวชุมชนออนไลน์คนอื่น ๆ ทำให้กลุ่มบุคคลดังกล่าวได้รับการขนานนามว่า “เกรียน”


วิดิโอคลิป ก็ เกรียน ได้เหมือนกัน :)



เกรียน, หัวเกรียน คำนี้กินความกว้างมักสื่อในทางลบ หรือในทางขำๆสนุกๆ แล้วแต่บริบท...

= หัวเกรียน สั้นเกือบติดหนังหัวหรือผิวหนัง เช่น ผมเกรียน หน้าตากวนๆ... เด็ก [หรือผู้ใหญ่] ก้าวร้าว ทำตัวแก่แดดหรืออ่อนแดดไม่สมวัย ครอบครัวมีปัญหา มีปม

= คนนิสัยไม่ดีสุดๆ อ่อนไหว ทำอะไรไร้สาระ ควบคุมตัวเองไม่ได้ ทำอะไรไม่คิด

= พวกมองโลกในแง่ร้าย ต่อต้านสังคมในทุกๆเรื่อง อะไรๆก็ไม่ดีไปหมด (ยกเว้นมันคนเดียว ฮา)

= พวกไม่รู้กาละเทศะ เรียกร้องความสนใจ...หรือพวกชอบป่วนตามเว็บบอร์ด ด่าคนแบบไร้เหตุผล ด่าทุกอย่างที่ขวางหน้าขอแค่โผล่กระทู้มาเป็นดาแหลก และมักใช้คำผิดๆ

= พวกที่ว่างๆอยู่ไปวันๆ แชทไร้สาระทั้งวัน ติดมือถือ ติดเกมส์ คิดว่าตนเองเป็นศูนย์กลางของโลกไซเบอร์ ชอบสร้างกระแสไร้สาระในรูปแบบต่างๆ เพื่อเรียกร้องให้คนอื่นสนใจ

= อื่นๆอีกมากมาย ฯลฯ ... "เด็กเกรียนโดดตึกฆ่าตัวตายพิสดาร เพราะเครียดที่เล่นมาริโอ้เนโกะไม่ผ่าน "... ฮา

...............................................

เกรียนการเมือง = คือบุคคลที่ต้องการยกระดับตนเองเป็น “เซียนการเมือง” แต่มักจะไม่สามารถไปถึงจุดนั้นได้ เนื่องจากคุณสมบัติที่สำคัญประการหนึ่งของ “เกรียนการเมือง” คือ ขาดความจริงจังและต่อเนื่องในการศึกษาข้อมูลต่าง ๆ ให้ครบถ้วน ตั้งแต่ระดับล่างจนถึงระดับสูง โดยขุมปัญญาของ “เกรียนการเมือง” มักจะได้จากการคุ้ยเขี่ยตามแหล่งค้นหาข้อมูลอินเตอร์เน็ต (Search Engine) หรือเว็บไซต์ใด ๆ เพียงเว็บเดียวเท่านั้น ซึ่งความรู้ที่ไม่รอบด้านดังกล่าว ทำให้ในเว็บบอร์ดเกิดปรากฏการณ์หน้าแถดินจาก “เกรียนการเมือง” อยู่บ่อยครั้ง

เทพเกรียน เกรียนเทพ
= เกรียนขั้นสูง

“เกรียนเทพ” มักขาดทักษะในการสื่อสาร-การเรียบเรียง(เพราะวันๆอยู่แต่หน้าเว็บ ไม่ได้คุยกับคนจริงๆ) มักจะทดแทนจุดด้อยดังกล่าว ด้วยการคัดลอกข้อมูลแทนการแสดงทัศนคติด้วยตนเองอยู่บ่อยครั้ง จน “เกรียนเทพ” บางคนถึงกับได้รับการอวยยศเป็นพระยาตัดแปะ (Phya of Copy and Paste) ไม่เน้นความคิดจากสมอง เฝ้าหน้าเว็บ ทุกเวลาทุกนาที พอมีข่าวอัพเดท ก็จะแจ้น เอาเข้ามาแปะที่คอก กันอย่างเคร่งเครียด เพื่อหวังชาบู จากสาวกด้วยกัน บางคราวก็จะใช้ไทยคำ อังกฤษคำเพื่อยกระดับให้ตนดูมีชาติตระกูลยิ่งขึ้น

สาด, แสรด,ตรัส
= สัตว์

ปิดมู้ = ปิดกระทู้

สมูกบาน = ล้อเลียนคนไม่สวยไม่หล่อแต่คิดว่าตนดูดี หรือคนที่คิดว่าตนเป็นไอดอล เป็นที่คลั่งไคล้ชื่นชมของคนอื่น คิดเองว่าคนอื่นๆสนใจเรื่องราวของตนอยู่ตลอดเวลา ทั้งๆที่ไม่มีผลงานที่เป็นประโยชน์ เป็นที่นับถือยอมรับจากสังคมแต่อย่างใด


ซุย = ขี้โม้ ขี้อวด ทำตัว{กระแดะ}เป็นงานยุ่งตลอดเวลา {ทั้งๆที่วันๆก็ว่างงาน ไม่ได้ทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอันซักอย่าง}

ติดหรู = ทำตัวชั้นสูง อวดรวย

กาก กากๆ = ไม่มีคุณภาพ ไร้สาระ

ติ่งหู, ติ่งหูแตก = พวกวัยรุ่นหญิงบางกลุ่ม ที่มีพฤติกรรมไม่เหมาะสมอย่างแรง หญิงทำตัวโอเว่อร์ หรือ ผู้หญิงบ้าดารา ออกอาการเกินเหตุ

เทพ = มันเป็นคำชมหรือด่าก็ได้กรุณาดูบริบทรอบข้างคำพูดนั้นๆ

เมพ, เมพขิงๆ = มีเกรียนคนนึง จะพิมพ์คำว่า เทพ แต่ไป พิมพ์ผิดว่า
เมพ ซะงั้น มันก็ความหมาย เหมือนกันแหละ ขิงๆ = จริงๆ

ขิง = จริง

บร๊ะเจ้า = พระเจ้ามาก (เป็นการล้อเลียนว่าเก่ง เจ๋ง เป็นการลบหลู่ไม่ได้ชมจริง)

บร๊ะเจ้าโจ๊ก = พระเจ้าจ๊อด

บร๊ะลานุภาพ = มหัศจจรรย์

ชาบู ชาบู = บูชา นับถือ

อิอิออิบาย = เป็นคำลงท้ายประโยคหนึ่งๆ เช่น เราไปแล้วนะ อิอิออิบาย

หยง, หยงม่อน, หยงสตาร์ = ขี้เก็ก ทำตัวเป็นไดดอล หลงตัวเอง หรือ คนที่ทำตัวเจ้าระเบียบเป็นผู้นำจอมบงการ (ล้อเลียนเว็บมาสเตอร์เจ้าระเบียบชอบบล็อกกระทู้ในเว็บบอร์ด)

โลกสะดุ้งโwebmaster! หมายถึง โลกสะดุ้งโหยง
webmaster = หยง โwebmaster = โหยง

นักวิชากรวย = ทำตัวเป็นเด็กเรียน รอบรู้ทุกเรื่อง ทั้งๆที่ไม่รู้จริง

รักขิงหวังต่วย = รักไม่จริงจังแบบได้แล้วทิ้ง

เควี่ย = เหิ้ย+ควาย ลักษณะ เหมือนตัวเหิ้ยทุกประการ แต่มีเขา มี ควาย ด้วย

เบ่น = เล่น

เยิ๊บ = เอาทางประตูหลัง

จ่อย =ต่อย

เสมื่อม = เสื่อม + เสื่อม = เสมื่อม เช่น เด็กไทยสมัยนี้เสมื่อมจัง

เ!้ย = เป็นคำรองๆ จาก เหิ้ย แต่หยงม่อน ได้แบนตัว ห เอาไว้ จึงเป็น เ!้ย

โหล่ = ใช้แทนคำว่าตลก,ฮา เช่น โหล่มากเลย อะไรประมาณนี้แหละ

จึ๊ก = มีอะมาขัดจังหวะ ตัวอย่างเช่น ดูทีวีอยู่แล้วไฟดับ มันรู้สึกจึ๊กอ่ะ

วีด = พลาด

ป๊าดดด! = คำอุทาน

ดึ๋ยว่ะ = ดูน่าเกลียดๆ สยองๆ หน่อยๆ

โอโม่ = ใช้เรียกผู้หญิงที่ขาวมากๆ

Digg,Ohh....Shit = เป็นตัวอย่างคำไม่สุภาพใช้เวลาเครียดจัดๆ

ด๋อย/อ่อน = มันเป็นคำด่าที่ไม่แรงมาก

เด็กญี่ปุ่น = ใช้เรียกเด็กนักเรียนหญิงที่พวกโรงเรียนพาณิชย์ อาชีวะ เทคนิคที่แต่งตัวแบบเด็กญี่ปุ่น

noob(นูป) = พวกมือใหม่ พวกที่ทำอะไรไม่ได้เรื่อง

ชะนี = ใช้เรียกผู้หญิงที่แต่งตัวโป๊ๆ แรงๆ จัดๆ

อย่างงาม = ใช้เรียกผู้หญิงที่น่ารักๆ

ชิ = ช่างเถอะ เราไม่สนใจ

งานเข้า = ได้เรื่อง หรือมีเรื่อง

ฟันเหล็ก เด็กแนว = แบบว่าใช้พูดกะหญิงที่น่ารัก และ ใส่ฟันเหล็ก

สมะถุย = แย่

จิตตก = สติแตก

เป็นติ่งไรเนี่ย = เป็นบ้าอะไรเนี่ย

แหล่มเรย = แจ่มมากๆ

โลกตรึง = มหศจรรย์

คอมโบ = การเล่นคอมโบเล่นบอร์ด พิมพ์คำซ้ำ เหมือนกันๆ ใน กระทู้ ทำให้ จขกท(เจ้าของกระทู้) หน่าย จนปิดกระทู้ได้

สกัดคอมโบ = ทำให้การทำคอมโบนั้นเสียหาย แต่อาจจะมีผู้สร้าง คอมโบ ใหม่ขึ้นมาใหม่ได้ เรื่อยๆ

เก๋าเจอได้ = ถ้าชกต่อย(จ่อย)กัน ส่วนมากจะเจอกันที่อนุเสารีย์ชัย

กรอบ = เด็กใหม่อยากดัง

๔๕ องศา หมายถึง ดูเอียงซ้าย

รูเยี่ยว = คนเราเกิดมาจากรูเยี่ยว ??

หงายเงิบ = ฮา

รูปปลากรอบ = รูปประกอบ

+ = ต่อยกันไหม ??

เดบิต = เครดิต

บาย สวัสดี = คำลงท้าย ตอนพูดหรือ พิมพ์เสร็จ

ปาดหน้าเค้ก = หยามกันซึ่งๆหน้า

ซับแหมน = เป็นไงพวก (มาจาก What's up man?)

กิ๊บ = เจ๋งโคตร

เบๆ = ง่ายๆ หมูๆ

อัพน่าดู = คึกน่าดู ซ่ามาก สนุกมาก

เล่นผีผ้าห่ม = มีเซ็กส์กัน

อัฟเฟรด อะเฟรด = ทุเรศ อุบาทว์ น่าเกลียด

กินส้มมา = เมายา (อี)

เซด = พูด

เฟกว่ะ = จอมปลอมว่ะ (มาจาก fake )

โหนว = หนังโป๊ หนังเรตเอ็กซ์

ง้องแง้ง = งอนกัน ทะเลาะกัน

โจ๊ะๆ = จังหวะมันส์ๆ

แกสบี้ = แก่โคตร

ออนป้า = ทำตัวแก่ประมาณคุณป้า

จีบี [GB] = คนรับใช้ รับทำทุกอย่าง (มาจากคำว่า General เบ๊ )

สลัมบอมเบย์ = จน ต่ำต้อย

วันพุธที่ 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

สุดยอด ออฟติมัสไพร์ม


โมเดลชุด "Tranformer Dual Model Kit" ต้อนรับหนังภาค 3... (ดูทีเซอหนังที่ออกมาตัวล่าสุดก่อน...วินาศสันตะโร ตามแบบฉบับเขาล่ะ...)



Model ตัวโมเดลประกอบ ชุดใหม่ล่าสุด 2011 จากค่าย Takara Tomy ประเทศญี่ปุ่น...เป็น Action Figure(ขับแขนขาท่าทางได้) ชมรูป-วิดิโอ จะเห็น Optimus Prime สัดส่วนลงตัว ความสูงประมาณ 24 ซม.กำลังดี รายละเอียดกิ๊กเนีียบทีเดียว คอโมเดลมาเห็นคงต้องตาโต ได้ข่าวจะเข้าไทยปลายปีโน้น (นักสะสมยังมีเวลาเก็บตังค์ :) ... ไม่แน่ใจว่าจะมีตัวอื่นๆตามมาด้วยหรือเปล่า...

ดูเว็บ Takara Tomy ที่ http://tf.takaratomy.co.jp/toy/search/kit/index.html :)


ส่วนอีกตัว บัมเบิ้ลบี ตัวเล็กออกมาคู่ด้วย รูปลักษณ์โดยรวมพอได้ (แต่ยังไม่สุดขีด เท่า ออฟติมัส ไพร์ส)

วันอาทิตย์ที่ 8 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

"อี้อู๋"บุกไทย

- อี้อู๋ จากจีน สู่ ไทย -

ประเทศจีน มหาอำนาจทางเศรษฐกิจโลกอันดับที่ 2 (สูสีญี่ปุ่นรองแค่สหรัฐแต่ก็รุกคืบใกล้เข้ามาไปทุกที!) ประเทศที่สร้างบิ๊กเซอร์ไพรส์มากมายให้โลกต้องตะลึง ไม่ขาดสาย กล่าวกันว่า เพียงแค่พญามังกรเคลื่อนตัวก็เกิดแรงสะท้านสั่นสะเทือนไปทั่วโลก

ก่อนเข้า โครงการอี้อู๋เมืองไทย มาชมสังเขป "อี้อู๋ (Yiwu International Trade Cityt)" ต้นฉบับในจีนก่อน


อี้อู๋ เป็นเมืองค้าส่งที่ใหญ่ที่สุดของจีนในปัจจุบัน และถูกขนานนามว่า "ซุปเปอร์มาร์เก็ตของโลก" โดยใช้เงินลงทุนกว่า 700 ล้านหยวน ทำให้อี้อูเป็นศูนย์จำหน่ายสินค้าครบวงจร ศูนย์รวมข่าวสาร และฐานการส่งออกสินค้าของประเทศจีน ครอบคลุมพื้นที่การค้ากว่า 1.5 ล้านตร.ม. มีร้านค้ากว่า 5 หมื่นร้านค้า จนมีผู้กล่าวว่า ถ้าเอาร้านค้าในศูนย์ขายส่งสินค้าของอี้อู มาเรียงรายต่อๆกัน จะได้ความยาวประมาณ 24 กิโลเมตร และอาคารนี้มีความยาวกว่า 6 กิโลเมตร มีคนเคยคำนวนว่า ถ้าหยุดทุกร้านร้านละ 1 นาที วันหนึ่งเดิน 8 ชั่วโมง ต้องใช้เวลา กว่า ๒ เดือนจึงเดินให้ทั่วถึงทั้งอาคารได้


......................................................................


มาที่ โครงการ อี้อู๋เมืองไทย หรือ โครงการ "China City Complex (CCC)"
บางนา
(ข้อมูลจากประชาติธุรกิจ)


ตระกูลเก่าแก่ขายที่มรดก 70 ไร่ 700 ล้านบาท ข้างศูนย์วัสดุบุญถาวร บางนา-ตราด กม. 9 สร้างศูนย์ค้าส่งออกสินค้า ภายใต้โครงการ China City Complex ต้นตำรับอี้อู๋ โมเดล ของกลุ่มทุนจีน Yunan-based Ashima Group

โครงการดังกล่าวจะเป็นการพัฒนา ที่ดินบนถนนบางนา-ตราด ก.ม.ที่ 8-9 ในพื้นที่ประมาณ 64 ไร่ มูลค่าการลงทุนประมาณ 6,200 ล้านหยวน เพื่อจัดทำเป็นศูนย์ค้าส่งออกสินค้าแห่งที่ 2 ภายใต้ "อี้อู๋ โมเดล" (Yi Wu Model) ซึ่งมีเทคโนโลยีโนว์ฮาวทางการค้าส่งเชื่อมโยงกับทั่วโลกที่ประสบความสำเร็จเป็นแห่งแรกในประเทศจีน

ทั้งนี้แผนพัฒนาการลงทุน China City Complex จะแบ่งโครงการออกเป็น 2 เฟส โดยเฟสที่ 1 ใช้เงินลงทุนประมาณ 1,500 ล้านหยวน นำร่องก่อสร้างศูนย์ค้าส่งออกสินค้าพื้นที่ขนาด 500,000-700,000 ตารางเมตร เริ่มก่อสร้างเดือนมีนาคม 2554 แล้วเสร็จพร้อมเปิดให้บริการไม่เกินไตรมาส 2 ปี 2555 โดยจะเปิดให้ร้านค้าเข้ามาเช่าพื้นที่เชิงพาณิชย์รวมกว่า 10,000 ร้านค้า แบ่งสัดส่วนร้านสินค้าไทย 30% และจีน 70% มีการคัดเลือกสินค้าหลักพร้อมส่งออกเข้ามาวางขาย 7 หมวด ได้แก่ เสื้อผ้าเครื่องนุ่งห่ม, เครื่องไฟฟ้า, อัญมณีและเครื่องประดับ, อะไหล่รถยนต์, ของตกแต่งบ้าน, ของเล่นและสินค้าไลฟ์สไตล์, อาหารและสินค้าแปรรูป

ส่วนเฟสที่ 2 จะเริ่มขยายก็ต่อเมื่อผลการดำเนินงานเฟสแรกประสบความสำเร็จตามเป้าหมาย จากนั้นกลุ่มทุนใหญ่ในจีน ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากบริษัทธุรกิจภาคเอกชนจีน ภายใต้สมาคม ASEAN-CHINA Economic and Trade Promotion Association เตรียมจะย้ายฐานโรงงานผลิตค้าหมวดต่าง ๆ เข้ามาอยู่ใน China City Complex ในประเทศไทยต่อไป


......................................................................



ลองดู นานาทัศนะ เกี่ยวกับผลกระทบจาก โครงการ อี้อู๋เมืองไทย


....1. นักวิชาการท่านหนึ่ง เปิดเผยว่า ผลการศึกษาการเคลื่อนย้ายทุนของนักธุรกิจจีนที่เข้ามาพัฒนา เมกะโปรเจ็กต์ศูนย์กระจายสินค้า "ไชน่า ซิตี้ คอมเพล็กซ์" มูลค่า 45,000 ล้านบาท บริเวณถนนบางนา-ตราด ก.ม. 8-9 นั้น ประเมินผลด้านบวก ไทยจะมีนักท่องเที่ยวตลาดจีน โลจิสติกส์สินค้า และกลุ่มธุรกิจไทย 30% ที่ได้รับคัดเลือกเข้าไปเปิดพื้นที่น่าจะขายสินค้าได้ง่ายขึ้น....

...2. ผู้บริโภค จะได้สินค้า ที่หลากหลายขึ้น ในราคาที่ถูกลง ผู้ผลิตในประเทศ ที่เข้มแข็งไม่พอ จะไม่สามารถต่อสู้ในตลาดได้...

....3. เมื่อนำหลักเศรษฐศาสตร์เป็นตัวชี้วัด เกิดการสูญเสียกับผู้ประกอบการไทยทั้งทางตรงและทางอ้อมรวมมูลค่าปีแรกราว 58,247 ล้านบาท คิดเป็น 0.6% ของจีดีพี แยกได้เป็นผลกระทบทางตรงกับ 1.อุตสาหกรรมการผลิต ศูนย์ค้าส่งหลักอย่างโบ๊เบ๊ สำเพ็ง ประตน้ำ ฯลฯ ซึ่งปัจจุบันมีร้านค้าย่อยกระจายอยู่ในแต่ละศูนย์ 2,000-3,000 ร้าน มีรายได้หมุนเวียนศูนย์ละ 3,200-4,800 ล้านบาท/ปี เมื่อ ไชน่า ซิตี้ คอมเพล็กซ์ เปิดบริการ รายได้จะหายไปจากศูนย์เหล่านี้ประมาณ 20% ของรายได้ทั้งหมด...

...4.โครงการนี้ประเทศไทยไม่ได้อะไรเลย มันไม่ใช่โครงการอุุตสาหกรรมที่เราทำเองไม่ได้ถึงต้องส่งเสริมให้ต่างประเทศมาทำ จีนไม่ได้นำความรู้ เทคโนโลยี่อะไรมาให้เรา ไม่ได้ช่วยเราเปิดตลาดต่างประเทศ ศูนย์กาiค้านั้นคนไทยสร้างเองได้ สร้างแบบไหนก็ได้มีมีดาษดื่น

ศูนย์การค้าสินค้าจีน มีแต่นำสินค้าจีนราคาถูกๆมาทุ่มตลาดเมืองไทย พวกนี้ขนกันมาเป็นตึกๆเลยครับ ถ้าใครเคยไปศูนย์ขายส่งในกวางตุ้งจะทราบดี ศูนย์ขายส่งเฟอร์นิเจอร์ โคมไฟ เครื่องครัว สุุขภัณฑ์ไม่ได้ขายกันเป็นซุ้มๆนะครับ ขายกันทีละหลายๆตึก แต่ละตึกเท่าๆเซ็นทรัลบางนาที่อยู่ใกล้ๆ เรียงๆกันไปสองข้างถนน นับรวมกันเป็นสิบๆตึกเลยครับ พวกนี้ค้าขายทุ่มตลาดกันแบบลืมตาย คือว่าตายสิบเกิดร้อยจริงๆ พ่อค้าคนไทยไม่มีทางสู้รบปรบมือได้เลย

การปล่อยให้จีนมาทุ่มค้าปลีกนี่เราเสียเปรียบสุดๆเลยครับ แย่ยิ่งกว่าพวกโลตัส คาร์ฟูร์เสียอีก เพราะพวกนั้นยังขายสินค้าส่วนใหญ่ที่ผลิตในไทย แต่นี่เล่นเอาสินค้าจีนมาทุ่มกลางกทม.นี่ สงสารพวกเอสเอ็มอีจริงๆ

ไม่ใช่เฉพาะเสื้อผ้าที่ตาย ยังมีพวกของเล่น กิ๊ฟท์ช้อป เครื่องประดับ เครื่องไฟฟ้า เครื่องหนัง เครื่องเขียนเฟอร์นิเจอร์ เครื่องครัว ห้องน้ำ คอมพ์ ตายหมู่กันเลยครับ ตายทั้งโรงงานผู้ผลิตและร้านค้าย่อย แรงงานที่จะตกงานอีกเท่าไหร่ น่าอนาถจริงๆ


...5. เจ้าพ่อโบ๊เบ๊ นาย "คมสรรค์ วิจิตรกรม" ประธานศูนย์บริการส่งออกโบ๊เบ๊ และอุปนายกสมาคมชาวโบ๊เบ๊ กล่าวว่า การสร้างศูนย์แสดงสินค้านานาชาติไทย- จีน หรือ China City Complex ทำให้ได้มีการประสานงานกับผู้ประกอบการ SME เป็นหลัก ประมาณ 20,000 กว่ารายในละแวกพื้นที่ ในการที่จะตั้งรับกับ สิ่งที่อาจจะเกิดขึ้น ซึ่งในตลาดภายในประเทศที่มีระดับกลางถึงระดับล่าง จะเห็นได้ว่า Consumption ของตลาดจะกระจุกตัวอยู่ 3 จุด ซึ่งได้แก่ โบ๊เบ๊ ประตูน้ำ และจตุจักร มีมูลค่าหลายแสนล้านบาท ซึ่งอุตสาหกรรมรายย่อยที่อยู่ในตลาดค้าส่งนี้ เป็นฐานหลักในการกระจายสินค้าให้ 76 จังหวัด

ดังนั้นหากมีการจัดตั้ง China City Complex ขึ้นมาอาจทำให้ตลาดส่วนนี้ได้รับผลกระทบ ซึ่งได้แบ่งการวิเคราะห์เป็น 3 ส่วน ได้แก่ Trade Logistic และ Property ดังนี้

1. Trade มีแนวคิดว่าหากมีการเกิด China City Complex ขึ้นมา คงเป็นสิ่งที่ยับยั้งได้ยาก ดังนั้น ควรหาวิธีที่จะดำเนินการและดำรงอยู่ต่อไปได้ หรือเดินไปด้วยกันได้ เช่น คนที่เคยเป็นเอเย่นต์ควรเจรจาหรือตกลงกับผู้ค้ารายย่อยก่อนที่จะนำสินค้าเข้ามา โดยเจรจาในเรื่องหลักเกณฑ์ต่างๆ และควรมีการเจรจาอย่างต่อเนื่องเพื่อไม่ให้ไทยเสียบเปรียบ

เนื่องจากการที่จีนเข้ามาสร้าง China City Complex ก็เพื่อต้องการให้คนจีนนำสินค้าสำเร็จรูปเข้ามาขาย ซึ่งการที่จีนเข้ามามีหน้าร้านในประเทศไทย จะทำให้มูลค่าการค้าของไทยลดลง ความมั่นใจในแบบและดีไซน์จะลดลงในกรณีของบริษัทที่จ้างให้ประเทศจีนเป็นผู้ผลิตให้ ดังนั้น ทางออก คือ ไทยต้องเจรจาขอเป็นเอเย่นต์ในสินค้าที่จีนผลิตอยู่

2. Logistic ในที่นี้กล่าวถึงโลจิสติกส์ในระดับใกล้ตัว กล่าวคือ ในพื้นที่เศรษฐกิจ 3 แหล่ง ซึ่งได้แก่ โบ๊เบ๊ ประตูน้ำ และจตุจักร ซึ่งผู้ประกอบการในต่างจังหวัดทั้ง 76 จังหวัด จากเดิมที่เคยซื้อจากแหล่งสินค้าส่ง 3 แหล่งของไทย หากมี China City Complex เกิดขึ้นจะทำให้เกิด Logistic Base ไปอยู่ตรงจุดนั้น ตลาดต่างจังหวัดที่ไม่เน้นดีไซน์จะหายไป โดยจะมุ่งหน้าไปซื้อที่ China City Complex โดยตรง เพื่อไปซื้อสิ่งที่ถูกกว่า

เนื่องจากเป็นสินค้าที่จีนนำเข้ามาขายเองโดยไม่ได้ผ่านเอเย่นทั้ง 3 ตลาดนี้แล้ว จึงทำให้มีการถ่ายเทโลจิสติกส์ไปอยู่ที่จุด China City Complex ซึ่งถ้าหากจีนสามารถบริหารจัดการโลจิสติกส์ได้เป็นอย่างดี จะทำให้จีนสามารถชี้นำโลจิสติกส์ในอนาคตได้

3. Property กล่าวคือ มูลค่าของตลาดโบ๊เบ๊ ประตูน้ำ และจตุจักรจะลดลง การแก้ปัญหาตรงจุดนี้ ควรเริ่มจากการสร้างความเข้าใจให้กับนักศึกษาในเรื่องของ AEC เพื่อที่จะทดแทนในส่วนที่ไทยขาดหายไปในเรื่องของมูลค่าต่างๆ ในการพัฒนาและออกแบบสินค้า เพื่อเกิด Young Designer พร้อมกับการสอนให้เป็นผู้ค้าด้วย ทั้งนี้ จะทำให้เกิดความชัดเจนในการเป็นสินค้าของไทย ซึ่งจะสามารถแบ่ง Label และ Market ได้อย่างชัดเจน

สำหรับในส่วนแนวโน้มของธุรกิจที่ผลิตเพื่อขายหน้าร้าน ควรใช้ Knowledge Base ที่มีอยู่ให้เป็นประโยชน์มากที่สุด เพื่อสร้างความแตกต่างในด้านคุณภาพไม่ใช่เป็นการสร้างวิธีการผลิตแข่งกับจีน นอกจากการตั้งรับแล้ว ในส่วนของธุรกิจ SME ควรมีแนวคิดในแนวรุกด้วย โดยการทำตลาดในต่างประเทศเช่นเดียวกับ China City Complex เนื่องจาก SME ไทยจำนวนหนึ่งมีความพร้อมและมีศักยภาพเพียงพอ พร้อมทั้งมีความต้องการทำตลาดในต่างประเทศด้วย จึงควรได้รับการสนับสนุนตรงจุดนี้....

วันอาทิตย์ที่ 1 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

สัตยา ไสบาบา


" สัตยา ไสบาบา (Satya sai baba) "


สำนักข่าวต่างประเทศหลายสำนักรายงานพร้อมๆกัน...เมื่อวันที่ 24 เม.ย. 2011 ว่า... สัตยา ไสบาบา ศาสดาทางจิตวิญญาณชื่อก้องโลก ได้เสียชีวิตแล้ว ด้วยโรคทางระบบหัวใจเมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา ที่โรงพยาบาลวิทยาศาสตร์การแพทย์ระดับสูง ในเมืองพุทธปาติ ในแคว้นอันตรประเทศ ตามเวลาท้องถิ่น ด้วยอายุ 85 ปี


ข้อมูลต่อไปนี้เป็นเพียงนำเสนอข้อมูลที่ได้คัดมาจากหลายแหล่งในอินเทอร์เน็ต...โดยไม่ได้ปรับแต่งตัดต่อเนื้อหาใดๆ


"โปรดใช้วิจารณญาณ" ของท่านเอง!

......................................................................

Satya Sai BaBa นักมายากล หรือ บุคคลผู้บรรลุ
(ข้อมูลจาก...http://www.hindumeeting.com/forum/index.php?topic=2047.0)

สัตยา ไส บาบา เป็นคุรุหรือ ' กูรู ' อีกคนหนึ่งที่คนไทยหลายกลุ่มรู้จักกันดี ภาพประทับใจที่คนนึกถึงไส บาบามักเกี่ยวข้องกับอิทธิฤทธิ์อภินิหาร หรือปาฏิหาริย์ประเภทคว้าให้กลายเป็นทองคำ หรือไม่ก็เสกให้มีขี้ธูปออกมาจากแจกันเปล่าได้ แต่ละครั้งที่ไสบาบาปรากฏตัวจะมีคนมากมายรายล้อมรอชมปาฏิหาริย์ จนทางการอินเดียต้องสั่งให้ไส บาบาหยุด

ไสบาบา กล่าวว่าตนเป็นองค์อวตารของไส บาบา แห่งเมืองชรีดี ( Shridi )ซึ่งถือเป็นคุรุที่ชาวอินเดียให้ความนับถืออย่างมากรถยนต์แทบทุกคันจะติดภาพของไสบาบาไว้ที่หน้ากระจกรถเพื่อเป็นสิริมงคลต่อรถและชีวิต แต่อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ไส บาบาสอนก็เน้นย้ำ การไม่แบ่งแยกศาสนา พูดถึงความเป็นหนึ่งเดียวกัน และความรักที่ไม่มีขีดจำกัด

"การมาของท่านนั้นไม่ได้มาเพื่อจะรบกวน หรือทำลายความศรัทธาใด ๆแต่มาเพื่อยืนยันความเชื่อและความศรัทธาของแต่ละท่านซึ่งคริสเตียนก็จะเป็นคริสเตียนที่ดี และมุสลิมก็จะเป็นมุสลิมที่ดีและฮินดูก็จะเป็นฮินดูที่ดี " สานุศิษย์ของไส บาบา ยืนยัน

ที่ Prasanthi Nilayam แห่งเมืองพุทธปาตี แห่งรัฐอันธรประเทศทางใต้ของประเทศอินเดีย ยังเต็มไปด้วยผู้คนที่มาจากทั่วสารทิศ และทั่วโลกโดยเฉพาะช่วงวันเกิดของไส บาบาในเดือนพฤศจิกายนเราจะเห็นผู้คนแห่แหนเข้าไปที่อาศรม คนเหล่านั้นต่างขับร้องเพลงเพื่อบูชาและสรรเสริญไส บาบา

แต่พ้นไปจากอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์แล้ว ว่ากันว่าคำสอน แนวปฏิบัติ รวมถึงสิ่งที่ไส บาบาทำให้กับสังคมล้วนเกาะเกี่ยวกับเรื่องราวแห่ง สติปัญญา ไม่ว่าจะเป็นธรรมะที่เผยแผ่ โรงเรียนที่สร้างรูปแบบการศึกษาผสานกับสมาธิ คุณธรรมที่เน้นย้ำ โรงพยาบาลบ้านพักของคนไร้ที่อยู่

ไม่เพียงที่อินเดียเท่านั้น องค์กรสัตยาไส และโรงเรียนสัตยาไส ยังเผยแผ่ไปทั่วโลก แม้กระทั่งในเมืองไทยโรงเรียนสัตยาไสของ ดร. อาจอง ชุมสาย ณ อยุธยา ก็เป็นส่วนหนึ่งดำเนินตามแนวคิดนี้

มีคนเคยถามต่อหน้าว่า แท้จริงแล้วสัตยา ไส บาบาเป็นใคร ท่านตอบว่า "ฉันคือพระเจ้า และคุณคือพระเจ้า แต่มีเพียงสิ่งเดียวที่ต่างกันระหว่างคุณกับฉัน นั่นคือ ขณะที่ฉันตระหนักรู้กับมันแต่คุณกลับไม่ตระหนักรู้อะไรเลย "
คำสอนของสัตยา ไส บาบา เน้นถึงหนทางที่นำไปสู่ความหมายของชีวิต 5 ข้อ อันได้แก่ สัจจะ การมีธรรมะ มีสันติ มีความรัก และยึดหลักอหิงสา ขณะเดียวกันก็ให้รักพระเจ้า เกรงกลัวต่อบาป และรับผิดชอบต่อสังคม

......................................................................

ประวัติ สัตยะ ไส บาบา
(จากลิงค์ที่เป็นไฟลฺ์.doc โดยตรงจากลิงค์ กูเกิล (แต่ไม่พบหน้าเว็บ)

สัตยะ ไส บาบา เกิดเมื่อ พ.ศ.2469 ที่หมู่บ้านปุตตปารถิ หมู่บ้านเล็กๆแห่งหนึ่งในรัฐอันธรประเทศ ประเทศอินเดีย ในตระกูลราชู ในตอนเด็ก พ่อตั้งชื่อให้ว่า สัตยะ นารายณ์ เมื่อวันที่ 23 พฤษภาคม พ.ศ.2483 สัตยะนารายณ์ได้พบกับความเจ็บป่วยไข้ รักษาหลายหมอแล้วก็ยังไม่หาย ในช่วงเวลานั้น เด็กชายสัตยะนารายณ์ได้ลุกขึ้นประกาศว่า “ฉันคือ ไส บาบา ภารกิจของฉันที่มายังโลกนี้ ก็เพื่อจะนำปวงมนุษย์ให้ดำเนินไปตามครรลองธรรม กลับมาสู่เบื้องบาทของฉัน ฉันมาเพื่อสถาปนาธรรมและวิถีชีวิตตามแบบพระเวท เพื่อฟื้นฟูจิตวิญญาณให้อยู่เหนือวัตถุ เพื่อนำมวลมนุษย์ให้กลับไปสู่โลกแห่งจิตวิญญาณ”

การประกาศตัวเองในทำนองเป็นศาสดาของเด็กชายสัตยะนารายณ์ในครั้งนี้ จึงเป็นจุดเริ่มต้นแห่งการเป็นศาสดา และคำว่า ไส บาบา ที่เด็กชายสัตยะนารายณ์อ้างถึงนั้น หมายถึงนักบุญในอดีตท่านหนึ่งที่เป็นที่ชาวอินเดีย ทั้งฮินดูและมุสลิมต่างพากันเคารพนับถือ ที่เมืองเชอร์ดี้ อยู่ในรัฐมหาราฏร์ ซึ่งท่านได้เสียชีวิตไปแล้วเมื่อ 8 ปีที่แล้ว ดังนั้นการอ้างถึงเรื่องนี้จึงเป็นการเชื่อมโยงกันว่า เด็กชายสัตยะนารายณ์คือ ท่านเชอร์ดี้ ไส บาบา ได้กลับชาติมาเกิด ในเวลาต่อมา ท่านสัตยะไสบาบา ก็ยืนยันอย่างนั้น หลังจากการประกาศตัวเป็นศาสดาของท่านในครั้งนั้นแล้ว สัตยะ ไส บาบา ก้อได้ออกจากบ้าน และใช้ชีวิตประกาศสั่งสอนธรรม และเริ่มมีผู้เลื่อมใสเพิ่มขยายตัวมากขึ้นโดยลำดับ จนสามารถสร้างสำนักขึ้นได้ เรียกว่า ประสันตินิลยัม หรือที่อยู่ของผู้สงบ

......................................................................

ล่างนี้เป็นคลิปวีดีโอ Youtube ที่แสดงให้เห็นว่า สัตยา ไสบาบา เป็นคนลวงโลก แต่เขาเป็นนักมายากลที่เก่งมากคนหนึ่ง...(ข้อมูลได้มาจาก http://board.palungjit.com...)

"โปรดใช้วิจารณญาณ" ของท่านเอง!





ข้างล่างนี้เป็นคลิปที่เขาทำขึ้นมาเพื่อสอนให้ชาวบ้านในอินเดียรู้ว่าปฏิหาริย์ต่างๆ สามารถใช้มายากลและวิทยาศาสตร์ทำได้


......................................................................

:: และส่งท้ายความคิดเห็นของบางท่านในเว็บบอร์ด (http://board.palungjit.com...)

สวัสดีค่ะ มีปาฏิหาร์ยของท่านมาเล่าให้ฟังค่ะ นี้ถือเป็นความเชื่อส่วนตัวน่ะค่ะ ไม่ว่ากันค่ะ เพื่อน ๆ รู้จักด้อกเตอร์อาจองค์ ชุมศรี ณ อยุธยา ไหมค่ะ ? (ถ้าพิมพ์ชื่อผิดขออภัยมาน่ะที่นี้ด้วยค่ะ) เดิมทีด้อกเตอร์ก็ไม่เชื่อเรื่องของไสบาบาหรอกค่ะ แต่ด้วยความที่อยากรู้ จึงไปหาท่านบาบา เมื่อไปถึง บาบาได้หยิบหินก้อนหนึ่งออกมาจากกระถางดอกไม้ พอวางบนมือของด้อกเตอร์ ปรากฏว่า หินนั้นกลายเป็น ลูกอม ด้อกเตอร์ถึงกับอึ้ง และไม่มีคำอธิบายทางวิทยาศาสตร์ได้ ดังนั้น ด้อกเตอร์อาจองค์ จึงนับถือท่านไสบาบาเป็นต้นมา และได้ก่อตั้งโรงเรียนสัตยาไสบาบาไว้ที่จังหวัดลพบุรี ชื่อว่าโรงเรียน ลำนารายณ์ ว่าง ๆ สามารถเข้าไปเยี่ยมชมได้ค่ะ

นี้คือโครงการของท่านไสบาบาในชาตินี้น่ะค่ะ ท่านไสบาบาได้สร้างมหาวิทยาลัยฟรี คนที่ศึกษานั้นไม่จำเป็นต้องเสียค่าเล่าเรียน และคุณครูก็ได้รับเงินเดือนเพียงน้อยนิดเท่านั้น น้อยกว่าคนเก็บขยะในเมืองเสียอีก แต่จิตใจของพวกเขาช่างสูงส่ง เพราะพวกเขาไม่ต้องการเงินเลย ดังนั้น ท่านไสบาบาจึงได้รับครอบครัวของพวกเขาเข้ามาอยู่ในอาศรม และให้อาหารกิน พวกเขาได้ใช้ชีวิตอย่างพอเพียงยิ่ง ท่านไสบาบากล่าวว่า นักเรียนที่มหาวิทยาลัยนั้น ชีวิตประจำวันของเขาไม่ต่างจากพระเลย อนาคตของพวกเขาคือจะเป็นกำลังสำคัญในการเปลี่ยนแปลงโลก

และโครงการของท่านไสบาบานั้นมีอีกอย่างคือ โรงพยาบาลฟรี พูดง่าย ๆ คือ จากการรักษาที่มีค่ารักษาถึงหลักล้าน แต่ ที่นี้ รักษาฟรี ส่วนใหญ่ท่านจะเน้นคนจนน่ะค่ะ แล้วคนที่มีฐานะในเมืองจีน ก็ยินดีที่จะบริจาคเพื่อช่วยเหลือโครงการนี้ ที่สำคัญ หมอ ผู้มีจิตใจสูงส่ง พวกเขาไม่รับเงินเลยแม้แต่หนึ่งรูปี ในขณะที่พวกเขากิน และอยู่อย่างเรียบง่าย และอนาคตของอาชีพหลาย ๆ อาชีพ ก็มาจากเด็ก ๆ ที่บาบาได้รับ และเลี้ยงดูนั่นเอง หมอในอนาคตคือนักเรียนมหาวิทยาลัย คิดดูซิ เมื่อนั้นโลกจะงดงามแค่ไหนค่ะ ว่าไหม ? และแน่นอนว่าโครงการของท่านมีเยอะกว่านี้ แต่ขอยกตัวอย่างแค่นี้ละกันค่ะ

ส่วนคลิปน่ะค่ะ กรุณาใช้สายตามองดีดี ตอนที่ดูน่ะค่ะ ไม่งั้น เขาก็คงเปิดเผยกันทางทีวี หรืออะไรที่มากกว่าจะเปิดที่เว็ปที่เข้ายาก ๆ ลองเปิดให้คนทั้งโลกได้ดูซิค่ะ แล้วนักมายากลที่เก่ง ๆ ทั้งหลายก็จะดูออกเองแหละค่ะ อีกอย่าง เป็นท่านจริงหรือเปล่า ? กรุณาลองดูแล้ววิเคราะห์ให้ดี ๆ น่ะค่ะ

......................................................................

:: ความคิดเห็นอีกท่าน (จากบอร์ด Pantip.com...)

ความคิดเห็นที่ 6

เสริมให้นิดนึง ตอนหลังมีผู้พบไสบาบาในอเมริกา อยู่คฤหาสน์หลังเบ้อเริ่ม นั่งรถโรสรอยซ์ เรื่องที่ว่าอาจเป็นศาสดาองค์ใหม่เลยจบไป

ส่วนเรื่องเสกของนั่น มีคนทำได้จริงครับแต่เป็นในลักษณะการเคลื่อนย้ายจากที่หนึ่งไปยังอีกที่หนึ่ง ไม่ใช่เสกขึ้นมาจากความว่างเปล่าบาดหลวงองค์หนึ่งแถวบ้านผมก็ทำได้ คือในงานประจำปีของโบสถ์ ก็มีบาดหลวงมาร่วมพิธีกันหลายองค์มีเลี้ยงมื้อกลางวัน บาดหลวงก็กินข้าวด้วยกัน องค์หนึ่งนึกสนุกก็เสกนาฬิกาจากข้อมือของเพื่อนบาดหลวงมาอยู่ในข้อมือของตัวเอง จบลงด้วยสังฆราชเรียกไปดุ ว่าทีหลังอย่าเล่นอย่างนี้อีก อิอิ

อีกแบบหนึ่งคือการเปลี่ยนสภาพ เรื่องนี้เกิดขึ้นนานแล้ว สัก 30 ปีแล้วเห็นจะได้บาดหลวงองค์หนึ่งเดินไปเจอเด็กๆ กำลังวิ่งเล่นกันอยู่ท่านหยิบใบไม้ที่ตกอยู่แถวนั้น ใบไม้นั้นกลายเป็นธนบัตร ท่านส่งให้เด็กเอาไปซื้อขนมกิน ตกเย็นท่านตามไปที่ร้านขายขนมนั้น บอกให้เจ้าของร้านเปิดลิ้นชักเงินดู เจอใบไม้ใบหนึ่ง ท่านบอกว่าตอนที่เจอเด็กๆ นั้นไม่มีเงินติดตัว แล้วท่านก็ส่งเงินค่าขนมให้เจ้าของร้านไป คราวนี้เป็นเงินจริงๆ โดยส่วนตัวแล้วผมคิดว่าเป็นเรื่องของพลังจิตครับ