วันพฤหัสบดีที่ 25 มิถุนายน พ.ศ. 2552

คารวะ ราชันย์เพลงป็อป!

Michael Jackson
- มนุษย์ประเภทนี้ไม่ได้มาปรากฏตัวบนโลกกันบ่อยนัก -

Heal The World Make It A Better Place
For You And For Me And The Entire Human Race
There Are People Dying
If You Care Enough For The Living
Make A Better Place For You And For Me
เยี่ยวยาโลกของเรา ทำให้มันน่าอยู่ยิ่งขึ้น
เพื่อคุณและเพื่อผม และเพื่อเพื่อนมนุษย์ทั้งมวล
มีผู้คนมากมายที่กำลังจะตายจากไป
แต่ถ้าคุณใส่ใจต่อการอยู่ร่วมกันมากพอ
ทำให้มันน่าอยู่ยิ่งขึ้น เพื่อคุณและเพื่อผม

เนื้อหาท่อนท้ายๆของเพลง "Heal the world"
โดย "Michael Jackson"

.......

เพิ่งเขียน Blog หัวข้อเกี่ยวกับ Michael Jackson ไปไม่นาน (เรื่อง ไมเคิล แจ็คสัน ใน Britain's Got Talent) ไม่นึกว่าจะจากกันไปแบบกระทันหันทันด่วนซะขนาดนี้! +_+

ในอนาคตจะมีศิลปิน ราชันย์เพลงป็อบคนใหม่! ที่สร้างสรรค์ผลงานดนตรี-เนื้อร้อง-มิวสิควิดีโอและการแสดงท่าเต้นบนเวทีคอนเสิร์ตได้เลิศเฉียบขาด-สุดขีดได้เทียบเท่าหรือได้สุดยอดไปกว่าที่ ไมเคิล แจ็คสัน ได้ทำไว้หรือไม่...ถ้ามีก็แสดงว่า...คนนั้นต้องเป็นคนที่พระเจ้าส่งมา!! ;]

ไมเคิล แจ็คสัน เยือนกรุงเทพ ปี1993 เพื่อแสดงคอนเสิร์ต "Dangerous"

...................................................

- บทสัมภาษณ์พิเศษ -

Ophra Winfrey สัมภาษณ์ Michael Jackson
ค.ศ.1993

(ตัดตอนมาเฉพาะบางช่วง) หากสนใจฉบับเต็ม(ภาษาอังกฤษ) ไปที่ http://www.allmichaeljackson.com/interviews/oprahinterview.html


Episode 1 : idol ของ idol

Oprah: I saw you laugh when you saw yourself singing "Baby, Baby, Baby"
โอปราห์ : ฉันเห็นคุณหัวเราะเมื่อคุณเห็นตัวเองร้อง... "เบบี้ เบบี้ เบบี้"
(ดูวิดีโอคอนเสิร์ตเก่าของตัวเองตอนเด็กร้องเพลง I GOT THE FEELIN ของเจมส์ บราวน์)

Michael: Yeah, I think James Brown is a genius, you know, when he's with the Famous Flames, unbelievable. I used to watch him on the television and I used to get angry at the camera-man because whenever he would really start to dance they would be on a close-up so I couldn't see his feet. I'd shout "show him, show him", so I could watch and learn.
ไมเคิล : ผมว่า "เจมส์ บราวน์" คืออัจฉริยะ เมื่อเขาโด่งดังร้อนแรงสุดขีด มันเหลือเชื่อมาก ผมเคยดูเขาในทีวี(ตอนยังเด็ก)และเคยรู้สึกโกรธตากล้อง เพราะเมื่อเขาเริ่มเต้น กล้องถ่ายซูมเข้าไปใกล้ตัวเขา ผมเลยไม่เห็นสเต็ปเท้า(การเคลื่อนไหว)
ผมตะโกน โชว์เขา โชว์เขา เพื่อผมจะได้เห็นและได้เรียนรู้(วิธีเต้นแบบนนั้น)

"GodFather of Soul" หรือ "เจ้าพ่อเพลงโซล-เจมส์ บราวน์" แรงบัลดาลใจ-ต้นแบบของ ราชันย์เพลงป็อป


เจ้าพ่อเพลงโซล - ราชันย์เพลงป็อบ บนเวทีเดียวกัน

Oprah: So he was a big mentor for you?
โอปราห์ : เรียกว่าเขาเป็นครูพี่เลี้ยงของคุณเลยใช่ไหม?

Michael: Phenomenal, phenomenal.
ไมเคิล : ที่สุดของที่สุด ยื่งใหญ่ครับ

Oprah: Who else was?
โอปราห์ : มีคนอื่นอีกไหม?

Michael: Jackie Wilson, who I adore as an entertainer, and of course music, Motown. The Bee Gees who are brilliant, I just love great music.
ไมเคิล : "แจ็คกี้ วิลสัน" ผมเทิดทูนเขาในฐานะศิลปินผู้สร้างความบันเทิง และแนวดนตรีในโมทาวน์(ค่ายเพลงยุคนั้น) และก็มี
วง "บีจี" เขาแจ่มมาก ผมชอบดนตรียิ่งใหญ่

...................................................

Episode 2 : กรณีสีผิว

Oprah: OK, then let's go to the thing that is most discussed about you, that is, the color of your skin...is most obviously different than when you were younger, and so I think it has caused a great deal of speculation and controversy as to what you have done or are doing, are you bleaching your skin, and is your skin getting lighter because you don't like being black
โอปราห์ : โอเค ไปเรื่องที่มีการกล่าวถึงกันมากเกี่ยวกับตัวคุณ, เรื่องสีผิว...มันแตกต่างอย่างชัดเจนมากเมื่อเทียบกับเมื่อก่อน, มีการถกเถียง-คาดเดากันไปต่างๆนานาเกี่ยวกับเรื่องนี้ว่าคุณไปทำอะไรมา, คุณไปฟอกผิวมาใช่ไหม คุณจึงขาวขนาดนี้ เหตุเพราะคุณไม่ชอบการเป็นคนดำใช่หรือไม่

Michael: Number one, as far as I know of there is no such thing as skin bleaching. I have never seen it, I don't know what it is
ไมเคิล : ประการแรก ผมไม่มีอะไรเกี่ยวกับการฟอกผิวเลย ผมไม่เคยเห็นไม่รู้ว่ามันคืออะไร

Oprah: Well they used to have those products, I remember growing up always hearing "always use bleach and glow", but you have to have about 300,000 gallons
โอปราห์ : ได้ยินมาตลอดว่า มีผลิตภัณฑ์ ใช้ฟอกให้ขาวขึ้น และคุณต้องใช้ถึงสามแสนแกลลอน.

Michael: OK, but number one, this is the situation. I have a skin disorder that destroys the pigmentation of my skin, it's something that I cannot help, OK? But when people make up stories that I don't want to be what I am it hurts me.
ไมเคิล : โอเค ประการแรก สถานะการณ์นี้ก็คือ ผมมีโรคผิวหนัง มันทำลายเซลล์เม็ดสีผิว(โรคชนิดหนึ่งที่ทำให้มีสีผิวไม่สม่ำเสมอบางส่วนขาวเป็นด่างคล้ายๆเกลื้อน) มันเป็นอะไรที่สุดวิสัย แต่เมื่อได้ยินคนพูดกันว่า ผมไม่ต้องการเป็นคนดำอย่างที่ผมเป็น...มันเป็นเรื่องทำร้ายจิตใจผมอย่างมาก


โรคผิวหนังชนิดหนึ่งที่ทำให้มีสีผิวไม่สม่ำเสมอบางส่วนขาวเป็นด่างคล้ายเป็นเกลื้อน! คล้ายผิวที่โดนไฟ้ไหม้น้ำร้อนลวก!...ไมเคิลอ้างว่าเขาเคยเป็นโรคทำนองนี้ !! ประวัตศาสตร์การเปลี่ยนแปลงใบหน้าของ ไมเคิล แจ็คสัน!!

Oprah: So it is... โอปราห์ : แล้วมัน...

Michael: It's a problem for me that I can't control...but what about all the millions of people who sit out in the sun, to become darker, to become other than what they are. No one says nothing about that.
ไมเคิล : มันเป็นปัญหาที่ผมไม่สามารถควบคุมได้ แล้วเรื่องที่หลายล้านคนไปนั้งตากแดดเพื่อให้เข้มขึ้นล่ะ เขากลายเป็นอย่างอื่นที่ไม่ใช่ตัวเขา ไม่เห็นมีใครวิจารณ์เรื่องนี้เลย

Oprah: So when did this start? When did your...when did the color of your skin start to change?
โอปราห์ : นี้เริ่มขึ้นเมื่อไร ที่สีผิวของคุณเริ่มเปลี่ยน?

Michael: Oh boy, I don't....sometime after Thriller, around Off The Wall, Thriller, sometime around then.
ไมเคิล : โอ้! น้อง, ผมไม่...ประมาณช่วงหลังอัลบั้ม Thriller หรือ Off The Wall ประมาณช่วงนั้น

Oprah: But what did you think? โอปราห์ : แต่คุณคิดอะไร?

Michael: It's in my family, my father said it's on his side. I can't control it, I don't understand. I mean it makes me very sad. I don't want to go into my medical history because that is private, but that's the situation here.
มันอยู่ในครอบครัวของผม(เป็นกรรมพันธุ์) พ่อผมเคยบอกว่าเขาก็เป็น ผมไม่สามารถควบคุมมัน ผมไม่เข้าใจ ผมหมายถึงมันทำให้ผมเศร้ามาก ผมไม่อยากไปคุยในเรื่องที่ผ่านมาเกี่ยวกับการรักษาของผม เพราะมันเป็นเรื่องส่วนตัว แต่สถานะการณ์ก็เป็นอย่างนี้แหละ

ไมเคิล กับ พ่อ

Oprah: So OK, I just want to get this straight, you are not taking anything to change the color of your skin?
โอปราห์ : โอเค...ฉันแค่อยากจะเข้าใจมันแบบตรงไปตรงมา คุณไม่ได้ทำอะไรเกี่ยวกับการเปลี่ยนสีผิวของคุณเลยกระนั้นหรือ?

Michael: Oh God no, we tried to control it and using make-up evens it out because it makes blotches on my skin. I have to even out my skin. But you know what's funny, why is that so important? That's not important to me. I'm a great fan of art. I love Michaelangelo, if I had a chance to talk to him or read about him I would want to know what inspired him to become who he is, the anatomy of his craftsmanship, not about who he went out with last night....what's wrong with....I mean that's what is important to me.
ไมเคิล : โอ้พระเจ้า, ไม่นะครับ เราพยายามที่จะควบคุมมันและทำให้มันหายไป เพราะมันก่อให้เกิดตุ่มแผลบนผิวของผมด้วย ผมจำเป็นแม้ต้องลอกผิวออก แต่ทำไมมันประเด็นสำคัญขนาดนั้น? มันไม่ได้สำคัญอะไรต่อผมเลยนะ ผมเป็นคนชื่นชมติดตามงานศิลปะ ผมชอบ "ไมเคิล แองเจลโล" ถ้าผมมีโอกาสได้คุยกับเขาหรืออ่านเรื่องราวของเขา ผมอยากรู้ว่าอะไรดลใจให้เขาเป็นอย่างที่เขาเป็นอยู่ได้, ฝีมือชั้นเซียนในเรื่องกายวิภาค, ไม่ใช่เรื่องที่เกี่ยวกับว่า เขาออกไปกับใครเมื่อคืน...แล้วเกิดอะไรขึ้นต่อ... ผมหมายความว่านั้นคือสิ่งที่สำคัญสำหรับผมมากกว่า.

Oprah: How much plastic surgery have you had?
โอปราห์ : คุณได้ทำศัลยกรรมพลาสติกมาแล้วกี่ครั้ง

Michael: Very, very little. I mean you can count on my two fingers. I mean let's say this, if you want to know about those things, all the nosey people in the world, read my book Moonwalk, it's in my book. You know, let's put it this way, if all the people in Hollywood who have had plastic surgery, if they went on vacation, there wouldn't be a person left in town.
ไมเคิล : น้อยมาก ผมหมายความว่า นับนิ้วได้เลย ผมหมายถึงถ้าคุณต้องการรู้เรื่องเหล่านี้, คนในโลกที่อยากรู้อยากเห็น, ให้ไปอ่านหนังสือของผม Moonwalker, หนังสือของผม คุณก็รู้ เอาอย่างนี้ดีกว่า, สมมุติว่าถ้าคนที่ทำศัลยกรรมพลาสติกทั้งหมดใน Hollywood ออกไปพร้อมๆกันในวันหยุด จะไม่มีใครเหลืออยู่ในเมืองนี้เลยนะ

Oprah: Mmmm, I think you might be right.
โอปราห์ : อืม, คุณอาจพูดถูก

Michael: I think I am right. It would be empty.
ไมเคิล : ใช่ผมพูดถูกต้อง มันจะโล่งไปเลย

Oprah: Did you start having plastic surgery because of those teen years because of not liking the way you looked?
โอปราห์ : คุณเริ่มทำศัลยกรรมเพราะว่าคุณไม่ชอบตัวคุณในแบบที่คุณเป็นเมื่อก่อนๆใช่ไหม?

Michael: No, not really. It was only two things. Really, get my book, it's no big deal.
ไมเคิล : ไม่ ไม่จริงๆ มันมีแค่สองอย่าง จริงๆ ไปอ่านหนังสือผมดู แต่มันไม่สำคัญอะไรเลย

Oprah: You don't want to tell me what it is? You had your nose done, obviously...
โอปราห์ : คุณไม่ต้องการบอกฉันว่ามันเป็นยังไง คุณไปทำจะจมูกมาแน่ มันชัดเจนมากนะค่ะ....

...................................................

Episode 3 : ทำไมต้องลูบเป้า?

Oprah: I have to ask you this, so many mothers in my audience have said to please ask you this question. Why do you grab your crotch?
โอปราห์ : ฉันจำเป็นต้องถามคุณ, บรรดาตัวแม่ท่านผู้ชมขอให้ถามคำถามนี้ ทำไมคุณต้อง(เต้น)ลูบเป้า?

Michael: (giggels) Why do I grab my crotch?
ไมเคิล : คิ๊กๆๆๆ(หัวเราะ) ทำไมผมลูบเป้า?

Oprah: You've got a thing with your crotch going on there.
โอปราห์ : เกี่ยวอะไรกับเป้าของคุณ

Michael: I think it happens subliminally. When you're dancing, you know, you are just interpreting the music and the sounds and the accompaniment. If there's a driving base, if there's a chello, if there's a string, you become the emotion of what the sound is. So if I'm doing a movement and I go "Bam" and I grab myself it's...it's the music that compels me to do it. It's not that I'm saying that I'm dying to grab down there and it's not in a great place, you don't think about it, it just happens. Sometimes I'll look back at the footage and I go...and I go, "Did I do that?", so I'm a slave to the rhythm,...yeah, OK
ไมเคิล : ผมว่ามันเกิดขึ้นแบบบริสุทธิ์ เมื่อคุณกำลังเต้น คุณกำลังแปลความของดนตรีและเสียงและได้คล้อยตามไป มีเสียงเบส มีเชลโล มีเครื่องสาย คุณก็จะกลายเป็นอารมณ์ที่เสียงนั้นเป็น ดังนั้นเมื่อผมกำลังเต้นและไปที่จุด "แบ้มมมม"(ทำเสียงดนตรี) ผมก็คว้าจับตัวผมเอง มันเป็น...มันเป็นเพราะดนตรีทำให้ผมทำเช่นนั้น มันไม่ได้หมายความว่า ผมคลั่งใคร่ชอบที่จะลูบคลำลงไปที่นั้น และมันก็ไม่ใช่จุดสำคัญอะไร, คุณอย่าไปคิดอะไรเกี่ยวกับมันให้มากเลย, มันแค่เกิดขึ้นมา บางครั้งผมก็กลับมาดูวิดีโอและผมเห็นผมไป...และผมไปกันใหญ่แล้ว ผมทำอย่างนั้นได้ไง, นั้นคือผมเป็นทาสของจังหวะดนตรีนะ..เย้,โอเค๊นะครับ

...................................................

Episode 4 : ที่มาท่าเต้นMoonwalk

ที่สุดของที่สุด! ตำนาน MoonWalker บันลือโลก!

Oprah: how you conceive the dance. Where did the moonwalk come from?
โอปราห์ : คุณคิดท่าเต้นยังไง...คุณได้ท่าMoonwalkมาจากไหน?

Michael: Well, the moonwalk came from these beautiful children, the black kids who live in the ghettos, the inner cities, who are brilliant, they just have that natural talent for dancing. Any of these new - the running man - any of these dances, theycome up with these dances, all I did was enhance the dance.
ไมเคิล : Moonwalker มาจากเด็กๆน่ารักเหล่านี้แหละ(ขณะสัมภาษณ์มีเด็กๆวิ่งเล่นอยู่รอบๆ) เป็นเด็กๆผิวดำอยู่ในภายในเมืองย่านชนกลุ่มน้อย(คนดำ) พวกเขาเจ๋งจริง พวกเขามีพรสวรรค์ในการเต้นออกมาตามธรรมชาติ เป็นอะไรที่สดใหม่มาก มันมาจากการเต้นเหล่านี้แหละ ผมเอามาพัฒนาต่อยอดอีกที

...................................................

Episode 5 : สูญเสียชีวิตในวัยเด็ก!

Michael: Well, especially now I come to realize - and then - I would do my schooling which was three hours with a tutor and right after that I would go to the recording studio and record, and I'd record for hours and hours until it's time to go to sleep. And I remember going to the record studio and there was a park across the street and I'd see all the children playing and I would cry because it would make me sad that I would have to work instead.
ไมเคิล : ครับโดยเฉพาะ ตอนนี้เมื่อผมย้อนนึกถึงเมื่อก่อน ผมจะต้องทำการบ้านประมาณ 3 ชั่วโมงกับติวเตอร์ และหลังจากนั้นผมจะไปที่ห้องบันทึกเสียง และจะต้องอัดเสียงเป็นเวลาหลายชั่วโมงไปจนถึงเวลาเข้านอน และผมจำได้ว่าที่ห้องบันทึกเสียงจะมีสวนอยู่ตรงข้ามอีกฟากของถนน และผมก็เห็นเด็กๆเล่นกัน ผมร้องไห้เพราะมันเศร้าจริงๆที่ผมกลับจะต้องมาทำงานแทน

Oprah: losing your childhood or having this kind of life?
โอปราห์ : เป็นการสูญเสียความเป็นเด็กหรือการมีชีวิตแบบนั้นหรือ?

ไมเคิลกับพี่น้องในวัยเยาว์ ในนาม "Jackson 5"

Michael: Well, you don't get to do things that other children get to do, having friends and slumber parties and buddies.There were none of that for me. I didn't have friends when I was little. My brothers were my friends.
ไมเคิล : ครับ กรณีคุณไม่เคยทำสิ่งที่เด็กๆเขาได้ทำกัน การมีเพื่อน การพักผ่อนการมีงานปาร์ตี้และมีคู่หู ผมไม่มีใครเลย ผมไม่มีเพื่อน มีแค่พี่น้องเท่านั้นที่เป็นเพื่อนผมเมื่อตอนยังเด็ก

Michael: ...because I didn't have it then, I compensate for that. People wonder why I always have children around, becasue I find the thing that I never had through them, you know Disneyland, amusement parks, arcade games. I adore all that stuff because when I was little it was always work, work, work from one concert to the next. If it wasn't a concert it was the recording studio, if it wasn't that it was TV shows or picture sessions. There was always something to do.
ไมเคิล : ผมไม่เคยมีชีวิตแบบนั้นเลย ผมชดเชยสิ่งที่ขาดหายไป คนทั่วไปคงประหลาดใจว่าทำไมผมจึงมักมีเด็กๆห้อมล้อมเสมอๆเพราะว่าชีวิตผมไม่เคยผ่านสิ่งเหล่านั้น คุณรู้จักดิสนีย์แลนด์ สวนสนุก ตู้เกมส์ ผมบูชาสิ่งเหล่านี้ เพราะเมื่อผมยังเด็ก ผมต้องทำงาน ทำงาน ทำงาน จากคอนเสิร์ตหนึ่งไปอีกคนเสิร์ตหนึ่ง ถ้าไม่มีคอนเสิร์ต ก็เข้าห้องอัดเสียง ถ้าไม่มีอะไรทำนองนั้นก็ไปออกรายการทีวี-ถ่ายภาพ มีภาระต้องทำตลอด...

ทำงานเป็นศิลปินนักร้องร่วมกับพี่น้องตั้งแต่เด็ก

Oprah: so I mean to all of us we thought this was the most wonderful thing in the world, who wouldn't have wanted that life?
โอปราห์ : ฉันว่า เราทุกคนคิดว่านี้เป็นสิ่งที่เป็นที่สุดแล้วในโลก ใครบ้างไม่ต้องการชีวิตแบบนั้น(หมายถึงการมีชื่อเสียงโด่งดัง)

Michael: It was wonderful, there's a lot of wonderment in being famous. I mean you travel the world, you meet people, you go places, it's great. But then there's the other side, which I'm not complaining about. There is lots of rehearsal and you have to put in a lot of your time, give a lot of yourself.
ไมเคิล : ครับมันน่าอัศจรรย์ มีหลายสิ่งที่น่าตื่นเต้นในการมีชื่อเสียงโด่งดัง ผมหมายถึงการได้ทัวร์ท่องโลก ได้เจอผู้คน ได้ไปที่ต่างๆมากมาย มันสุดยอดมากครับ แต่อีกด้านหนึ่งซึ่งผมไม่เคยโอดครวญให้ใครรู้ นั้นคือ คุณต้องมีการซ้อมอย่างมาก คุณต้องอุทิศเวลาของคุณ ต้องทุ่มเทตัวคุณลงไปอย่างหนัก.

...................................................

- ด้วยจิตคารวะ ขอจงไปสู่สุคติ -



.......

วันเสาร์ที่ 20 มิถุนายน พ.ศ. 2552

"Home" โลกมุมสูง



- Trailer หนังตัวอย่าง "Home" -

"Home" สุดยอดอลังการ! ภาพยนตร์สารคดีวิวมุมสูงหาดูยาก ทั้งวิวที่สวยแปลกตาและวิวที่ดูแล้วถึงกับตะลึงปนเศร้าเคล้าน่ากลัว! ถ่ายทำบนเฮลิคอปเตอร์กว่า 54 ประเทศทั่วโลก ป่า-เมือง-ภูเขา-ทะเล-ขั้วโลก ฯลฯ ครบครัน(มีประเทศไทยด้วย) วิวจริงล้วนๆ ไม่มีการใช้คอมพิวเตอร์กราฟฟิค หรือสเปเชี่ยลเอฟเฟคจัดฉากแต่อย่างใด ชมกันแบบเต็มอิ่มด้วยความยาวเกือบ 2 ชั่วโมง (มีเวอร์ชั่นพากย์ไทยขายในบ้านเราแล้ว แต่ไม่แน่ใจว่าตอนนี้ยังหาซื้อได้ตามร้านดีวีดีทั่วไปหรือเปล่า)

สามารถดูวิดีโอฉบับเต็ม HD ชัดแจ๋วได้ที่ :
http://www.youtube.com/watch?v=jqxENMKaeCU


หรือที่เว็บไซต์อย่างเป็นทางการของ "Home" :
http://www.home-2009.com/

- เบื้องหลังการถ่ายทำ"Home" -


“Yann Arthus Bertrand"-"ญานน์ อาร์ทูส์-แบร์ทรองด์” ชาวฝรั่งเศส วัย60ต้นๆ นอกจากทำหน้าที่กำกับ "Home "แล้วยังร่วมเขียนบท พร้อมกับใช้เวลาในการสร้างร่วม 3 ปี เพราะต้องเดินทางหาโลเกชั่นเพื่อถ่ายทำให้ได้ภาพแปลกตากว่า 54 ประเทศ เนื่องจากเป็นภาพยนตร์ที่แสดงออกถึงความรับผิดชอบต่อโลก จึงต้องตระเวนถ่ายทำเพื่อเก็บสต๊อกภาพถ่ายวิดิโอที่มีความยาวถึง 488 ชั่วโมงแล้วนำมาตัดต่อให้เหลือเพียงประมาณ 2 ชั่วโมง สำหรับภาพยนตร์สารคดีเรื่องเยี่ยมนี่

- ญานน์ อาร์ทูส์ แบร์ทรองด์ -

Yann Arthus Bertrand กำลังแสดงให้เราเห็นถึงโลกที่เขาเชื่อว่ายังมีอีกหลายมุมมองและหลายภาคส่วนที่ยังไม่เคยพบ มุมมองที่มนุษย์เดินดินไม่มีวันได้เห็น โลกที่เหมือนเพชรสีน้ำเงินลอยอยู่ในห้วงแห่งอวกาศอันมืดมิด ทำให้เราได้เห็น ได้เข้าใจและตระหนักถึงภัยพิบัติที่กำลังจะเกิดขึ้นผ่านช่วงเวลายาวนานจนทรัพย์สมบัติที่มีชื่อว่า “ธรรมชาติ” กำลังจะสูญสลายไปด้วยมือของเราและนั่นอาจหมายถึงสัญญาณที่เตือนว่าคงถึงเวลาที่เราจำเป็นปกป้อง “บ้าน” หลังใหญ่นี้ไว้ด้วยตัวของเราเอง

สำหรับการเดินทางเพื่อเสาะหาโลเกชั่นนั้น ได้รับความร่วมมือจากองค์กรต่างๆในกรุงปารีสในการจัดหาลูกมือภาคสนามมาร่วมเป็นส่วนหนึ่งของทีมสร้าง เพราะการถ่ายทำต้องถ่ายทำทั้งบนภาคพื้นดินและบนอากาศโดยใช้เฮลิคอปเตอร์ เพื่อขนผู้กำกับและช่างกล้องพร้อมผู้คุมงานภาพขึ้นไปถ่ายทำบนท้องฟ้าเพื่อให้ภาพสมบูรณ์และงดงามชนิดชาวโลกไม่เคยเห็นมาก่อน

บทสรุป-ข้อเท็จจริง ความเป็นไปของโลกใบนี้ในปัจจุบันและสิ่งที่จะเกิดในอนาคตอันใกล้ จากภาพยนตร์สารคดี "Home"

- ทั้งโลกใช้จ่ายด้านยุทโธปกรณ์มากกว่านำเงินไปช่วยเหลือประเทศกำลังพัฒนาถึง 12 เท่า

- 5 พันคนต่อวันเสียชีวิตเพราะน้ำดื่มที่ปนเปื้อน และ 1 พันล้านคนไม่มีน้ำสะอาดไว้ดื่ม

- 1 พันล้านคนกำลังหิวโหย

- กว่า 50% ของเมล็ดธัญพืชที่ซื้อขายกันทั่วโลกใช้เป็นอาหารสัตว์และผลิตเชื้อเพลิงชีวภาพ

- พื้นที่กสิกรรมเสื่อมสภาพไปถึง 40%

- ทุกๆ ปี พื้นที่ป่าสูญหายไป 13 ล้านเฮกตาร์

- 1 ใน 4 ของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม, 1 ใน 8 ของนก และ 1 ใน 3 ของสัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำใกล้จะสูญพันธุ์

- สัตว์หลายๆ สปีชี่ตายเร็วกว่าอายุขัยตามธรรมชาติถึง 1 พันเท่า

- ผลิตผลทางการประมงลดน้อยลง สูญสิ้น หรือเสี่ยงต่อการสูญสิ้นถึง 75%

- ตั้งแต่เริ่มบันทึกสถิติ อุณหภูมิเฉลี่ยในช่วง 15 ปีที่ผ่านมานับว่าสูงที่สุด

- แผ่นน้ำแข็งขั้วโลกบางลงถึง 40% ในระยะเวลา 40 ปีที่ผ่านมา

- ก่อนถึงปี 2050 คาดว่าจะมีผู้ลี้ภัยจากสภาพอากาศอันเลวร้าย 200 ล้านคน

- ทรัพยากรของโลกถูกถลุงไปใช้ถึง 80% โดยคนเพียง 20% ของประชากรโลกทั้งหมด

- ภายในปี ประมาณ ค.ศ. 2015 หากพฤติกรรมการถลุงทรัพยากรของมนุษย์(20%ข้างต้น)ไม่มีการปลี่ยนแปลงใดๆ และสภาวะโลกร้อนยังคงดำเนินดังเช่นปัจจุบันต่อไปเรื่อยๆไม่มีการปรับปรุง-แก้ไข น้ำแข็งขั้วโลกจะค่อยๆละลายในอัตราที่เร็วขึ้น ส่งผลให้น้ำทะเลจะสูงเพิ่มขึ้นถึง 7 เมตร นั้นหมายความว่า บางเมืองใหญ่ๆในหลายประเทศ(รวมทั้ง กทม.บ้านเรา) น้ำจะท่วมจมมิดแบบถาวร อย่างแน่นอน! : ได้เคยเขียนเกี่ยวกับเรื่องน้ำท่วมกุรงเทพ ไว้ครั้งหนึ่งแล้วเมื่อปี2008 หากสนใจลองไปที่ : วันสิ้นโลก 21:12:2012

..................

ปล. เว็ปไซต์ของ "Yann" ผู้สร้าง "Home" มีรูปถ่ายมุมสูงสวยๆจากสารคดีเรื่องนี้มากมายให้ดูชมและดาวน์โหลดกว่า 2000 ภาพ... http://www.yannarthusbertrand2.org/

วันพฤหัสบดีที่ 18 มิถุนายน พ.ศ. 2552

"สุกี้ยากี้"


...ขอบคุณรายการวิทยุรายการหนึ่งที่ได้จัดเพลงนี้ขึ้นมาอีกครั้ง...เพลงที่ได้ยินผ่านหูมาบ้างตั้งแต่เด็กๆแต่ก็ลืมไปนานแล้ว...เพลงที่เพราะระดับตำนานเพลงหนึ่งที่โลกต้องจารึก...(เพลงที่ฟังแล้วทำให้นึกถึง น้องอ้อย! หรือที่มีชื่อเต็มว่า Aoi Sora นั้นเอง...ฮึๆๆ...ล้อเล่นนะครับ อย่าคิดลึก :)


เพลง 上を向いて歩こう (Ue wo muite arukou) หรือ
“ฉันเดิน เงยหน้ามองท้องฟ้า” หรือที่รู้กันกันแพร่หลายในชื่อ "สุกี้ยากี้"
ขับร้องโดย 坂本九 หรือ Kyu Sakamoto หรือภาษาไทย "เคียว ซาคาโมโต"


"สุกียากี้" ต้นฉบับคลาสสิค : Kyu Sakamoto ร้องเอง-เล่น MV เอง


-คำแปลเนื้อเพลงเป็นไทย จากฉบับ Original ภาษาญี่ปุ่น-
(อ่านภาษาญี่ปุ่นไม่ออกเลยจริงๆ :P ...แต่เพื่อ build อารมณ์สร้างบรรยากาศแบบญี่ปุ่น ญี่ปุ่น และเป็นการให้เกียรติเขานะครับ ผิดพลาดประการใดขออภัยด้วยยยยยย...ฮึ ๆ)

上を向いて歩こう
Ue wo muite, arukou
ฉันเดินเงยหน้ามองท้องฟ้า

涙が こぼれないように
Namida ga koborenai you ni
กลั้นน้ำตาไม่ให้รินไหล

思い出す春の日 一人ぽっちの夜
Omoidasu haru no hi, hitori bocchi no yoru
นึกถึงช่วงเวลาในฤดูใบไม้ผลิ, แต่ตอนนี้ฉันอยู่คนเดียวในค่ำคืนอันแสนอ้างว้าง

上を向いて歩こう
Ue wo muite, arukou
ฉันเดิน เงยหน้ามองท้องฟ้า

にじんだ 星をかぞえて
Nijinda hoshi wo kazoete
เฝ้านับดวงดาวที่ทอแสงประกายริบหรี่

思い出す夏の日 一人ぽっちの夜
Omoidasu natsu no hi, hitori bocchi no yoru
นึกถึงเวลาในช่วงฤดูร้อน, แต่ตอนนี้ฉันอยู่คนเดียวในค่ำคืนอันแสนอ้างว้าง

幸せは 雲の上に
Shiawase ha kumo no ue ni
ความสุขคงอยู่เหนือปุยเมฆ

幸せは 空の上に
Shiawase ha sora no ue ni
ความสุขคงอยู่บนท้องฟ้า

上を向いて 歩こう
Ue wo muite, arukou
ฉันเดิน เงยหน้ามองท้องฟ้า

涙が こぼれないように
Namida ga koborenai you ni
กลั้นน้ำตาไม่ให้รินไหล

泣きながら歩く 一人ぽっちの夜
Nakinagara aruku, hitori bocchi no yoru
ฉันเดินไปร้องไห้ไป, ตอนนี้ฉันอยู่คนเดียวในค่ำคืนอันแสนอ้างว้าง

--- ผิวปาก ---

思い出す秋の日 一人ぽっちの夜
Omoidasu aki no hi, hitoribocchi no yoru
นึกถึงเวลาในช่วงฤดูฝน, แต่ตอนนี้ฉันอยู่คนเดียวในค่ำคืนอันแสนอ้างว้าง

悲しみは 星のかげに
Kanashimi ha hoshi no kage ni
ความเศร้าแฝงตัวอยู่ในเงาของดวงดาว

悲しみは 月のかげに
Kanashimi ha tsuki no kage ni
ความเศร้าแฝงตัวอยู่ในเงาของดวงจันทร์

上を向いて 歩こう
Ue wo muite, arukou
ฉันเดิน เงยหน้ามองท้องฟ้า

涙が こぼれないように
Namida ga koborenai you ni
กลั้นน้ำตาไม่ให้รินไหล

泣きながら歩く 一人ぽっちの夜
Nakinagara aruku, hitoribocchi no yoru
ฉันเดินไปร้องไห้ไป, ตอนนี้ฉันอยู่คนเดียวในค่ำคืนอันแสนอ้างว้าง

一人ぽっちの夜
Hitoribocchi no yoru
ฉันอยู่คนเดียวในค่ำคืนที่แสนอ้างว้าง

--- ผิวปาก ---

จบ


เคียว ซาคาโมโต : ๑๐ พฤศจิกายน ๒๔๘๔ - ๑๒ สิงหาคม ๒๕๒๘ : เกิดที่จังหวัดคาวาซากิ ในเขตคันนากาวา เสียชีวิตจากเหตุเครื่องบินสายการบิน Japan airline flight ๑๒๓ ขัดข้องทางเทคนิคจนเกิดอุบัติเหตุเครื่องบินตกชนสันเขาห่างจากกรุงโตเกียวประมาณ ๑๐๐ กิโลเมตร อุบัติเหตุครั้งนี้มีผู้เสียชีวิตทั้งสิ้น ๕๒๐ ชีวิต ผู้รอดชีวิต ๔ คน เคียว เสียชีวิตตอนอายุเพียงแค่ ๔๓ ปีเท่านั้น…

เพลง Ue wo muite arukou ข้างต้นนี้ถูกขับร้องครั้งแรกเมื่อปี ๒๕๐๔ โดย เคียว ซาคาโมโต จัดจำหน่ายโดยบริษัท Toshiba (ประเทศญี่ปุ่น) หลังจากนั้นในปี ๒๕๐๖ เพลง Ue wo muite arukou ได้ถูกขายลิขสิทธิ์ให้แก่บริษัท Pye Records (ประเทศอังกฤษ) และนำไปร้องใน Version ภาษาอังกฤษ โดย Kenny Ball and his Jazzmen เนื่องด้วยชื่อเพลงและเนื้อเพลงเป็นภาษาญี่ปุ่น จึงทำการเปลี่ยนเนื้อร้องใหม่ทั้งหมด และตั้งชื่อเพลงใหม่ว่า Sukiyaki โดยให้เหตุผลว่า...เป็นคำที่จำง่าย ออกเสียงง่าย และเป็นคำจำกัดความที่พูดขึ้นมาจะต้องนึกถึงประเทศญี่ปุ่น โดยเนื้อเพลงและความหมายของเพลงทั้งเวอร์ชั่นต้นฉบับญี่ปุ่นและอังกฤษก็ไม่ได้เกี่ยวข้องกับ สุกี้ยากี้ เลยแม้เต่น้อย…

เพลง Ue wo muite arukou ถูกนำไปขับร้องใหม่ในภาษาและเนื้อร้องที่ต่างกันไป แต่ใช้ทำนองดั้งเดิมทั้งหมดรวมแล้วโดยประมาณเกิน ๑๐๐ ศิลปิน ที่คนไทยคุ้นเคยกันดีก็น่าจะเป็นเวอร์ชั่น วง 4 P.M.

"สุกียากี้" นำมาร้องและเรียบเรียงเนื้อหาใหม่ โดย บอยแบนวง 4 P.M.


เวอร์ชั่นภาษาญี่ปุ่นปนฝรั่ง โดย "Trish Thuy Trang"(ลูกครึ่งเวียดนาม-อเมริกัน อืมมมมม)



วันพุธที่ 10 มิถุนายน พ.ศ. 2552

!!Genpets ของเล่นมีชีวิต!!



หลายคนคงได้รับ Forward Mail เกี่ยวกับเรื่องนี้มาบ้างแล้ว(ตั้งแต่ปี 2550) ผมได้รับอีเมล์นี้ซ้ำๆหลายรอบบางเมล์ ก็จั่วหัวเพิ่มเติมโดยผู้ส่งต่อด้วยความตื่นตระหนก อาทิ "Genpets ของเล่นที่มีชีวิตจริง!! โลกวิปริตขึ้นทุกวัน! , นวัตกรรมเพี้ยน!" แต่โดยส่วนตัวประทับใจในวิธีคิดนอกกรอบ(ถึงแม้จะเกิดอาการจุก!อย่างแรงก็ตาม)ของผู้สร้าง Genpets นี้เป็นพิเศษนะ...ฮึๆๆๆ...จึงขอนำมาเสนอกันอีกรอบ...หลายคนอาจยังไม่เคยเห็นและบางคนอาจยังไม่รู้เบื้องหลังที่มา...

ขอเดาว่า คนคิดของเล่นชิ้นนี้ขึ้นมา คงเคยมาเมืองไทย แล้วบังเอิญได้ดูหนังเรื่อง "ขุนแผน" จึงได้ "ลูกกรอกกุมารทอง" เป็นแรงบันดาลใจ...

เรื่องของกระแสเทคโนโลยีชีววิศวกรรมที่กำลังมาแรงในปัจจุบัน อันเป็นเทคโนโลยีที่นำหลักการทางวิศวกรรมมาเป็นแกนในการศึกษาและพัฒนาระบบชีววิทยาสมัยใหม่ เพื่อคิดค้นนวัตกรรมที่เป็นประโยชน์ทางด้านชีวภาพและการแพทย์ เช่น ผิวหนังสังเคราะห์ หรืออวัยวะเทียม เป็นต้น ซึ่งเทคโนโลยีชีววิศวกรรมนี้เกิดขึ้นแล้ว และพวกเราพร้อมหรือยังที่จะรับมือกับสิ่งที่จะเกิดขึ้น...



ในรูปคือ "GENPETS" เกิดจากกระบวนการ Zygote Micro Injection แล้วก็เติบโตขึ้นในแล็บ เป็นการผสมและปรับแต่ง DNA จากสิ่งมีชีวิตสายพันธุ์ต่าง ๆ ออกมาเป็น Genpets ดังนั้น Genpets จึงมีชีวิตจริง ๆ หายใจได้ มีเลือด กระดูก และกล้ามเนื้อ ซึ่งถ้าโดนบาดหรือตัดออก ก็จะมีเลือดไหลออกมา และถ้าดูแลผิด Genpets นี้ก็จะตายได้เหมือนกับสัตว์ทั่วไป หากเสียชีวิตก็นำไปฝังดินเช่นเดียวกันสัตว์เลี้ยงอื่น ๆ หรือจะส่งกลับไปที่ศูนย์บริการของบริษัทก็ได้ เจ้า Genpets นี้ไม่ต้องใช้ถ่านหรือแบตเตอรี่ เนื่องจากมันมีชีวิตจริง แหล่งพลังงานของของ Genpets ก็คือ life monitoring devices ที่อยู่ในแพ็จเกจของ Genpets เอง โดยขณะที่ Genpets แขวนรอขายอยู่บนชั้นวางสินค้า จะมีสายให้อาหารที่ทำขึ้นพิเศษ เพื่อให้ Genpets มีชีวิตอยู่อย่างสงบรอคนที่จะมาซื้อ


Genpets สามารถ นำออกมาจากแพ็คเกจได้ เรียกได้ว่าเป็นเหมือนตุ๊กตาที่มีชีวิต โดยได้รับการออกแบบให้เหมือนกับเด็กแรกเกิด เส้นผมของ Genpets ก็จะสามารถงอกยาวออกมาได้ เล็ก น้อย สามารถลืมตาได้เมื่อนำออกจากแพ็จเกจ สำหรับการเคลื่อนไหวในรุ่นแรกนี้ สามารถบิดตัวได้ เล็ก น้อยแต่ไม่ถึงกับคลานหรือเดินได้ อาหารของ Genpets จะเป็นอาหารพิเศษ ที่จำหน่ายโดยบริษัทผู้ผลิต หรือตัวแทนจำหน่าย ซึ่งจะให้ครั้งหนึ่งต่อสัปดาห์." ...



..............................................................



เนื้อหาข้างบนทั้งหมดนี้คือคำอธิบายส่วนหนึ่งเกี่ยวกับ "Genpets" ในเว็บไซต์ http://www.genpets.com/

เว็บไซต์และร้านค้าขาย Genpets จัดขึ้นมาอย่างสมจริงและเป็นทางการ



***จะบอกว่า...เรื่องทั้งหมดเกี่ยวกับ Genpets ข้างบนนี้

!! เป็นเรื่องโกหกนะครับ !!

ความจริงก็คือ...ทั้งหมดที่เห็นในสื่อต่างๆ ไม่ว่า ตัว Genpets เอง, เว็บไซต์Genpets, ร้านค้าขายตัวGenpets, รูปภาพโฆษณาต่างๆ ฯลฯ...เป็นแค่วิธีการแสดงงานศิลป์แนวใหม่!! วัตถุประสงค์เพื่อเสียดสีวิทยาการทางวิทยาศาสตร์ และทดสอบกระแสการตอบรับของสังคม ของ ศิลปินหนุ่มชาวแคนาดา นามว่า "Adam Brandejs"

เชื่อว่าทุกคนคงจะคุ้นเคยกับการแสดงงานศิลป์ไม่ว่าจะเป็น จิตรกรรม ประติมากรรม ฯลฯ ในห้องแกเลอรี่แบบตรงไปตรงมา หรือไม่...แบบที่หวือหวา-แปลกประหลาดหน่อยก็เป็นแนวศิลปะการจัดวางวัตถุ ที่เรียกว่า "Installation Art" ซึ่งถึงยังไงก็ยังมีการประกาศให้รู้อย่างเป็นทางการว่า นี้คือการแสดงงานศิลปะนะ... แต่พอมาเจอไอเดียการนำเสนอผลงานศิลปะของนาย Adam Brandejs นี้ เล่นเอาโลกช็อคไปตามๆกันเป็นประเด็นถกเถียงกันยกใหญ่ ด้วยนึกว่าเป็นของจริง! วางขายจริงๆ!... เรียกว่าลวงโลก(อย่างสร้างสรรค์)ได้อย่างแนบเนียนจริงๆ!!...นายแน่(+บ้า)มาก...คิดได้ยังไง!... :)

ตัวอย่างงานศิลปะประเภท Installation


Adam Brandejs ผลิต Genpets ด้วยสองมือ ผสมผสานตั้งแต่พลาสติก ยาง โฟม กระดาษ ไมโครชิป มอเตอร์ แผงวงจร ไฟฟ้า ระบบหุ่นยนต์ และคอมพิวเตอร์ซอฟต์แวร์ เป็นต้น วิธีการเริ่มจากแบบร่างจากสมองสู่การทำแม่พิมพ์ดินเหนียวไปจนถึงการหล่อ และผลิตจำนวนจำกัดเพียง 19 ชิ้นเท่านั้น ซึ่งจำหน่ายเหมือนงานศิลปะชิ้นอื่นๆ ในราคา 1,070 เหรียญสหรัฐสำหรับรุ่นที่เคลื่อนไหวได้ และ 715 เหรียญสำหรับรุ่นที่ไม่เคลื่อนไหว โดยไม่มีการผลิตจำนวนมากเพื่อผลประโยชน์ทางการค้าอย่างที่หลายคนเข้าใจ

"Genpets รุ่น 01" เป็นงานประเภทสื่อผสม ในรูปแบบของผลิตภัณฑ์ตุ๊กตาหุ่นสัตว์เลี้ยงหน้าตาประหลาด บรรจุอยู่ในห่อพลาสติกเข้ารูป มีแถบบอกความสดใหม่ กราฟแสดงการทำงานของหัวใจ ไมโครชิปฝังอยู่ในตัว ระบบสายยางให้อาหาร และหน้าจอ LCD ในรุ่น Getpets LCD สัตว์เลี้ยงชีววิศวกรรมนี้ มีให้เลือกถึง 7 อุปนิสัย ตามสีต่างๆ สามารถส่งเสียงได้ มีอายุขัยประมาณ 1 หรือ 3 ปี ขึ้นอยู่กับอุณหภูมิและความสด

"Genpets" เป็นการสะท้อนให้เห็นว่า หากวันหนึ่งในท้องตลาดเกิดมีสินค้าประเภทสิ่งมีชีวิตบรรจุอยู่ในหีบห่อ สามารถซื้อขายได้ สามารถใช้แล้วทิ้งได้ คุณจะคิดอย่างไรและอยากเป็นเจ้าของสินค้านั่นไหม เป็นโจทย์ที่ Adam Brandejs ตั้งขึ้น "ผมไม่ได้ต่อต้านเทคโนโลยีชีววิศวกรรม แต่ผมเพียงแค่ลังเลใจ เกี่ยวกับใครจะเป็นผู้ใช้เทคโลโลยีนี้ และใช้ที่ไหนและใช้อย่างไร" เขาแสดงความเห็นส่วนตัวอันเป็นที่มาของงานชิ้นนี้ที่เขาต้องการทดสอบแนวโน้มของผู้คลั่งสัตว์เลี้ยงกับเทคโนโลยีนี้ที่นับวันจะเป็นจริงมากยิ่งขึ้น ซึ่งเขายังยกตัวอย่าง ปลาเรืองแสงของบริษัท Glofish ในสิงคโปร์ที่ผลิตของมาเอาใจคนชอบเลี้ยงปลา และแมวสำหรับผู้ที่เป็นโรคภูมิแพ้จากบริษัท Allerca ในแอลเอ แคลิฟอร์เนีย โดยบริษัทเหล่านี้ทำการจำหน่ายจริง ไม่ใช่แค่งานศิลปะแบบเขาเท่านั้น...หลังจากที่เขาแสดงงานในแนวใหม่นี้ เขาได้รับการตอบรับที่เหนือความคาดหมายมากมาย อาทิ

1. ตัวประติมากรรม Genpets ในบรรจุภัณฑ์ดังรูปที่เห็น ได้แสดงในห้องแสดงศิลปะ และร้านค้า (ร้าน Iodine & Arsenic) ณ เมืองโตรอนโต ประเทศแคนาดา ในปี2550 และเขาก็ได้รับเชิญไปแสดงที่เมือง Alberta ที่อยู่ทางตะวันตกของแคนาดา และข้ามทวีปไปแสดงที่ V-Gallery ใน Basel ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ หลังจากที่เขาติดตั้ง Genpets ที่ร้าน Iodine ในโตรอนโต เจ้าของร้านต้องหอบหมอนมานอนเฝ้าร้าน เนื่องจากมีคนมาทุบหน้าต่างร้านอย่างโกรธแค้น เพราะคิดว่าเป็นสัตว์เลี้ยงที่มีชีวิตจริงๆ และถูกนำมาใส่บรรจุภัณฑ์แบบของเล่น บางคนประท้วงว่า การนำผลผลิตจากการทดลองทางชีวพันธุกรรมมาบรรจุกล่องพลาสติกจำหน่ายเป็นเรื่องผิดจริยธรรม บางคนก็อยากปลุกให้เจ้าตัวน้อยนี้ตื่นและซื้อกลับบ้าน ผู้ปกครองของวัยรุ่นหลายคนที่อยากเป็นเจ้าของ Genpets ถึงกับเกิดอาการสับสนและตะลึงงัน ซึ่ง Adam ก็ได้ตั้งคำถามอีกว่า "สัตว์เลี้ยงในกล่องพลาสติกแบบนี้แตกต่างจากสัตว์เลี้ยงในตู้กระจกหรือกรงตามร้านขายสัตว์เลี้ยงอื่นๆ หรือไม่อย่างไร"

2. เว็บไซต์ Genpets.com ถูกออกแบบมาให้เหมือนกับเว็บไซต์ที่มีวัตถุประสงค์ทางการตลาดของบริษัทใหญ่ๆทั่วไป โดยทั่วไปแล้วการเข้าถึงผลงานศิลปะชิ้นหนึ่งๆเป็นเรื่องจำกัด เขาจึงสร้างเว็บไซต์ขึ้นมาเพื่อให้เรื่องราวของ Genpets เข้าถึงคนหมู่มาก ทำให้การถกเถียงหรือการคิดถึงประเด็นเรื่องชีวิตและวิทยาศาสตร์กระจายออกกว้างยิ่งขึ้น ซึ่งจะพบว่าเขาประสบความสำเร็จมากในการนำเสนอรูปแบบนี้ อย่างไรก็ดี Adam มีความเห็นว่า การเห็นผลงานจริงดีกว่าเห็นจากรูปภาพหรือเว็บไซต์ เนื่องจากของจริงมีการเคลื่อนไหว มีแสงและเสียงปรากฏ ยิ่งให้ความรู้สึกจริงมากขึ้น

3. แค็ตตาล็อกงาน Genpets (มีให้ดาวน์โหลดในเว็บด้วย) เป็นงานวิทยานิพนธ์ของ Adam แทนที่เขาจะเขียนเป็นรายงานวิทยานิพนธ์แห้งๆ น่าเบื่อทั่วไปๆ เขาสร้างแค็ตตาล็อกจำนวน 20 หน้า เป็นการเพิ่มสร้างสรรค์แบบศิลปินตัวจริง ผลที่ได้คือ เขาจบการศึกษาพร้อมด้วยเกียรตินิยมเหรียญทอง

4. การใช้กลยุทธ์ "ไวรัล มาร์เก็ตติ้ง" (Viral Marketing) อันเป็นการตลาดแนวใหม่ในยุคไซเบอร์ เป็นการส่งข้อความหรืออีเมลต่อกันไปในระยะเวลาอันสั้นและจำนวนมาก ผ่านอีเมลลูกโซ่ หรือ Forward Mail ซึ่งเป็นวิธีการที่ได้ผลดีมาก บทความนี้ถือเป็นผลพวงของไวรัล มาร์เก็ตติ้งที่ได้รับจากอีเมลลูกโซ่ และผู้เขียนนำมาเขียนขยายความอีกทอดหนึ่ง ก่อให้เกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์กันอย่างล้นหลามเหนือความคาดหมาย

โฉมหน้า "Adam Brandejs"


"Adam Brandejs" เกิดที่เมือง Ottawa ประเทศแคนาดา จบการศึกษาระดับปริญญาตรี สาขาสื่อผสม คณะวิจิตรศิลป์ จาก Ontario College of Art & Design เขาไม่ได้เป็นแค่ศิลปิน แต่เขายังเป็นนักเขียนโปรแกรมอีกด้วย งานของเขามีตั้งแต่งานหุ่นจำลองเหมือนจริง งานสร้างเว็บไซต์ และงานประดิษฐ์หุ่นยนต์ งานชิ้นล่าสุดที่สร้างความภาคภูมิใจให้เขาไม่น้อยคือ งานสร้างหุ่นอสูรกายในภาพยนตร์เกาหลีเรื่อง "The Host" ซึ่งเป็นเรื่องที่ซ่อนประเด็นประเทศมหาอำนาจกับสิ่งแวดล้อมของโลกไว้ให้ผู้ชมได้เก็บไปคิดเป็นการบ้าน เช่นเดียวกับผลงาน "Genpets" ชมผลงานอื่นๆของเขาได้ที่ http://www.brandejs.ca/

“THE HOST” ภาพยนตร์ทุนสร้างสูงแนวแอคชั่น-ระทึกขวัญ ของผู้กำกับบอง จุน-โฮ คว้ารางวัลภาพยนตร์ยอดเยี่ยมในเวทีเอ็มบีซี ครั้งที่ 5 ที่กรุงโซล
ภาพยนตร์เรื่อง “THE HOST” ที่มีชื่อในภาษาเกาหลีว่า เกวมุล (Gwoemul) ซึ่งแปลว่า อสุรกาย ขึ้นแท่นภาพยนตร์ที่ทำรายได้สูงสุดเป็นประวัติการณ์ในเกาหลีใต้ เรื่องราวของครอบครัวที่ใช้ชีวิตอยู่ริมแม่น้ำฮัน อย่างสงบ แต่มาวันหนึ่งเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝัน เมื่อมีตัวประหลาดมากัดกินคนรอบตลิ่งริมแม่น้ำที่กลายสภาพเป็นนรกภายในพริบตา พร้อมกับจับตัวเด็กสาวหายไปในแม่น้ำ ซึ่งที่จริงแล้วอสุรกายตัวนั้นคือ ร่างที่เกิดจากเชื้อโรคกลายพันธุ์ซึ่งมาจากการที่กองทหารอเมริกันทิ้งสารพิษลงแม่น้ำฮัน ที่เป็นแม่น้ำสายสำคัญของกรุงโซล เทคนิคพิเศษของหนังเรื่องนี้เรียกผู้ชมได้กว่า 12 ล้านคน คิดเป็น 1 ใน 4 ของประชากรทั่วประเทศ ท่ามกลางเสียงวิจารณ์ที่สหรัฐยังประจำการทหารอยู่ในเกาหลีใต้มาตั้งแต่สมัยสงครามเกาหลีเมื่อ 53 ปีก่อน

ตัวอย่างฉากตอน สัตว์ประหลาดอาละวาด ใน The Host

วันพฤหัสบดีที่ 4 มิถุนายน พ.ศ. 2552

สัจธรรมฝันหลอนของ Jan Švankmajer

"Jan Švankmajer" ศิลปินหนังสั้น Stop-Motion(ถ่ายภาพวัตถุทีละชอต ขยับทีละนิด แล้วนำมาประกอบเป็นภาพเคลื่อนไหว)นอกกระแส Jan Švankmajer เกิดวันที่ 4 กันยายน 1934 ณ กรุงปราก ประเทศเชคโกสโลวาเกีย ผลงานส่วนใหญ่สร้างสรรค์ในสไตล์เหนือจริง(Surrealism) เต็มไปด้วยการมีชีวิตของข้าวของ เฟอร์นิเจอร์พังๆ ตะปูขึ้นสนิม โดยเฉพาะรูปปั้นดินเหนียวและอวัยวะสัตว์!!! ด้วยมุมมอง-แนวคิดที่ล้ำลึกผนวกฝีมือการนำเสนออันน่าพิศวง เขาจึงได้รับการยกย่องเป็นปรมาจารย์ทางด้าน Stop-Motion คนหนึ่งของโลก เนื้อหาภาพยนตร์ส่วนใหญ่จะออกเป็นแนวสะท้อน-เสียดสีความจริงในชีวิตและสังคม ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง เซ็กซ์ ความตาย อำนาจ การเมือง ฯลฯ...ให้ความรู้สึก ฝันหลอนสยองซ่อนขบขัน!...

ด้วยผลงานส่วนใหญ่มีรูปแบบการนำเสนอที่ชวนตื่นตระหนก! ลึกลับ! ด้านมืด!...บ้างก็ซ่อนนัยยะทางการเมืองไว้อย่างแหลมคม ทำให้งานของเขาไม่เป็นที่พึงปรารถนาของรัฐบาล โดยเฉพาะเมื่อโซเวียตกรีทาทัพเข้ายึดเชค ในปี1968 หนังทั้งหมดของเขาก็ถูกแบนและกลายเป็นหนังต้องห้ามในประเทศ เขาจึงจำต้องสร้างสรรค์งานอย่างเงียบๆหลบๆซ่อน จนกระทั่งปี 1982 "DIMENSION OF DIALOGUES" ไปคว้ารางวัลจากเทศกาลหนังโลก ชาวโลกจึงค่อยๆได้รู้จักเขา แต่กว่าชาวเชคจะได้ดูหนังของเขาอย่างเป็นเรื่องเป็นราวก็ต้องรอถึง 20กว่าปี ในคือในปี 1989 โน้นทีเดียว...


"Food"
: วัตถุนิยม-บริโภคนิยม แข่งกันเป็นเครื่องผลิตอาหารของกันและกัน แข่งกันบริโภค ลงท้ายกินกันเอง...



..............

"Dimension of Dialogues" : ตาต่อตา ฟันต่อฟัน...


..............

"MeatLove" : ความรัก = ก้อนเนื้อ 2 ก้อน...???


..............

"Oscuridad- luz-Oscuridad" : ตา หู จมูก ลิ้น กาย...สมอง...


..............

"Flora" : ร่างกาย เน่าเปื่อย ผุพัง...


..............

"The Death Of Stalinism In Bohemia" : ชำแหละ อุดมการณ์ อำนาจ...



ดูเรื่องอื่นๆ ไปที่เว็บ You Tube พิมพ์คำว่า JAN SVANKMAJER

วันจันทร์ที่ 1 มิถุนายน พ.ศ. 2552

ไมเคิล แจ็คสัน ใน Britain's Got Talent

ได้เข้าดูรายการ Britain's Got Talent ใน Youtube บ้างเป็นบางตอน สนุกสนาน บันเทิงดี เป็นรายการของอังกฤษ ที่ให้ผู้สมัครแสดงความสามารถอะไรก็ได้ เพื่อคัดเพียงหนึ่งเดียวสำหรับเงินรางวัลก้อนโต (แต่ส่วนใหญ่ร้องเพลงกับเต้น) โดยมีกรรมการสามคนเป็นผู้ตัดสิน เหตุที่รายการนี้ดังเป็นที่สนใจไปทั่วโลกต้องยกเครดิตให้ ป้าซูซาน บอยล์ วัย 47 ด้วยเสียงร้องที่ไม่สมดุลย์กับวัยและรูปลักษณ์ ในเพลง I Dreamed a Dream ที่ใครได้ชมเป็นต้องอึ้ง ! จนสื่อต่างๆทั่วโลกต่างพากันเผยแพร่ประโคมข่าว หลังจากนั้นผู้คนทั่วโลกก็แห่เข้าไปชมใน Youtube และเป็นการสร้างสถิติคนเข้าดู Link สูงสุด ยอดผู้ชม กว่า 20 ล้านครั้ง ภา่ยใน 7 วัน ! และ ป้า ก็กลายเป็นเต็งหนึ่งของรายการ

ท้ายที่สุดถึงแม้ผลปรากฎว่า... ป้าได้เป็นที่ 2 โดยแพ้กลุ่มนักเต้น "Diversity" มีแฟนรายการคนหนึ่งคอมเมนต์ในเว็บใช้คำน่าสนใจ... "Diversity is Winner but Susan Boyle is Forever." คมคายดี เพิ่งเข้าใจว่า... ผู้ชนะ กับ ผู้ที่จะอยู่ในใจไปตลอดกาล มันต่างกัน :)


I Dreamed a Dream โดย ป้าซูซาน บอยล์(Susan Boyle)

เพลง "I Dreamed a Dream" ประพันธ์โดย "Alain Boublil" และทำดนตรีโดย "Claude-Michel Schonberg" เพื่อให้ผู้แสดงเป็น "ฟังทีน" ขับร้องในละครเพลง "Les Miserables(เหยื่ออธรรม)" หนึ่งในผลงานเรื่องที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในยุโรป จากบทประพันธ์ของ "Victor-Marie Hugo" ชาวฝรั่งเศส...เรื่องราวว่าด้วย "ฟังทีน" พบกับความสูญเสีย เธอไร้งาน คนรักทอดทิ้ง และรับภาระเลี้ยงลูกที่เพิ่งให้กำเนิด และกลายเป็นโสเภณีในที่สุด เป็นบทเพลงที่สะท้อนชีวิตคนที่ได้รับความอยุติธรรมในสังคมเป็นอย่างดี


ต้นฉบับ I Dreamed a Dream : พลังเสียงเหนือชั้นโดย Ruthie Henshall



ส่วนตัวแล้วเป็นคนหนึ่งที่ชอบ "ไมเคิล แจ็คสัน" ไม่ได้ชอบตรงการศัลยกรรมพลาสติกหรือข่าวคาวตุ๋ยเด็กนะอย่าเข้าใจผิด 555 แต่ชื่นชมในการสร้างสรรค์งานเพลงและมิวสิควิดีโอ โดยเฉพาะลูกเล่นในการแสดงบนเวทีคอนเสิรต์ เสียงร้องที่มีเอกลักษณ์+การเต้นแบรกแดนซ์มูนวอร์คลีลาสุดพริ้วหาตัวจับยาก อีกทั้งทีมเวิร์คความพร้อมเพรียงของทีมแดนเซอร์... แล้วเกี่ยวอะไรกับ Britain's Got Talent...ใจเยน เยน


ข้อสังเกตอย่างหนึ่งพบว่ารายการ Britain's Got Talent นี้...มีผู้ประกวดฉบับ ไมเคิล แจ็คสัน แทรกตัวอยู่เต็มไปหมด! ผู้ประกวดที่เข้ารอบท้ายๆส่วนใหญ่ก็นำเพลงหรือแนวการแสดงคอนเสริต์ของ ไมเคิล แจ็คสัน มาใช้ในการแสดงของตน และผู้ชนะเลิศของรายการปี2009นี้ ผู้ล้มเต็งหนึ่งป้าซูซาน คือกลุ่มนักเต้น "Diversity" ก็ได้ประยุกต์การเต้นเป็นทีมสไตล์ ไมเคิล แจ็คสัน มาใช้ในการแสดงของตนในหลายรอบเช่นกัน... งานนี้แสดงให้เห็นได้ว่า ไมเคิล แจ็คสัน ยังคงเป็นแรงบันดาลใจในวงการเพลง-วงการบันเทิงที่สำคัญคนหนึ่งของโลกในปัจจุบัน แม้ช่วงหลังจะมีข่าวไม่ค่อยสุนทรีย์ออกมาเป็นระยะและได้เงียบหายจากวงการเพลงไปนานพอสมควรแล้วก็ตามที...(หรือกรรมการตัดสินลำเอียงเพราะตัวเองชอบไมเคิล แจ็คสัน ฮึ ๆ ๆ ล้อเล่นครับ...เห็นด้วยกับผลการตัดสิน)


กลุ่มนักเต้น Diversity ผู้ชนะเลิศ Britain's Got Talent 2009



"Flawless Dance Group" เมดเลย์ ไมเคิล แจ็คสัน



ผู้เข้าแข่งขันนาม "Signature" ไมเคิล แจ็คสัน ล้วนๆ


การแสดงบนเวทีคอนเสริต์ฉบับมืออาชีพ "ไมเคิล แจ็คสัน" ตัวจริงเสียงจริง


ชาฮีน วัย 12 ปี ผู้เข้ารอบสุดท้ายอีกคนหนึ่ง ใช้เพลง"Who's Loving You" ของวง "Jackson 5"(ไมเคิล แจ็คสันตอนเด็ก)



ต้นฉบับเสียงร้องเพลง"Who's Loving You" ไมเคิล แจ็คสัน ตอนเด็ก... "เคิ้ล"เกิดมาเพื่อสิ่งนี้!จริงๆ :)



............................................................


นี่ไม่ใช่ ไมเคิล แจ็คสัน ตอนที่ยังไม่ทำศัลยกรรม แต่เป็น ที่สุดของที่สุดเท่าที่เคยมีมาในรายการ Britain's Got Talent...555