วันอังคารที่ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2552

นิยายเรื่องทฤษฎีวิวัฒนาการ

เคยนำเสนอเนื้อหาว่าด้วยเรื่องเกี่ยวกับ "ทฤษฏีวิวัฒนาการ" มาแล้วครั้งหนึ่งในหัวข้อ...ชาลส์ ดาร์วิน "ฤามนุษย์เป็นได้แค่สัตว์ร้าย" และเผอิญไปพบเห็น ป้ายโฆษณาขนาดใหญ่รณรงค์ ลดความอ้วน ปรากฏทั่วไปตามสีแยกหรือริมทางต่างจังหวัด ทำนองรูปด้านล่างนี้ ...จึงวกกลับมานึกถึง ทฤษฏีวิวัฒนาการ อีกครั้ง... (555)


แลมมาค(Lamarck) เพื่อนชาร์ลส์ ดาร์วิน(Charles Darwin) มีความเชื่อว่า สิ่งมีชีวิตจะถ่ายทอดลักษณะพิเศษเฉพาะตัวที่มีอยู่ไปสู่รุ่นต่อไป...ยีราฟวิวัฒนาการมาจากสัตว์ที่คล้ายกวาง นั่นก็คือลำคอของสัตว์จำพวกนี้จะค่อยๆยืดออกไปตามกาลเวลาจากรุ่นหนึ่งไปสู่อีกรุ่นหนึ่ง ทั้งนี้ก็เนื่องมาจากมันพยายามที่จะเอื้อมไปกินใบไม้ที่อยู่บนกิ่งสูงๆ และ Lamarck ก็มีไอเดียที่น่าสนใจว่า... ถ้าแขนของคนในสมาชิกในครอบครัวถูกตัดออกเป็นเวลาหลายชั่วอายุคน เด็กที่เกิดขึ้นมาใหม่ในภายหลังก็จะเริ่มแขนกุดหรือไม่มีแขน!...

ดาร์วิน ได้แรงบันดาลใจมาจากสหายแลมมาค จึงได้ท่องโลกและเขียนหนังสือทฤษฎีวิวัฒนาการที่รู้จักกันดี "The Origin of Species" และได้ให้กรอบความคิดทำนองเดียวกับ แลมมาค ว่า หมีบางชนิดที่พยายามหาเหยื่อในน้ำจะวิวัฒนาการไปเป็นปลาวาฬได้ในที่สุด ...โดยเหตุที่ต้องมีการวิวัฒนาการก็เพราะ ดำรงชีวิตให้อยู่รอดต่อไปได้ เพื่อจะได้แพร่ของตนพันธุ์ให้เยอะที่สุด สืบทอดเผ่าพันธุ์ให้ดำรงอยู่ต่อไปได้ยาวนานที่สุด

ถ้าระบบธรรมชาติเป็นไปอย่างทฤษฎีวิวัฒนาการที่ ดาร์วินและแลมมาคว่าไว้จริง จากภาพบนนี้... หากคนใจรักในการกินมูมมามกินไม่หยุด+ทำตัวเหมือนหมูต่อเนื่องจากรุ่นสู่รุ่นไปเรื่อยๆ(ล้านๆปี)แล้ว ก็จะสามารถค่อยๆกลายพันธุ์ไปเป็นหมูได้ในที่สุด (ฮา!) และมองกลับกันกรณีสัตว์เลี้ยงที่อยู่คลุกคลีกับคนนานๆอย่างหมา-แมว เจ้าของบางคนรักมันมากเหมือนคนคนหนึ่ง พูดจาสนทนาด้วย-ไปไหนไปกัน ก็ย่อมเป็นไปได้ที่รุ่นลูกรุ่นเหลนของมันในอนาคตจะค่อยวิวัฒนาการตัวเองให้กลายเป็นคนเพื่อจะได้ปรับตัวอยู่รอดได้ดีขึ้นในการใช้ชีวิตเป็นเพื่อนกับคน(ถ้าคนไม่วิวัฒนาการเป็นสัตว์เลี้ยงที่ตนรักไปเสียก่อน กร๊ากกก)

ยังไม่มีใครยืนยันว่าทฤษฎีวิวัฒนาการจะจริงแท้แค่ไหน แต่วิถีชีวิตผู้คนในโลกก็ถูกครอบงำโดยทฤษฎีวิวัฒนาการไปแล้วกว่าค่อนโลกนับแต่อดีตยันปัจจุบัน! (ทุกคนต่างมุ่งแข่งขันมุ่งแพร่พันธุ์ของตนให้เยอะที่สุดเท่าที่จะเยอะได้ 555 ...อาจไม่ได้แสดงออกมาในรูปการแพร่พันธุ์ทางร่างกายอย่างเดียว แต่รวมไปถึงการขยายพันธุ์แบบอื่นๆด้วย อาทิ ขยายพันธุ์สาขาธุรกิจ แพร่พันธุ์สินค้า-ผลิตภัณฑ์ แพร่พันธุ์ความเชื่อของตน ฯลฯ :)

เท่าที่พิจารณาดู ทฤษฎีวิวัฒนาการจะเป็นจริงปราศจากข้อกังขา ก็ต่อเมื่อปรากฏว่ามีสิ่งที่มีชีวิตที่มีรูปลักษณ์อยู่ในช่วงครึ่งๆกลางๆที่กำลังจะกลายพันธุจากชนิดหนึ่งไปสู่อีกชนิดหนึ่ง เช่น กรณีสัตว์เลื้อยคลานวิวัฒนาการไปเป็นนก ก็จะต้องมีฟอสซิลที่อยู่ในลักษณะทำนองครึ่งตัวเป็นนกอีกครึ่งตัวเป็นสัตว์เลื้อยคลาน และสัตว์เช่นนั้นก็จะต้องมีอวัยวะที่ยังไม่สมบูรณ์หรือยังไม่พัฒนาเป็นตัวนกจริงๆเต็มรูปแบบ...แต่ปัจจุบันยังไม่มีหลักฐานทำนองนี้ชัดเจนนัก (เท่าที่เห็นตอนนี้ก็มีแต่ นักการเมืองบ้านเรา หลายท่านกำลังอยู่ในช่วงวิวัฒนาการไปเป็นสัตว์เลื่อยคลาน... อุ๊ปป!!)

โดยส่วนตัวไม่ซีเรียสว่า ทฤษฎีวิวัฒนาการจะจริงหรือไม่ เพราะไม่มีใครตอบได้หรอกว่าอะไรจริงแท้ 100% ขึ้นอยู่กับหลักฐาน เหตุผล กับความเชื่อส่วนบุคคล อาจจะจริงบางมุมแต่อาจจะไม่จริงในบางแง่มุมก็ได้...แต่ถ้าเราลองมองทฤษฎีวิทยาศาสตร์ รวมทั้งทฤษฎีวงการอื่นๆไม่ว่าจะเป็น ศิลปะ ปรัชญา ศาสนา สังคมศาสตร์ เศรษฐศสตร์ ฯลฯ ให้เป็นความบันเทิงเยี่ยงวรรณกรรมชิ้นหนึ่งแล้ว จะพบว่า ทฤษฎีต่างๆล้วนเป็นวรรณกรรมชั้นเยี่ยม บ้าดี! มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว เต็มไปมุมมองพล็อตเรื่องอันน่าพิศวง อาทิ เรื่องหลุมดำ บิ๊กแบ๊ง สสารพลังงาน สิ่งมีชีวิตต่างดาว แนวคิดของพระเจ้าสร้างจักรวาล ทะเลนอกจักรวาล(สีทันดร) แนวคิดเรื่องสังคมประชาธิปไตย สังคมคอมมิวนิสต์ ฯลฯ โดยเฉพาะทฤษฎีวิวัฒนาการ แนวคิดที่ว่าด้วย...สัตว์เซลล์เดียว...การกลายพันธุ์แบบผ่าเหล่าฉับพลัน(Mutation) ...เป้าหมายของธรรมชาติ...ฯลฯ...ล้วนอุดมไปด้วยจินตนาการ ความคิดสร้างสรรค์ เป็นแหล่งให้แรงบัลดาลใจและไอเดียใหม่ๆได้เสมอ แม้ในที่สุดมันจะเป็นเรื่องไม่จริงหรือเรื่องโกหกก็ตาม...

บางทีเรื่องโกหกอย่างมีหลักการก็ทำให้โลกมีสีสันไม่น่าเบื่อจนเกินไป นะ :)

1 ความคิดเห็น: