วันพุธที่ 19 สิงหาคม พ.ศ. 2552

เราทำเกินฝรั่งไปเยอะเลย :)

เมื่อต้นเดือนนี้(สิงหาคม) ได้มีการจัดแถลงข่าวเกี่ยวกับ รัฐบาลได้สนับสนุนการสร้างภาพยนตร์ "ตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราช" อย่างเป็นทางการ เพื่อปลูกจิตสำนึกให้คนไทยเกิดความรักชาติ สามัคคี และกระตุ้นให้เกิดความภาคภูมิใจในชาติไทยเราเอง...โดย ม.จ. ชาตรีเฉลิม ยุคล หรือ ท่านมุ๊ย นั้นกล่าวกับสื่อว่า...นเรศวรทั้งภาค 3 และ 4 นั้นได้ดำเนินการถ่ายทำไปพร้อมกันแล้วเสร็จไปกว่า 60% โดยเฉพาะภาค 3 นั้นถ่ายทำไปราว 80% แล้ว เหลือเพียงไม่กี่ฉากเท่านั้น รับรองว่าจะนำออกฉายในช่วงปลายปี(2009)นี้ แน่นอน

พูดถึง หนังพระนเรศวร ก็ทำใหย้อนไปนึกถึง หนังสุริโยไท เคยดูสุริโยไท มานานหลายปีมาแล้ว ตั้งแต่ช่วงที่เข้าโรงใหม่ๆ เกือบจะลืมไป แต่ยังไงก็ยังจำวลีอมตะของ ท่านมุ๊ย เกี่ยวกับหนังเรื่องนี้ได้อย่างขึ้นใจชนิดที่ไม่มีวันลืมเลือน ท่านกล่าวไว้ว่า "เราทำเกินฝรั่งไปเยอะเลย" ฮึ ๆ ๆ

- หม่อมเจ้าชาตรีเฉลิม ยุคล หรือ ท่านมุ๊ย -

ฤกษ์งามยามดี จึงดูหนังสุริโยไทซ้ำอีกรอบ คราวนี้ดูฉบับDVD(ที่ซื้อทิ้งไว้ แต่ไม่เคยได้ดูจบ) สุริโยไทเวอร์ชั่นสมบูรณ์ 5 ชั่วโมงเต็ม และวันต่อมาก็ต่ออีกยกด้วยหนังเรื่องพระนเรศวรทั้ง 2 ภาค...ต้องยอมรับว่าการดูหนังเรื่องยาว 2 เรื่องนี้ถ้าไม่มีพื้นประวัติศาสตร์ สุโขทัย-อยุธยา อยู่บ้าง อาจปะติดปะต่อเรื่องราวลำบากหน่อย เพราะตัวละครเยอะมาก ลูกใครหลานใคร-มีที่มายังไงก็ไม่รู้ อยู่ๆก็โผล่มาอีรุงตุงนังไปหมด(แต่ผมชอบ เฒ่านก ที่แสดงโดย น้าหงา คาราวาน นะ 555 และที่สุดยอดกว่านั้นคือ เขาทรายแกแลคซี่ ในบท ขุนศึกเสือหมอบแมวเซา กร๊ากกกก) หากไม่มีพื้นความรู้ก็กลายเป็นว่าได้แค่ดูฉากอลังการแทน เผลอๆมึนหลับไปเลย(ฮา) แต่นับว่าโชคดีที่ผมได้เคยฟังรายการวิทยุดีๆเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ไทย สุโขทัย-อยุธยา ของ อ.วีระ ธีรภัทร กับ อ.สุเนตร ชุตินธรานนท์( อ.สุเนตร ยังเป็นผู้ให้ข้อมูลด้านประวัติศาสตร์ ของหนังทั้ง 2 เรื่องนี้ด้วย) รายการวิทยุชุดนี้มีประโยชน์มาก ควรทำเป็น Audio CD แจกแถมไปกับ DVD หนัง สุริโยไท-นเรศวร นะ

จากการที่ได้เคยฟังรายการวิทยุของ อ.ทั้งสอง ทำให้เห็นภาพรวมความเป็นไปในยุค สุริโยไท-พระนเรศวร กระจ่างชัดเจนยิ่งขึ้น ที่สำคัญดูหนังสนุกขึ้น และได้มุมมองใหม่ๆทางประวัติศาสตร์ที่ต่างไปจากที่เคยเล่าเรียนผ่านมา นั้นคือ...ประเทศไทยไม่ได้พัฒนาเป็นแนวดิ่งจาก สุโขทัย-มาอยุธยา-มาธนบุรี-ถึงรัตนโกสินทร์ อย่างที่เข้าใจกัน เผลอๆเรื่องราวประวัติศาสตร์ส่วนใหญ่ที่เขาให้เราเรียนกันมาสมัยเป็นนักเรียนนั้น เพิ่งมาแต่งขึ้นในช่วงพวกฝรั่งล่าอาณานิคมสมัยรัชกาลที่ ๔ ที่ ๕ นี้เอง! (อย่างกรณี บางระจัน ก็มีบันทึกไว้ในพระราชพงศาวดารฉบับพระราชหัตถเลขา ของสมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ(ช่วง ร.๕)เท่านั้น ยังไม่พบปรากฏในพงศาวดารหรือบันทึกทางประวัติศาสตร์ฉบับอื่น แม้แต่พงศาวดารร่วมสมัยคราวสงครามเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่ 2 หรือแม้แต่ในพงศาวดารของฝ่ายพม่าเอง)...ช่วงยุคสมัยในหนังทั้งสุริโยไท-นเรศวร ความสำนึกในความเป็นไทยก็ยังไม่เกิดขึ้นเลยแม้แต่การเป็นสยามประเทศก็ยังไม่มี ต่างคนต่างกลุ่มต่างอยู่กระจายตัวเป็นกลุ่มก๊วนนครรัฐ ไม่ว่าจะอาณาจักรขอม, มอญ, พุกาม, สุโขทัย, พิษณุโลก, อยุธยา, ล้านนาเชียงใหม่, ล้านช้างลาว, ศรีวิชัย, นครศรีธรรมราช, ปัตตานี ฯลฯ ต่างคนต่างอยู่อาจจะมีความสัมพันธ์เกี่ยวดองทางเครือญาติแต่งงาน-ช่วยเหลือกันบ้างหรือเป็นประเทศราชส่งส่วยให้กัน แต่ก็ไม่ได้จัดเป็นประเทศนั้นประเทศนี้เหมือนอย่างที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน อาทิ ล้านนาเชียงใหม่ก็เป็นอาณาจักรอิสระและมีความสัมพันธ์กับฝ่ายตองอูพม่าดูจะลึกซึ้งใกล้ชิดกว่าอยุธยาด้วยซ้ำไป, อาณาจักรศรีวิชัย-นครศรีธรรมราช, อาณาจักรตานี หรือปัตตานี(ในหนังปืนใหญ่โจรสลัด)ก็อยู่แยกเอกเทศไปต่างหาก, ส่วนพวกจีนก็เข้ามาตั้งถิ่นฐานภายหลังก็แค่ประปรายยังไม่เยอะเหมือนยุครัตนโกสินทร์หรือยุคปัจจุบันนี้

และการตั้งอาณาจักรในอดีตจะว่าไปก็คือ การที่กลุ่มมาเฟียหรือกลุ่มนักเลงแต่ละถิ่นต่อสู้แย่งชิงความเป็นใหญ่กัน ใครจะแพ้จะชนะก็ขึ้นอยู่กับว่ามาเฟียกลุ่มไหนจะมีกลยุทธ์ดีกว่า ทีมงานดีกว่ารบเก่ง สถานะการณ์แวดล้อม-เสบียงเอื้ออำนวยกว่า และที่สำคัญได้การใจมหาชนมากกว่า...ส่วนผู้แพ้ก็ย่อมจะตกเป็นประเทศราชต้องส่งส่วย-เครื่องบรรณาการให้ผู้ชนะ ผู้ที่เป็นฝ่ายชนะเสร็จศึกแล้วก็มักจะกวาดต้อนผู้คนและทรัพย์สัมบัติของเมืองผู้แพ้ไปไว้ที่เมืองหรือถิ่นตน อาทิ เมื่ออาณาจักรตองอู(พม่า)ชนะอาณาจักรอยุธยา ก็กวาดชาวอยุธยาไปอยู่ที่ตองอู ทั้งนี้ก็เพื่อให้ไปตั้งถิ่นฐานที่โน้นจะได้ใช้เป็นแรงงาน ทำงานส่งส่วย-ส่งภาษีเลี้ยงพวกพ้องมาเฟียราชนิกูลของตน รวมทั้งใช้เป็นกำลังทหาร จากตัวอย่างกรณีนี้...เมื่อชาวอยุธยาไปอยู่พม่านานวันเข้าก็ย่อมถูกกลืนพูดจาภาษาพม่า บ้างก็ไปได้คู่ครองเป็นคนพื้นเมืองพม่าเอง จึงค่อยๆมีวิถีชีวิตวัฒนธรรมแบบพม่า นานวันเข้าก็กลายเป็นคนพม่าไปในที่สุด...อยุธยาชกวาดต้อนชาวเขมร-มอญมาอยู่ในอยุธยา, ขอมกวาดต้อนสุโขทัย, พม่ากวาดต้อนล้านช้าง-ล้านนา ผลัดกันแพ้ชนะผลัดกันกวาดต้อนผู้คนไปมา... พิจารณาจากคามเป็นไปทำนองนี้ก็พอจะสันนิษฐานได้ว่า ดินแดนแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ คงมีการผสมสายเลือด-สายพันธุ์คละเคล้าปนกันไปผสมกันมานับครั้งไม่ถ้วนกินเวลายาวนานนับร้อยนับพันปี จนเกือบจะกลายเป็นเนื้อเดียวกันโดยช่วงหลังๆมีชาวจีนอพยพ มาปักหลักทำมาหากินก็ผสมเข้าไปอีกชั้นหนึ่ง...

...บ้านใครที่ติดทีวีเคเบิ้ลหรือจานดาวเทียม สามารถดูพวกช่องทีวีพม่า เขมร ลาว เวียดนาม ได้ ก็จะได้เห็นว่าภาพรวมของลักษณะหน้าตาผู้คนทั่วๆไปที่เห็นในทีวี หน้าตาแทบก็ไม่ต่างกันกับคนไทยเราเลยแทบจะแยกไม่ออก...จะว่าไปแล้ว เราต่างก็เป็นพี่น้องร่วมสายเลือดกัน ต่างกันแค่ถิ่นที่อยู่และบัตรประชาชน แค่นั้นเอง

- อยุธยาเมืองเก่าของเราแต่ก่อน -

ประเด็นสำคัญอีกอย่างที่ทำให้ผมฉุกคิดหลังจากดูหนัง พระสุริโยไทและพระนเรศวรของท่านมุ๊ย คือ "การเสียกรุงศรีอยุธยา" เรารู้กันทั่วไปว่าเสียครั้งแรกโดยการโจมตีของผู้ยิ่งใหญ่ฝั่งตองอูพม่า "บุเรงนอง"ผู้ชนะสิบทิศ และยุคต่อมาก็กอบกู้เอกราชกลับมาได้โดยผู้ยิ่งใหญ่ฝั่งอยุธยาไทย "สมเด็จพระนเรศวรมหาราช" นั้นเอง... (บ้างก็ว่าอยุธยาเสียกรุงครั้งแรกตั้งแต่ สมัยสุริโยไทขาดคอช้างแล้ว)

พระเจ้าบุเรงนองวัยหนุ่มใหญ่ ในภาพยนตร์ พระนเรศวรมหาราช รับบทโดย สมภพ เบญจาธิกุล

...ส่วนการเสียกรุงครั้งที่ 2 นั้นในเกิดยุคสมัยพระเจ้ามังระราชวงศ์อลองพญาของพม่า...ได้กลับไปค้นหนังสือเก่าๆหลายเล่ม(ที่มักจะซื้อมาทิ้งไว้นานแล้วไม่มีโอกาสได้อ่าน) ด้วยอยากรู้ว่า เราเสียกรุงเพราะเหตุอันใด...อ.ชาญวิทย์ เกษตรศิริ ได้สรุปสาเหตุที่ทำให้เสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่ 2 เอาไว้ ดังนี้

1. ผู้ปกครอง-เจ้าขุลมูลนายในอยุธยาช่วงชิงอำนาจกันเองอย่างต่อเนื่องตลอดเวลา เป็นผลให้อาณาจักรอ่อนแอ ขายเสถียรภาพ

2. ช่วงหลังๆอยุธยาเว้นว่างสงครามมานานทำให้ชะล่าใจไม่เตรียมพร้อมกองทัพ ไม่ได้มีการปรับปรุงพัฒนา ทหารจึงไม่เข้มแข็ง อีกทั้งยังไม่มีการสะสมกำลังอาวุธ

3. เกี่ยวกับไพล่พล ในยุคนั้นประชาชนถูกกดขี่ขูดรีดมาก ทำงานส่งส่วยให้เจ้าขุนมูลนายโดยไม่ได้รับผลตอบแทน ทำงาน 6 เดือนต่อปี แม้แต่ผักบุ้งที่เกิดขึ้นตามรั้ววังเอง ถ้าใครเก็บไปขายก็ยังต้องเสียภาษี ชายฉกรรจ์จึงมักหนีไปบวช หนีเข้าป่า ส่วนพวกที่อยู่ในกรุง ชีวิตยากลำบากมาตลอดเมื่อถึงครารบก็ไม่มีกำลังใจต่อสู้ เพราะมองว่าสงครามเป็นของพวกเจ้าผู้ปกครอง ทุกวันนี้รับใช้เจ้านายผู้ปกครองชีวิตลำเค็ญอยู่แล้ว สู้ไปแพ้ชนะประชาชนก็ไม่ได้มีสวนได้ส่วนเสียอะไร

4. อยุธยาตอนปลายเกิดปัญหาเศรษฐกิจตกต่ำ เพราะนโยบายกีดกันฝรั่งทำให้พ่อค้าชาวต่างชาติเมินที่จะทำมาค้าขายกับอยุธยาไปในที่สุด อีกทั้งการปลูกข้าวในอยุธยาตอนปลายนั้นก็ได้ผลไม่สู้ดีนัก เพราะแรงงานขาดแคลน ประสบภัยน้ำท่วม-ฝนแล้งเป็นนิจ

..............................

ปล. "สีสันของประวัติศาสตร์อยู่ที่การถกเถียงตีความได้หลากหลายแง่มุม ประวัติศาสตร์จะมีข้อเท็จจริงประการใดนั้นไม่สำคัญ สำคัญที่เนื้อหาในประวัติศาสตร์จะสามารถประยุกต์ใช้หรือให้แง่คิดอะไรในการใช้ชีวิตในปัจจุบันมากกว่า การศึกษาประวัติศาสตร์ไม่ว่าในแง่มุมใดย่อมมีประโยชน์เสมอ" :)

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น