วันจันทร์ที่ 25 พฤษภาคม พ.ศ. 2552

สิ่งใดไม่รู้ สมมุติมันขึ้นมา

ปก CD ชุด ในทรรศนะของข้าพเจ้า โดย มาโนช พุฒตาล

นี้คืองานดนตรีแนว Rock โดยร็อคเกอร์ไทยรุ่นใหญ่ ไม่ใช่เพลงแนวตลาดรักซ้ำซากหรือวงดนตรีที่สร้างภาพตัวเองเป็นอินดี้ ติสแดก! แต่ดนตรีมั่วๆเนื้อหาชวนฟุ้งซ่านปวดหัว! เป็นงานสมบูรณ์แบบไร้ที่ติทั้งเอกลักษณ์พลังเสียงร้อง ฝีมือการสร้างสรรค์ทำนองและเนื้อหาเพลงอันอุดมไปด้วยพลังแห่งพุทธิปัญญา แง่คิดมุมมอง และจินตนาการ งานดนตรีโดยคนไทยคุณภาพระดับนี้ในยุคปัจจุบันหาฟังได้ยากเต็มที!

*ข้อแนะนำ : ถ้าคุณคิดจะชื้อเพลงอัลบั้มนี้(หายากหน่อยนะ) คงต้องซื้อ 2 ก็อปปี้ ชุดหนึ่งไว้เปิดฟัง อีกชุดหนึ่งเอาไว้บนหิ้งเพื่อไว้กราบก่อนนอน(ฮา! :)

เพลง : โลกสมมุติ / อัลบั้ม ในทรรศนะของข้าพเจ้า โดย มาโนช พุฒตาล


...

มนุษยชาติสงสัย ศึกษาและค้นคว้ามานมนานแล้วว่า... ชีวิตคือะไร, ชีวิตมาจากไหน, มีพระเจ้าสร้างหรือไม่ จักรวาล-ธรรมชาติ-ชีวิตและสรรพสิ่งทั้งปวงที่ปรากฏขึ้นและวิวัฒนาการเรื่อยมานี้มีจุดมุ่งหมายอะไรหรือเปล่า? ความปรารถนาใคร่รู้นี้รุนแรงถึงขนาดมนุษย์ยุคปัจจุบันต้องลงทุนมหาศาลสร้างองค์กรอย่าง "NASA" หรือ "CERN" ฯลฯ เพื่อหาคำตอบ!

CERN : ปฏิบัติการค้นหาความลับของจักรวาล

มีคนถามปัญหาทำนองนี้กับพระพุทธเจ้า แต่ท่านไม่ตอบและเรียกเรื่องทำนองนี้ว่า "อจินไตย" หรือสิ่งที่ไม่ควรคิด เนื่องจากถ้าขืนคิดจะมีส่วนของความเป็นบ้า! เพราะสิ่งเหล่านี้มิอาจบรรลุได้ด้วยการคิด และเรื่องทำนองนี้ถึงแม้ท่านตอบไปคนฟังก็มิอาจพอใจได้เพราะไม่ได้เห็นด้วยตัวเอง ตอบไปก็จะก่อให้เกิดการถกเถียงเสียเวลาเปล่า แต่ท่านก็ไม่ได้ตัดบทเสียทีเดียวว่าจะรู้สิ่งเหล่านี้ไม่ได้ เพียงแต่ให้สติว่าอย่าไปใช้วิธีนั้งคิดเดี๋ยวจะบ้าได้ และท่านก็แนะนำเสริมว่า...ในชีวิตมีเรื่องเร่งด่วนที่ควรกระทำมากกว่าไปศึกษาเรื่องอจินไตย นั้นคือ เรื่องการดับทุกข์

เคยดูหนังเรื่อง "ตรีมูรติ" (เคยฉายทางช่อง TPBS และมีขายเป็นชุดตามร้านดีวีดีทั่วไป) ซึ่งสร้างขึ้นจากคติความเชื่อของศาสนาฮินดู บรรยายไว้ว่า จักรวาลและโลกเกิดจาก "พระเจ้า" ส่วนพระเจ้านั้นกำเนิดออกมาจากสิ่งที่เรียกว่า " ปรมาตมัน หรือเรียกอีกอย่างว่า "พรหมมัน"??? " จากนั้นพระเจ้าแบ่งร่างตัวเองออกมาเป็น 3 ภาค เพื่อแบ่งหน้ากันทำ(หรือแบ่งกันเล่น?) นั้นคือ 1.พระพรหม มีหน้าที่สร้างจักรวาล ชีวิต และสรรพสิ่ง(จักรวาลทั้งหมดนะครับไม่ใช่แค่โลก) โดยสิ่งที่มีชีวิตที่พระพรหมสร้างมีส่วนประกอบอย่างหนึ่งที่เรียกว่า "ชีวาตมัน" หรือจิต หรือวิญญาณ นั้นเอง, 2.พระวิษณุหรือพระนารายณ์ คอยดูแลปกป้องรักษาให้จักรวาลทั้งมวลดำเนินต่อไป, 3.พระศิวะหรือพระอิศวร ทำหน้าที่ทำลายหรือล้างบางเมื่อถึงคราวที่เห็นสมควร แต่ก่อนช่วงที่พระเจ้าจะแบ่งร่างเป็น 3 องค์นั้นได้สร้างสิ่งที่เรียกว่า "มาร!(ซาตาน หรือ อสูร แล้วแต่จะเรียก)" ขึ้นมาก่อน...

ตรีมูรติ VCD ทั้งหมด 34 แผ่นจบ เล่าเรื่องราวละเอียดโดยเฉพาะการสร้างจักรวาล (ดูกันตาแฉะ)

มาร มีพลังและความฉลาดใกล้เคียงกับพระเจ้า ในหนังตรีมูรติตอนแรกๆหลังจากพระเจ้าสร้างมาร มารก็ได้สู้กับพระเจ้าและทำให้พระเจ้าบาดเจ็บเป็นแผลถึง 3 แผล! เหตุผลที่พระเจ้าสร้างมารขึ้นมา เกิดจากแนวคิดที่ว่า ถ้าไม่มีตัวขัดแย้งกับท่าน จักรวาลจะเงียบเกินไปไม่สนุก ไม่มีสีสัน ไม่พัฒนา เพราะเป้าหมายของพระเจ้าคือ ต้องการเห็นการพัฒนาของจักรวาลอย่างมีสีสัน! การเรียกว่า ตรีมูรติหรือพระเจ้า 3 องค์ ก็ไม่ถูกเสียทีเดียว ควรเรียกว่า พระเจ้า 4 องค์ โดยรวม มาร เข้าไปด้วย เพราะถ้าพิจารณาดีๆ มารก็แบ่งภาคมาจากพระเจ้านั้นเอง เช่นเดียวกับ พระพรหม พระนารายณ์ และพระศิวะ หาใช่คนอื่นคนไกลไม่ และมารได้ทำหน้าที่คอยขัดขวางขัดแย้งตามพระประสงค์ของพระเจ้าอย่างสมบูรณ์...และในบทประพันธ์นวนิยาย-ภาพยนตร์ "เทวาและซาตาน" ของ "แดน บราวน์" กล่าวถึงองค์กร CERN ได้ค้นพบสสารชนิดหนึ่งเป็นขั้วตรงกันข้ามกับสสารที่เรียกว่า "ปฏิสสาร (Antimatter)" หรือในหนังเรียกว่า "เถ้าธุลีของพระเจ้า" หรือ "อนุภาคของพระเจ้า" ในทางทฤษฎีแล้ว ปฏิสสาร มีปริมาณพอๆกับสสารที่เกิดจากระเบิด "บิกแบง" (Big Bang) เมื่อ 1.37 หมื่นล้านปีมาแล้ว และที่น่าสนใจ คือ สสารกับปฏิสสารต่างทำลายล้างซึ่งกันและกัน แต่เหตุใดจึงมีสสารออกมาในรูปของดวงดาว ดาวเคราะห์และผู้คนอยู่เต็มไปหมดในเอกภพ นั่นคือหนึ่งในความลึกลับของจักรวาลวิทยา...แนวคิดระหว่างจักรวาลวิทยาศาสนาฮินดูกับวิทยาศาสตร์สมัยใหม่ดูจะสอดคล้องใกล้เคียงกันอย่างน่าประหลาด

"เทวาและซาตาน" ฉบับนวนิยาย

ในเมื่อพระเจ้า 4 องค์นี้ กำเนิดออกมาจาก ปรมาตมัน! แสดงว่า ปรมาตมันนี้จะต้องมโหฬารมาก!ใหญ่กว่าพระเจ้า! แต่ในคติฮินดูเองก็ไม่ได้มีคำอธิบายไว้มากนักว่าปรมาตมันเป็นอย่างไร? เพียงแต่บอกว่าสั้นๆเป็นสิ่งที่อธิบายไม่ได้ต้องสัมผัสเอง (คล้ายๆกับรสอาหาร เปรี้ยว หวาน เค็ม ฯลฯ ใครจะอธิบายได้ว่า เปรียวเป็นอย่างไร! ต้องสัมผัสเอง) เป็นสิ่งที่อยู่ได้ด้วยตัวเองไม่มีใครสร้างไม่ได้เกิดจากเหตุและผลใดๆ และก็ไม่ได้เป็นพระเจ้าสร้างโลก พระเจ้าแค่สิ่งเล็กๆที่หลุดออกมาจาก ปรมาตมัน อีกที!

ห่วงโช๋อาหาร ผู้ล่าและผู้ถูกล่า ก่อเกิดวิวัฒนาการ

ในทฤษฏีวิวัฒนาการสมัยใหม่กล่าวว่า...พัฒนาการต่างๆในธรรมชาติเกิดจาก การขัดแย้ง อาทิ ห่วงโซ่อาหาร นั้นคือ สิ่งมีชีวิตต้องมี ผู้ล่าและผู้ถูกล่า โดยผู้ล่าวิวัฒนาการเพื่อล่าให้ได้ดีที่สุดทั้งนี้เพื่อจะได้กินและดำรงอยู่รอดเพื่อจะได้สืบพันธุ์ต่อไป ส่วนผู้ถูกล่าก็วิวัฒนาการเพื่อหนีจากการถูกไล่ล่าให้ได้ดีมีประสิทธิภาพที่สุดเพื่อจะกิน-อยู่รอดและได้สืบพันธุ์ต่อไปเช่นกัน ถ้าไม่มีการขัดแย้งทำนองนี้ก็จะไม่มีวิวัฒนาการและพัฒนาการใดๆเกิดขึ้น สิ่งมีชีวิตก็จะหยุดนิ่ง! ซึ่งหลักการนี้ตรงกับแนวคิดแบบ "เต๋า" ของจีนที่ว่า ก่อนจะกำเนิดสรรพสิ่งมี เต๋า ดำรงอยู่ก่อนสิ่งทั้งปวง จากนั้นก็กำเนิดสิ่ง 2 สิ่งคือ หยินและหยาง ซึ่งขัดแย้งเป็นขั้วตรงกันข้างกัน และจากการขัดแย้งของหยินหยางก่อให้เกิดสรรพสิ่งเอนกอนันต์ไม่รู้จบและที่น่าสนใจอีกอย่างหากโยงกลับไปที่เรื่อง "เทวาและซาตาน" ในเรื่องนี้จะกล่าวถึงพวก "อิลูมินาติ"(พวกต่อต้านคริสตจักรโดยเฉพาะเรื่องแนวคิดกำเนิดจักรวาล-กำเนิดชีวิต) ตัวหนังสือสัญลักษณ์แบบอิลูมินาเมื่อหมุนกลับหัวแล้วจะได้เป็นภาพเดิม ซึ่งเป็นลักษณะเช่นเดียวกับ สัญลักษณ์ หยิน หยาง ของ เต๋า (อิลูมินาติ ตรีมูรติ มาแนว ติ ติ คล้ายๆกันนะ)

หรือเต๋า คือสิ่งเดียวกับ ปรมาตมัน และพวกเต๋า มีความเกี่ยวข้องกับ พวกอิลูมินาติ ???

ในหนัง ตรีมูรติ ถ้าใครได้ดูจะสังเกตเห็นได้ว่า พระเจ้า 3 องค์ นั้งดูชมความเป็นไปในจักรวาลและโลกอย่างสนุกสนานครื้นเครงเหมือนกับที่เราดูภาพยนตร์ ถ้าช่วงไหนไม่มีอะไรน่าตื่นเต้นท่านก็นอนหลับยาวอย่างกรณีพระนารายณ์ท่านจะหลับในเกษียรสมุทร และบางโอกาสท่านนึกสนุกหรือเห็นท่าสถานะการณ์ไม่ค่อยดี ก็แบ่งภาคมาเกิดและลงเล่นด้วยเสียเองเลย อาจมาในรูปสัตว์บ้าง มนุษย์บ้าง เทวดาบ้าง ฯลฯ ที่เรียกกันว่า "การอวตาร" เป็นภาคต่างๆนั้นเอง พิจารณาดูความเป็นต่างๆในหนังตรีมูรติแล้วจะพูดว่า... จักรวาลสรรพสิ่งทั้งปวงเป็นแค่ "เกมส์ของพระเจ้า" ก็ได้กระมัง พระเจ้าได้วางกฏเกณฑ์กติกาการเล่นต่างๆไว้ตั้งแต่แรกสร้างจักรวาลแล้วโดยมาในรูปแบบของกฏธรรมชาติต่างๆที่มนุษย์ค้นพบ เช่น กฏฟิสิกส์ กฏชีวภาพ หลุมดำ หรือแม้แต่ กฎแห่งกรรม!! ฯลฯ มนุษย์เราจึงเป็นแค่หมากตัวเล็กๆตัวหนึ่งในเกมส์นี้ และพระเจ้าก็ได้ฝังโปรแกรมสัญชาตญาณต่างๆไว้ในตัวสิ่งมีชีวิต พืช สัตว์ มนุษย์ หรือแม้แต่เทวดา! ไว้ตั้งแต่แรกแล้วเช่นกัน ไม่ว่าสัญชาตญาณ การกลัว การสืบพันธุ์ การดิ้นรนเอาตัวรอด ฯลฯ ในคติ ฮินดู มีหลักการว่า ถ้ามนุษย์บำเพ็ญเพียรปฏิบัติธรรมทำสมาธิอันหมายถึงต้องทวนกระแสสัญชาตญาณดิบต่างๆที่พระเจ้าฝังไว้ ถ้าสำเร็จก็สามารถกลับไปรวมกับปรมาตมันได้ ถ้าไม่สำเร็จก็อยู่ในเกมส์ต่อไป

!! จักรวาล ชีวิตและสรรพสิ่งทั้งปวง เป็นเพียงแค่เกมส์??? !!

และถ้าเราโยงเรื่องนี้กับตำนานฝ่ายพุทธอาจตีความได้ว่า พระพุทธเจ้า เป็นบุคคลหนึ่งที่ปฏิเสธเกมส์ของพระเจ้า! และหาทางออกจากเกมส์ได้สำเร็จ โดยเรียกสิ่งที่ท่านบรรลุว่า "นิพพาน"(เกี่ยวอะไรกับปรมาตมันหรือเปล่า?) ซึ่งพญามารไม่พอใจนัก ใครเคยเรียนวิชาพุทธศาสนาคงเคยได้ยินมาบ้างว่า...ขณะที่เจ้าชายสิทธัตถะกำลังทำความเพียร ก็มีพญามารและพวกพ้องพยายามขัดขวางต่างๆนานาแต่ไม่สำเร็จ และในที่สุดเจ้าชายสิทธัตถะก็บรรลุเป็นพระพุทธเจ้า พญามารก็เลยขอให้พระพุทธเจ้า ดับขันธ์ หรือ ขอให้ตายไปซะ! แต่พุทธเจ้าปฏิเสธ มารก็เลยขอในทำนอง... "ถ้างั้นก็ขออย่าได้เอาเรื่งที่บรรลุ(ความลับเรื่องเกมส์)ไปสั่งสอนใคร เพราะถ้ามีคนรู้เรื่องนี้มากเดี๋ยวเกมส์จะไม่สนุก!" พระพุทธเจ้าก็ปฏิเสธอีก แต่ท่านก็ไม่เน้นสอนหรือพูดถึงเรื่องที่เกี่ยวพระเจ้าผู้สร้างจักรวาลหรือเรื่องทำนองอจินไตย ดังเหตุผลที่กล่าวมาแล้วก่อนหน้านี้ ท่านจะเน้นสอนวิธีเพื่อการหลุดพ้นจากทุกข์เป็นหลัก...หรือว่าจริงๆแล้วการบรรลุธรรมก็เป็นส่วนหนึ่งในเกมส์ของพระเจ้า???

ถ้าไปดูหลักการของชาวพุทธกับฮินดูในปัจจุบันนี้จะเห็นว่าคติความเชื่อและการปฏิบัติบางเรื่องคล้ายคลึงกันมาก เช่น การเวียนว่ายตายเกิด เรื่องกรรม เรื่องภพภูมิต่างๆ เช่น นรก สวรรค์ เทวดา เปรต อสุรกาย พญานาค พญามาร ฯลฯ การกราบไหว้เทวรูปและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เป็นต้น แต่นักวิชาการและพระสงฆ์บางท่านก็ให้ทัศนะว่า โดยดั้งเดิมแล้วพุทธกับฮินดูนั้นต่างกันอย่างสิ้นเชิง พระพุทธเจ้าปฏิเสธเรื่องพระจ้า-สิ่งศักดิ์สิทธิ์ นรกสรรค์ การกราบไหว้บูชาอ้อนวอนเทพเจ้า เทวรูปและวัตถุทั้งหลายนั้นเป็นเรื่องงมงายไร้สาระ เป็นเรื่องที่ชนชั้นสูง(กษัตริย์-พรามณ์)ยุคนั้นสร้างขึ้นกล่อมประชาชนให้งมงาย เพื่อหวังผลทางการเมืองการปกครองและผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจ แต่เหตุที่ในพุทธศาสนามีเรื่องทำนองนี้ปะปนเพราะมีการบิดเบือนที่เกิดขึ้นในยุคหลังๆ ซึ่งประเด็นนี้เป็นประเด็นปลีกย่อยที่ค่อนข้างละเอียดอ่อนและยังคงถกเถียงโต้แย้งกันไม่จบไม่สิ้นจนถึงทุกวัน


พระพุทธเจ้าเผชิญหน้าพญามาร Version ภาพยนตร์ "The Little Buddha"

ปัจจุบันถึงแม้ว่ามนุษย์จะค้นพบและเข้าใจกฏเกณฑ์ต่างๆในธรรมชาติและนำมาใช้เป็นประโยชน์กับตัวเองได้อย่างมากมายดังที่เห็นอยู่ในรูปแบบของวิทยาการเทคโนโลยีต่างๆ จนมนุษย์หลงตัวเองว่าเป็นสิ่งมีชีวิตวิเศษในโลกไปเรียบร้อยแล้ว แต่ยังไงก็ตามเมื่อเทียบกับความยิ่งใหญ่ในธรรมชาติและจักรวาลก็จะพบว่ามนุษย์เป็นแค่เศษฝุ่นเล็กๆ ถ้าจำเหตุการณ์ สึนามิ หรือ พายุแคทริน่าถล่ม จะเห็นว่ามนุษย์ก็ได้แต่จ้องดูหายนะให้ผ่านไปเฉยๆต่อหน้าต่อตา ไม่มีพลังอำนาจอะไรจะต่อต้านพลังธรรมชาติได้เลย และมนุษย์ก็ยังคงสับสนงุนงง-มึนในตัวเองและยังคงพยายามศึกษาทำความเข้าใจกับหลายปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง พระเจ้าอาจกำลังเฝ้าดูและหัวเราะอยู่!..

จักรวาลและสรรพสิ่งยังคงลึกลับ ดังตอนหนึ่งในเรื่องตรีมูรติที่พระนารัท(เทพคนสนิทของพระนารายณ์) มักกล่าวอยู่บ่อยๆว่า "พระผู้เป็นเจ้าท่านลึกลับเสมอ นาร้ายณ์ นารายณ์" มนุษยชาตินับแต่อดีตจนถึงปัจจุบันยังคงแก้ปัญหาความงุนงงสงสัยต่างๆที่ยังไม่มีคำตอบด้วยกรอบเดิมๆนั้นคือ การสมมุติอะไรสักอย่างขึ้นมาเชื่อถือและปฏิบัติตามไปพรางๆก่อน แม้แต่ในสิงที่เรียกว่าวิธีการแบบวิทยาศาสตร์ก็ยังอยู่ในกรอบนี้ นั้นคือเริ่มด้วยการ "ตั้งสมมติฐาน"..."สิ่งใดไม่รู้ สมมุติมันขึ้นมา"

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น