วันจันทร์ที่ 20 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

Virtual ไข่ไก่

ต่อเนื่องจากเรื่อง "Surrogate" หัวข้อที่แล้ว

นับวันมนุษย์จะพยายามตีตัวออกห่างจากโลกธรรมชาติบริสุทธิ์ ไปอยู่ในโลกเสมือนจริงมากขึ้นเข้าไปทุกที ทุกที... วิทยาการยุคนี้ทำชายเป็นหญิงสวยขนาด"น้องปอย"ได้ จะว่าไปแล้วเรื่อง ไข่ไก่เสมือนจริง! ก็เป็นแค่เรื่องเล็ก +_+

ทางการจีนสามารถระงับการขายไข่ไก่ปลอมได้ที่มณทลกวางโจว วางขายกันอย่างแพร่หลายตามตลาดเลย ราคาขายส่งตกฟองละ 0.15 หยวนหรือ ประมาณ 75 สตางค์ ซึ่งเป็นครึ่งนึงของราคาไข่จริงที่นั่น ตามที่ระบุคือ คนขายไข่ไก่มืออาชีพก็ยังดูไม่ออกเลยว่าเป็นไข่ปลอม เพราะเหมือนมาก
ไข่ขาวเค้าใช้ เจลาตินที่ทำ Jelly , แป้ง , Benzoic acid ,แล้วก็ Alum หรือ Aluminium Potassium Sulfate ครับ ซึ่งใช้ในโรงงานโดยที่บางแห่งใช้ Alum ในการกัดสีของโลหะหรือกัดสนิมในโรงงานอุตสาหกรรม
ไข่แดงจะใช้สีผสมกับส่วนประกอบที่ยังไม่สามารถระบุได้ แล้วเทใส่แม่พิมพ์กลมๆ
เปลือกไข่ทำมาจาก Paraffin Wax ผสมกับน้ำขาวๆที่ยังไม่สามารถระบุได้ครับ ราดบนไข่ปลอม รอจนแห้งมันจะแข็งเหมือนเปลือกไข่ นี่คือ ไข่แดงปลอม ซึ่งลอยอยู่ในน้ำที่เค้าเรียกกันว่า น้ำวิเศษประกอบไปด้วย แคลเซียมคลอไลด์ ซึ่งจะทำให้ไข่แดงกลมอยู่ตัวแบบนี้ไปตลอด จากนั้นเอาเข้าแม่พิมพ์กลมๆ ราดไข่ขาวปลอมตามลงไปรอให้แห้ง
พอแห้งแล้วก็ราด Paraffin Wax ที่ทำเป็นเปลือกไข่
อาจจะมีการแต่งสีให้เหมือนไข่จริง ก็สามารถออกขายได้แล้ว
ไข่ปลอมนี่สามารถเอามาปรุงอาหารได้ปกติ รสชาติเหมือนไข่จริงๆด้วย แต่มันไม่มีสารอาหาร และหากกินสาร Alum(ที่ใช้ทำไข่ปลอมนี้)มากๆ จะทำให้เป็นโรคจิตเสื่อม

.................


ดังที่ นิยายวิทยาศาสตร์-นักประวัติศาสตร์อนาคตหลายท่านได้คาดการณ์ไว้ว่า...."ถัดจากโลก "ยุคโลกาภิวัตน์" ก็จะเป็นยุค "โลกเสมือนจริง" หรือ "Virtual Reality Era" ยุคที่คนใช้ชีวิตกับของเสมือนหรือของปลอมมากกว่าของจริง!... ณ ปัจจุบันก็ส่อเค้าให้เห็นบ้างแล้วหลายกรณี...เคยคิดเก็งเล่นๆไว้เหมือนกันว่า เทคโนโลยีที่มีแนวโน้มจะเป็นตัวแปรก่อให้เกิด "การปฏิวัติเสมือนจริง" น่าจะเกิดจากการบรรจบกันระหว่าง 3 เทคโนโลยีหลักได้แก่...

1.เทคโนโลยีไร้สายความเร็วสูง
2.หุ่นยนต์(ผนวกรวมกับเทคโนโลยีเครื่องจักรและอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ต่างๆ)
3.โฮโลแกรม 3 มิติ (ลองดูที่บล็อคหัวข้อ โฮโลแกรม 3 มิติ )

ตามวิถีธรรมชาติทั่วๆไป โดยเฉพาะตามทฤษฎีไร้ระเบียบ ก่อนการปฏิวัติเปลี่ยนแปลงหรือช่วงเปลี่ยนผ่านรอยต่อแห่งยุคสมัย ก็ต้องมีเหตุการณ์โกลาหล-ความวิปริต-วิกฤติเสื่อมอะไรบางอย่างเกิดขึ้นก่อนเสมอ ทั้งนี้เพื่อเป็นการล้างเครียสิ่งเก่า เปิดทางให้สิ่งใหม่ที่ก้าวหน้ากว่าเข้ามาแทน อาจเป็นความโกลาหลทาง... เศรษฐกิจ - สังคม - เชื้อโรค - ภัยธรรมชาติ - พลังงาน - อภิมหาสงคราม! ฯลฯ หรือทั้งหมดรวมๆกัน...จะเป็นการปฏิวัติแบบครึกโครมหรือปฏิวัติเงียบ! ก็คอยติดตามกันต่อไป...

วันพฤหัสบดีที่ 16 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

Surrogate โลกเสมือนจริงที่เป็นความจริง

- Surrogates -

"กับโลกแห่งความจริงๆก็วุ่นวายพออยู่แล้ว ยังจะแส่แกว่งเท้าหาเสี้ยนในโลกเสมือนจริงอีก พวกมนุษย์นี่ก็จริงๆ! ฮึๆ"...Andriod กล่าว :)

ในปี 2054 คนใช้ตัวแทนที่เป็นหุ่นยนต์Andriod ออกนอกบ้านไปมีปฏิสัมพันธ์ในด้านต่างๆกับคนอื่นๆ(ซึ่งคนอื่นก็อาจเป็นAndriodตัวแทนด้วยเช่นเดียวกัน) โดยตัวจริงที่มีชีวิตเป็นๆนอนควบคุมสั่งการ Remote control อยู่ที่บ้าน คล้ายในหนัง The Matrix แต่ต่างกันที่ มีบางคนที่เป็นตัวจริงใช้ชีวิตปะปนกับหุ่นตัวแทน แล้วเมื่อตัวจริงกับตัวแทน มีกรณีพิพาทร้ายแรงถึงเป็นถึงตาย! จะมีวิธีจัดการคลี่คลายกับเรื่องทำนองนี้ยังไง? ไว้ไปดูในหนังเรื่อง "Surrogates" ที่กำลังจะฉายปลาย 2009 นี้...ดูจาก Trailer แล้วคิดว่าน่าจะสนุก(มั้ง)

ปรากฏการณ์ทำนองนี้คงเป็นเฉกเช่นเดียวกับหลักการ "ภพซ้อนภพ!" ในคติปรัชญา-ศาสนาตะวันออก


Surrogates เดิมคือหนังสือแนวนิยายวิทยาศาสตร์สืบสวน ประเภทการ์ตูนชีรี่ย์ที่เรียกว่า "Graphic Novel" แต่งโดย "Robert Venditti" วาดภาพประกอบโดย "Brett Weldwele" ออกมาแล้ว 5 ภาค...Vol.1 ตีพิมพ์ครั้งแรกเมื่อปี 2006 ได้ข่าวจะมีเล่มใหม่ไปออกมาภายในเดือนนี้(กรกฎา 2009)


"Venditti" ผู้แต่ง The Surrogates ได้รับแรงบัลดาลใจจากการเห็นผู้คนจำนวนมากสูญเสียคนรัก-เพื่อน สูญเสียการงาน ฯลฯ ด้วยเหตุที่เขาทั้งหลายเหล่านั้นติดโลกออนไลน์เสมือนจริงงอมแงม(จะด้วยความจำเป็นหรือความไม่จำเป็นก็ตาม) เขาสูญเสียความเป็นตัวของตัวเองอย่างสิ้นเชิง แต่กลายเป็นอีกคนที่สมบูรณ์แบบในโลกเสมือนจริง!

จะว่าไปแล้วไม่ต้องรอโลกอนาคต ทุกวันนี้ โลกส่วนหนึ่งก็ได้กลายเป็นทำนอง Surrogate ไปเรียบร้อยแล้ว โดยเรามีตัวแทนในโลกเสมือนจริงที่เป็น Website - MSN -Blog - Hi5 - Facebook - Bittorrent - Digital Photo sharing - Twister - Game online - Camfrog ฯลฯ...

เราปรับแต่งหน้าตาบุคลิก-สร้างภาพต่างๆนานาตามที่เราอยากให้เป็น ทั้งที่ตัวจริงเป็นอีกอย่าง,

เราด่าเถียงกันแหลกราน เลือดขึ้นหน้า กับใครก็ไม่รู้ใน Webboard,

บางคนจ้างเราทำงานบางอย่างโดยที่ไม่เคยเจอตัวจริงเป็นๆของเราเลย,

เราซื้อสินค้า-จ่ายตังกับใครบางคน ที่เราไม่รู้ว่าร้านค้า-โกดังเก็บของเขาอยู่ตรงตำแหน่งไหนบนโลกกันแน่,

บางคนในโลกเสมือนจริงเป็นคูรที่น่าคาราวะสอนอะไรต่อมิอะไรมากมาย,

บางคนก็ใจดีขยันแจกของฟรีๆไม่ว่าจะเป็นหนัง(โ..ป้ 55) เพลง หนังสือ ข่าวสารข้อมูล ฯลฯ,

บางทีเราก็เข้าไปขโมยของบางอย่างจากใครบางคน,

บ้างก็หาความสุข-ทำมาหากินรูปแบบใหม่ จากการสะสมแต้ม-จำนวนคนเข้ามาดู-จำนวนคลิก-โพส-เม้นต์ ฯลฯ บางรายถึงแม้ต้องลงทุนโชว์เสียวบ้างก็ยอมล่ะ ยังไงก็ได้ให้ดังให้ฉาวเป็นพอถ้ามันทำให้ยอดเพิ่มถล่มทลายได้ก็ถือว่าคุ้ม..จำเริญ

บางทีเรามีปฏิสัมพันธ์ใครหลายคนในโลกเสมือนจริงมากกว่าคนในโลกแห่งความเป็นจริง บางทีในโลกเสมือนจริงก็จริงแท้สำคัญยิ่งกว่าโลกแห่งความเป็นจริง และที่น่าตลกคือบางคนที่เรารู้จักมักคุ้นสนิทสนมเป็นอย่างดี เจอกันแทบทุกวันในโลกเสมือนจริง แต่พอมาเดินสวนกันในโลกแห่งความเป็นจริงเขาและเรากลับเดินผ่านไปไม่ทักทายแยแสกัน จะทำไงได้ล่ะก็ในเมื่อเรารู้จักกันแต่ในโลกเสมือน แต่ในโลกแห่งความเป็นจริงเราและเขาไม่รู้จักกันเลยแม้แต่น้อย!

นี้แหละ "Surrogate" โลกเสมือนจริงที่เป็นความจริง!

วันพุธที่ 15 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

"เบนจามิน กระดุม"


ใครที่ประทับใจแนวภาพยนตร์เรื่อง Alien ภาค3, Fight Club และ Seven ...ของสุดยอดผู้กำกับ David Fincher

- The Curious Case of Benjamin Button -
เป็นภาพยนตร์ล่าสุดของ Fincher ที่ไม่ควรพลาดเป็นอันขาด :)


"เคยบอกหรือยังว่าฉันเคยโดนฟ้าผ่ามาแล้ว 7 ครั้ง"ประโยคเด็ดของปู่ทวด เจอเบนจามินที่ไรเป็นต้องถาม สงสัยกลัวพลาด...ใครเคยดูหนังเรื่องนี้แล้ว คงจำมุขนี้ได้ดี... ฮา!

อีกฉากหนึ่งแม้เป็นฉากสั้นๆ แต่ก็ขำกินใจ ...คุณปู่อดีตทหารคนชราอีกคน แกแก้ผ้ามาชักธงขึ้นเสาเคารพธงชาติทุกวัน แม้ฝนตกก็ไม่ละเลยหน้าที่ เรียกว่าแม้จะหลงๆลืมๆแต่ระเบียบวินัยทหารรักชาติยังฝังอยู่ในสายเลือดไม่มีจืดจาง 555


หนัง Benjamin Button - อัศจรรย์ฅนโลกไม่เคยรู้ (ภาพยนตร์ดราม่ายอดเยี่ยมเรื่องหนึ่งแห่งปี2009) การันตีด้วยรางวัลออสก้า และรางวัลอื่นๆอีกมากมาย...ชีวิตยอกย้อนกลับตาลปัตรของ นาย"เบนจามิน กระดุม" เกิดมาเป็นทารกที่มีหน้าตาและสุขภาพย่ำแย่เยี่ยงคนอายุ 80 แทนที่จะตาย ตามที่หลายคนคาดคิดแต่กลับค่อยๆเติบโตแบบหนุ่มขึ้น หนุ่มขึ้น ใช้ชีวิตกรำศึก เสพสุขเสพทุกข์ ผ่านร้อนผ่านหนาว คาว!หวานครบครัน จนค่อยๆกลายเป็นเด็ก ค่อยๆลืมทุกสิ่งทุกอย่างที่ผ่านมาในชีวิต ลืมแม้กระทั้งว่าตัวเองเป็นใคร ลืมลูกลืมเมียลืมทุกสิ่ง แล้วก็ตายไปในร่างเด็กทารก!...

นอกจากโครงเรื่องสะท้อนชีวิตมนุษย์ในหลายแง่มุมอย่างน่าสนใจแล้ว ทางด้าน Visual Effect ก็ทำได้แนบเนียนน่าทึ่ง ถ้าไม่ได้ดูเบื้องหลัง (วิดิโอ Youtube ด้านล่าง) ก็จะไม่รู้เลยว่าฉาก แบรต พิต ตอนเป็นเด็กแก่ ใช้ VFX ล้วนๆ ตอนแรกก็นึกว่าจะใช้วิธีหาคนหน้าคล้ายมาแต่งหน้า make up นิดหน่อย...ที่ไหนได้ปั้นใหม่ทั้งหน้าเลย เนียนจริงๆ

เทคโนโลยี "Motion Capture" หรือ "Mocap" แบบล่าสุด ใช้การจับการการเคลื่อนไหวด้วยผงเรืองแสงชนิดพิเศษ สามารถจับทุกอารมณ์การยืดหยุ่นบนใบหน้าได้อย่างละเอียด


ส่งท้าย : วจีอมตะในหนัง จากลุงคนที่เคยโดนฟ้าผ่ามาแล้ว 7 ครั้ง ต้องยกให้ลุงคนนี้ เป็น ไอดอล! เลยนะ ..."ฉันตาบอดไปข้างนึง หูก็ไม่ค่อยจะได้ยิน แข้งขาสั่นไม่มีเรี่ยวแรงจะออกไปไหน แถมยังจำเรื่องที่ผ่านมาไม่ได้ แต่รู้มั๊ย พระเจ้าเตือนสติเสมอว่า ฉันยังโชคดีที่ยังมีชีวิตอยู่"

วันเสาร์ที่ 11 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

ทรานฟอมเด้อ 555

เมื่อก่อนเคยมี พวกTransformers อาศัยและทำมาหากินในเมืองไทย โดยเฉพาะในกรุงเทพและปริมลฑล แต่เดี๋ยวนี้ไม่เหลืออยู่แล้ว ย้ายไปเล่นหนังที่อเมริกาแทน ด้วยเหตุผลนานาจิตตัง...ฮา!

(จาก forward mail และกระทู้ในเว็บ)

วันพุธที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

"Doubt" เมื่อคุณรู้สึกไม่แน่ใจ


หนังเรื่องนี้เข้าฉายในไทยตั้งแต่ต้นปีนี้(2009)แล้ว แต่ผมเพิ่งมีโอกาสดูจากDVD...ตอนแรกนึกว่าคงงั้นๆทั่วไป แต่ก็โชคดีที่ตัดสินใจดู(เพราะไม่ค่อยเห็นหนังแนวศาสนา-คาทอลิค ที่มีพระบาทหลวง-ซิสเตอร์เป็นตัวแสดงหลัก จึงทดลองดู) ผลก็คือ...โครงเรื่องมีมุมมองที่น่าสนใจมาก ประเด็นเกี่ยวกับความสงสัย-ความเคลือบแคลง ตามชื่อของหนัง "Doubt" หรือชื่อไทย "เด๊าท์ ปริศนาเกินคาดเดา"

หนังเริ่มต้นด้วยการเทศน์ของ "บาทหลวง ฟลินน์" เกี่ยวกับความสงสัยเคลือบแคลง

"คุณจะทำยังไงเมื่อคุณรู้สึกไม่แน่ใจ..."

โดยย่อ...ปมของเรื่องเกิดขึ้นเมื่อทางโรงเรียนคาทอลิกได้รับเด็กนักเรียนผิวดำคนแรกคือ ดช. "โดนัล มิลเลอร์" โดยมี "คุณพ่อ ฟลินน์" ผู้ร่าเริงอารมณ์ดีและหัวสมัยใหม่ เป็นบาทหลวงสอนศาสนาและครูประจำคนหนึ่งของโรงเรียนแห่งนี้ คุณพ่อ ฟลินน์เอาใจใส่กับเด็กผิวสีคนนี้เป็นพิเศษเนื่องจากเป็นเด็กผิวสีคนเดียวและมักโดนเพื่อนแกล้งเป็นประจำ "ซิสเตอร์ เจมส์" แม่ชี-ครูสาวผู้อ่อนโยนเห็นสถานะการณ์เช่นนี้จึงเกิดความคลางแคลงสงสัย และได้ไปแจ้งต่อ "ซิสเตอร์ อลอยเซียส" แม่ชีวัยทองเจ้าระเบียบผู้เป็นอาจารย์ใหญ่ของโรงเรียน ซิสเตอร์อลอยเซียสเมื่อได้ยินเรื่องราวก็เกิดอาการเคลือบแคลงสงสัยในตัว บาทหลวง ฟลินน์ ว่าน่าจะมีความสัมพันธ์ที่ไม่เหมาะสมกับโดนัล มิลเลอร์! จึงเริ่มต้นดำเนินการต่างๆนานาเพื่อที่จะเปิดโปงความจริงและขับไล่บาทหลวงฟลินน์ออกจากโรงเรียนด้วยความเชื่อมั่นในศีลธรรมจรรยาอันเคร่งครัดผนวกกับประสบการณ์อันยาวนานของเธอเอง ซิสเตอร์อลอยเซียสได้พยายามสืบสวนสอบสวน รวมทั้งใช้กกลยุทธ์ทำสงครามทางจิตวิทยากับบาทหลวงฟลินน์ทั้งทางตรงและทางอ้อม จนบานปรายก่อเกิดสงครามน้ำลาย! ซิสเตอร์เจมส์ ผู้อยู่ตรงกลางเมื่อได้รับฟังเหตุผลของทั้งสองฝั่ง ก็เกิดสับสนสงสัยลังเลไม่อาจจะตัดสินได้ว่าความจริงคืออะไรกันแน่ควรจะเข้าข้างใครดี แต่ลึกๆก็เห็นใจบาทหลวงฟลินน์อยู่ไม่น้อย...แล้วในที่สุดบาทหลวงฟลินน์ก็ลาออกไป...แม้จะไม่มีหลักฐานที่ชัดเจนหนักแน่นสักชิ้นมายืนยันว่าตนกระทำสิ่งที่ไม่เหมาะไม่ควรจริง

ซิสเตอร์ อลอยเซียส และ ซิสเตอร์ เจมส์ บาทหลวงหรือคุณพ่อ "ฟลินน์"


และตอนก่อน บาทหลวงฟลินน์ จะจากไป ได้มีการเทศนาทิ้งทวนให้คติแง่คิดไว้น่าสนใจเกี่ยวกับ "เรื่องการนินทาด้วยความสงสัยเคลือบเคลง" โดยเล่านิทานเชิงเปรียบเทียบ... "เมื่อเราเอามีดไปกรีดหมอนจนขนนกในหมอนฟุ้งกระจายไปกับสายลมในอากาศแล้ว การจะไปเก็บขนนกทั้งหมดให้กลับมาอยู่ในหมอนเหมือนเดิมนั้นมันเป็นไปไม่ได้เลย" ดุจเดียวการซุบซิบนินทาที่เต็มไปด้วยการสงสัยเคลือบแคลง เมื่อฟุ้งขึ้นแล้วก็ยากจะเยียวยา Shot นี้ทำให้ผมนึกถึงข่าวสารข้อมูล-สื่อต่างๆโดยเฉพาะสื่อเกี่ยวกับเรื่องการเมือง-วงการบันเทิง ฯลฯ ที่มักชอบออกมาซุบซิบประโคมข่าวกันอยู่ทั่วไปส่งผลให้ผู้รับสารฟุ้งตามกระแสต่อๆกันไปด้วย จนบางประเด็นก่อเกิดความวุ่นวายในบ้านในเมืองแม้จากเรื่องไร้สาระเล็กๆที่ไม่น่าจะเป็นเรื่องได้!

ในตอนท้ายของเรื่อง ซิสเตอร์อลอยเซียส นั้งปรับทุกข์กับ ซิสเตอร์ เจมส์ ทบทวนนึกย้อนไปถึงเหตุการณ์กรณีบาทหลวง"ฟลินน์" มีความรู้สึกไม่สบายใจยังเคลือบแคลงสังสัยค้างคาใจอยู่ลึกๆ แม้เหตุการณ์จะผ่านไปแล้วก็ตาม

เนื้อหาในหนังยังสามารถตีความไปถึงความเป็นจริงในวงการศาสนา-สังคม-การเมือง ฯลฯ...ที่มักมีคนสองขั้วอยู่ร่วมกันเสมอ(เสรีนิยมVSอนุรักษ์นิยม, พวกซ้ายVSพวกขวา ฯลฯ)...ดยบาทหลวงเป็นตัวแทนผู้ที่ใกล้ชิดกับประชาชนและคลุกคลีกับสถานะการณ์ในโลกของความเป็นจริงปล่อยตัวสบายๆ ซิสเตอร์หรือแม่ชีเป็นภาพตัวแทนของผู้ยึดมั่นในกฏ-ทฤษฎี พิธีรีตรองหรืออุดมการณ์อย่างเคร่งครัดพร้อมทั้งต้องพยายามรักษาภาพลักษณ์(ทำเป็นเก็ก 55)ของตัวเองตลอดเวลา ในหนังยังมีการแสดงสถานะการณ์เชิงสัญลักษณ์ (Symbolic) ในจุดเล็กๆน้อยหลายจุดเช่นตอนรับประทานอาหาร...เหล่าซิสเตอร์ดูเคร่งเป็นระเบียบ ส่วนบาทหลวงนั้งรับประทานอาหารแบบผ่อนคลายเฮฮา...

...บาทหลวงฟลินน์ มีสัมพันธ์สวาทกับเด็กผิวสีคนนั้นจริงหรือไม่? ถ้าไม่ทำไมต้องลาออก? ทำไมไม่สู้ให้ถึงที่สุดเพื่อพิสูจน์ตัวเอง? หรือไม่อยากต่อล้อต่อเถียงจึงเสียสละตัดปัญหา...ฯลฯ ... กลยุทธ์ล้วงลึกความจริงที่ ซิสเตอร์อลอยเซียส ใช้(การปั้นเรื่องโกหกหยั่งเชิง)เป็นวิธีการที่เหมาะที่ควรแล้วหรือ? ถ้าบาทหลวงทำจริงก็นับว่า ซิสเตอร์อลอยเซียส เป็นบุคคลที่ฉลาดหลักแหลมและแม่นยำ...แต่ถ้าไม่จริง?...ฯลฯ...อันนี้ก็สุดแท้แต่การประเมินและการตีความของท่านผู้ชมแต่ละท่าน...เนื่องจากหนังได้ทิ้งปม...ถึงแม้จะชิงลาออกแต่บาทหลวงก็ไม่ได้ยอมรับว่าตนทำอะไรเช่นนั้น และซิสเตอร์ถึงแม้ภายนอกดูมีความมั่นใจมากแต่ลึกๆก็มีความไม่แน่ใจลังเล-เคลือบแคลง...เพราะไม่ได้มีหลักฐานที่แจ่มชัด และถ้าสังเกตละเอียดอีกหน่อยจะพบว่าหนังเรื่องนี้ยังมีการสื่อนัยยะอื่นๆซ่อนอยู่อีกหลายประเด็น...ความเชื่อ-ความเคลือบแคลงในพระเจ้า?...ชนชั้นสีผิว, ศาสนากับสังคม, มาตรฐานการตัดสินจริยธรรม, ความเป็นจริงกับอุดมคติ ฯลฯ ใครไม่เคยดูถ้าสนใจก็ลองหามาดู....ใครดูแล้วก็ควรต้องกลับไปดูซ้ำและตีความ-พิจารณาใหม่อีกรอบ...

ถึงหนังไม่ได้สรุปว่าความจริงคือะไรแต่อย่างน้อยก็ให้แง่คิดดึงคนดูให้กลับมามีสติ ถอยออกมาก้าวหนึ่ง ไม่วู่วามฉาบฉวยในการตัดสินเรื่องต่างๆและบอกเป็นนัยๆว่าเรื่องบางเรื่องถึงแม้เป็นเรื่องที่ดูเหมือนจะไม่น่าอภิรมย์นักก็ไม่จำเป็นต้องเข้าไปตัดสินหรือจัดการใดๆ( ให้พระเจ้าจัดการเอง :) ปล่อยเลยตามเลยให้มันเป็นไปอาจจะมีผลดีมากกว่าทั้งต่อตนเองและบุคคลแวดล้อมอื่นๆ